2008-12-30

กล้วย กับ นม ช่วยลดความเครียด

กล้วย กับ นม ช่วยลดความเครียด

ภาวะเครียด? เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการฆ่าตัวตายในสังคมปัจจุบัน โดยกรมสุขภาพจิตชี้ว่า ในรอบ40 ปีที่ผ่านมา จำนวนคนฆ่าตัวตายมีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 60% ซึ่งเป็นการสวนทางกันอย่างสุดขั้วระหว่างความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความตกต่ำของภาวะจิตใจ

ภาวะเครียดถือเป็นปัญหาของคนเมืองที่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทุกปี เช่น ภาวะซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล ภาวการณ์ปรับตัวที่ผิดปกติ โดยตั้งแต่ช่วงหลังภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก มีผู้โทรมาขอคำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์จากหน่วยงานให้บริการคำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์เป็นจำนวนมาก โดยประเด็นที่ทำให้โทร.มามากที่สุดคือ ?รู้สึกเครียด?...และ ณ ปัจจุบัน โรคเครียดได้กลายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ร้ายแรงที่สุดในขณะนี้

น.พ.พนมทวน ชูแสงทอง จิตแพทย์ และอาจารย์แพทย์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานคร และวชิรพยาบาล ให้ข้อมูลในงานสัมมนาพิเศษ ?สายสุขภาพไฟเซอร์กับเคล็ดลับฝ่าวิกฤติโรคเครียด? ว่า ภาวะเครียดเป็นเรื่องของจิตใจที่เกิดจากความตื่นตัว เตรียมเผชิญกับเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งไม่น่าพึงพอใจ หรือคาดไม่ถึง เป็นเรื่องที่เราเองคิดว่าหนักหนาสาหัสเกินกำลังความสามารถที่จะแก้ไขได้ ทำให้เกิดความรู้สึกหนักใจ กังวล ไม่สบายใจ หรือแม้แต่คับข้องใจ และส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกายเกิดขึ้น หากว่าความเครียดนั้นมีมากและคงอยู่เป็นระยะเวลานาน

แต่หากเป็นความเครียดที่ไม่มากนัก จะเป็นแรงกระตุ้นที่ดี ช่วยให้คนเราเกิดแรงฮึด มุมานะที่จะเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่างๆ

ในทางตรงกันข้าม หากเรามีความเครียดมากมาย และไม่รู้จักผ่อนคลาย และหากปล่อยไว้นานเข้า อาจมีปัญหาความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจได้ในที่สุด ซึ่งสาเหตุของความเครียดมีสาเหตุ 3 ด้าน ได้แก่ สาเหตุทางด้านจิตใจ เช่น ความกลัวว่าจะไม่ได้ดังหวัง กลัวจะไม่ประสบความสำเร็จ หนักใจกังวลใจในงานที่ได้รับมอบหมาย หรือแม้แต่กลัวกังวลสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สาเหตุที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น การเปลี่ยนช่วงวัย แต่งงาน การตั้งครรภ์ การเริ่มเข้าทำงานหรือการเปลี่ยนงาน เปลี่ยนที่เรียน สุดท้ายคือสาเหตุจากการเจ็บป่วยทางร่างกาย เช่น การเจ็บไข้ต่างๆ โรคที่รุนแรง และเรื้อรัง หรือโรคที่คาดว่าถึงแก่ชีวิตในที่สุด

น.พ.พนมทวนให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า อาหารคลายเครียด (Food Therapy) คือหนึ่งในวิธีผ่อนคลายความเครียด โดยสารอาหารที่ช่วยลดระดับความเครียดคือ ทริปโตฟาน (1-2 กรัม ก่อนนอน) พบได้ในไข่ ถั่วเหลือง นมวัว เนื้อสัตว์วิตามินบี 6 (40 มิลลิกรัมต่อวัน) พบในธัญพืชต่างๆ ยีสต์ รำข้าว เครื่องใน เนื้อ ถั่ว ผัก วิตามินบี 3(1,000 มิลลิกรัมต่อวัน) พบในตับ เครื่องใน เนื้อ เป็ด ไก่ ปลา ถั่ว ยีสต์ สารอาหารอื่นๆ เช่น แคลเซียม กระเทียมและดอกไม้จีน เป็นต้น

ทั้งนี้ เมนูอาหารคลายเครียดยอดฮิตคือ ช็อกโกแล็ตกับน้ำมะตูมจะช่วยลดอาการกระวนกระวายและอาการตึงเครียดได้ ส่วนกล้วยเชื่อมกับนมสด หากรับประทานก่อนนอนเป็นประจำทุกวันจะช่วยลดอาการตึงเครียดและทำให้นอนหลับสบาย (แต่หากเกรงว่ากล้วยเชื่อมจะทำให้อ้วน สามารถทานกล้วยสดแทนก็ได้เช่นกัน)

นอกจากอาหารคลายเครียดแล้ว การฝึกฝนให้รู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง และการรู้จักปล่อยวาง เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณมองทะลุ เข้าใจถึงเหตุและผลของการเกิดอารมณ์ได้เป็นอย่างดี และช่วยให้สามารถควบคุมความเครียดที่กำลังเกิด ณ ขณะนั้น อันจะส่งผลให้คุณไม่ต้องทุกข์ทรมานกับโรคเครียดอีกต่อไป

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

2008-12-25

กระเทียม ยาฆ่าเชื้อ ลดโคเลสอเตอรอล

กระเทียม ยาฆ่าเชื้อ ลดโคเลสอเตอรอล

กระเทียมเป็นส่วนหนึ่งในการปรุงอาหารไทยแทบทุกชนิด คนไทยทุกคนจึงรู้จักคุ้นเคยกับกระเทียมเป็นอย่างดี แต่ไม่ทุกคนที่จะรู้ว่ากระเทียมมีประโยชน์มากเพียงใด หากอ่านบทความนี้จบแล้ว เชื่อว่าหลายท่านที่ไม่รับประทาน หรือไม่ชอบกระเทียมคงหันมารับประทานกระเทียมอย่างแน่นอนที่เดียว

กระเทียม นอกจากจะเป็นเครื่องเทศให้กลิ่นหอม ช่วยกลบกลิ่นคาวในอาหารทั้งดิบและสุกแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย ในกระเทียมมีสารอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้อ มีกลิ่นฉุนจะเกิดเมื่อเราทุบหรือบดกระเทียม หากทิ้งไว้นานๆ หรือปรุงสุก ฤทธิ์ยาก็จะหายไป?

กระเทียมโทนที่มีกลิ่น และรสเผ็ดร้อนกว่ากระเทียมธรรมดาก็ให้ผลมากกว่าเช่นกัน จากการทดลองพบว่ากระเทียม สามารถฆ่าเชื้อได้ดีกว่าเพนิซิลลิน และเตตร้าซัยคลิน ซึ่งเป็นยาแก้อักเสบที่ใช้โดยทั่วไป นอกจากนี้ยัง มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคท้องเสีย, แผลติดเชื้อ, วัณโรค, ไทฟอยด์, เชื้อรา, กลากเกลื้อนด้วย


กระเทียมไม่ได้มีเพียงฤทธิ์ฆ่าเชื้อเท่านั้น ยังช่วยลดการกำเริบของโรคหัวใจอีกด้วย โดยออกฤทธิ์ช่วยลดโคเลสเตอรอล และเพิ่มสารสำคัญในเลือดบางตัวที่มีผลต่อการสลายลิ่มในเส้นเลือด ยับยั้งการรวมตัวกันของเกล็ดเลือดทำให้ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด พบว่า การทานกระเทียมสด 12 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ คนทั่วไปหนักประมาณ 50 กิโลกรัม ควรรับประทานกระเทียมประมาณ 50 กรัม หรือ ประมาณ 15 กลีบต่อวัน มีการทดลองพบว่าการรับประทานกระเทียม 1 หัว (ประมาณ 9 กลีบ) ต่อวัน จะช่วยลดโคเลสเตอรอลได้โดยใช้เวลาประมาณ 4 เดือน และหลังจากโคเลสเตอรอลลดลงในระดับที่น่าพบใจแล้ว การรับประทานกระเทียมสดวันละ 2 กลีบ ก็สามารถป้องกันการเพิ่มของ
โคเลสเตอรอลได้


วิธีใช้กระเทียมรักษาอาการต่างๆ ก็ต่างกันไปตามสูตรและสถานที่ เช่น ใช้เป็นยาขับลม บำรุงธาตุ ใช้น้ำคั้นหัวกระเทียมผสมน้ำอุ่นและเกลือเล็กน้อย ใช้กลั้วคอเพื่อฆ่าเชื้อในปากและลำคอ รักษาทอนซิลอักเสบที่เริ่มเป็น และการใช้กระเทียมสดทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนและการทารอบๆ วันละ 3-4 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการทดลองที่น่าสนใจ คือ แพทย์ชาวจีนใช้กระเทียมสกัดฉีดเข้ากระแสเลือด เพื่อรักษาโรคสมองอักเสบจากเชื้อ Cryptococcus ซึ่งมาจากนกพิราบได้


ประโยชน์จากกระเทียมมากมายขนาดนี้ ท่านที่ไม่นิยมรับประทานกระเทยมก็คงจะหันมาสนใจบ้างแล้ว เริ่มง่ายๆ จากอาหารที่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบ เพราะอย่างถึงน้อย กระเทียมสุกจะไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแต่ช่วยลดโคเลสเตอรอลและป้องกันโรคหัวใจได้ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด หนังสือ Critical Review in Food Science and Nutrition เคยทดลองและสรุปได้ในปี 1985 ว่า "ไม่พบว่าผลิตภัณฑ์สกัดของกระเทียมชนิดใด จะให้ผลการรักษาดีกว่ากระเทียมสด"

ที่มา : สถาบันการแพทย์แผนไทย

2008-12-23

กินเผ็ด ป้องกันโรค มีประโยชน์สารพัด

กินเผ็ด ป้องกันโรค มีประโยชน์สารพัด

พูดถึง พริก ทุกคนจะนึกถึงความเผ็ด หลายคนชอบกินอาหารรสเผ็ด แต่หลายคนไม่ชอบ ผู้อ่านรู้หรือไม่ว่านอกจากความเผ็ดแล้ว พริก มีประโยชน์อย่างไร

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า พริก มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย โดยชาวโปรตุเกส สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น หรือ ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ “แคป ไซซิน” พริกยังมีสารสำคัญอีกหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก และแคลเซียม

คนที่กินพริกนาน ๆ จะทำให้ติดเผ็ด จากงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่า คนไทยกินพริกมากที่สุดเฉลี่ย 5 กรัมต่อวัน หรือ ประมาณ 1 ช้อนชา

ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่ง ความสุข คือ “เอ็นโดร ฟิน” บรรเทาอาการ เจ็บปวด บรรเทา อาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณ คอเรสเตอรอล จากงานวิจัยของญี่ปุ่นพบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดกินพริกจะดี

การกินพริก ยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่ คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน

นอกจากนี้วิตามินซีในพริก ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย นอกจากการบริโภคแล้ว พริกยังถูกนำมาทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด

ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมาก ๆ หรือ รับประทานอาหารรสเผ็ดจัด จะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น นพ.กฤษดา บอกว่า สารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริก ไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร น่าจะมาจากการกินอาหารมัน ๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชม. ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร

แต่การกินอาหารเผ็ดจัด อาจทำให้เกิดอาการ เหมือนคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารในพริกซึ่งเป็นกรด จะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่

กรณีที่กินอาหารเผ็ดมาก ๆ วิธีแก้ คือ ต้องกินอาหารที่มัน ๆ เพราะ “สารแคปไซซิน” จะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือ ไอศกรีม ทั้งนี้ ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวาน หรือแกงต่าง ๆ ที่ใส่กะทิ

ข้อควรระวัง คือ ในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัด จะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบ บวม หายใจไม่ออกได้

สรุปว่า การกินอาหารเผ็ด ๆ มีแต่ข้อดี แทบจะไม่มีข้อเสีย แต่ก็ควรระวังพริกป่น พริกซอง ที่อาจมีสารอะฟลาทอกซิน เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ.

2008-12-20

รักษาโรคหวัด ด้วยการดื่มน้ำผลไม้อุ่นๆ

รักษาโรคหวัด ด้วยการดื่มน้ำผลไม้อุ่นๆ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหวัด ต่างพากันยกนิ้วให้กับคำแนะนำของคนรุ่นย่ารุ่นยายที่สอนเอาไว้ว่า ให้ดื่มน้ำอุ่นจะได้หายเร็ว

นักวิจัยของศูนย์โรคหวัดธรรมดา มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ สหภาพแอฟริกาใต้ได้พบในการศึกษาว่า เครื่องดื่มที่เป็นน้ำผลไม้ที่ไม่มีแอลกอฮอล์อุ่นสัก 1 เหยือกจะช่วยบรรเทาอาการไอและสำลักลงได้ ผู้อำนวยการศูนย์ ศาสตราจารย์รอน เอกเคิล จึงได้ฉวยโอกาสแนะนำให้ผู้ป่วยโรคหวัดธรรมดา หรือไข้หวัดใหญ่ให้ดื่มน้ำผลไม้อุ่นๆ จะได้บรรเทาอาการลงได้ “มันน่าแปลกอยู่เหมือนกัน ที่เพิ่งมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ของผลดีในการดื่มเครื่องดื่มร้อน แก้หวัดขึ้นเป็นครั้งแรก” และเสริมว่าข้อดีของการดื่มน้ำผลไม้

นอกจากช่วยต่อสู้โรคภัยแล้ว มันยังถูกทั้งปลอดภัยและได้ผลดีอีกด้วยรายงานผลการศึกษาเปิดเผยอยู่ในวารสารทางวิชาการ “นาสิกวิทยา” ของอังกฤษ กล่าวว่า ได้ทดลองให้อาสาสมัครที่เป็นหวัด 30 คนดื่มน้ำแอปเปิ้ลและแบ็คเคอแรนต์พบว่า มันช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหล ไอจาม เจ็บคอ หนาวสั่นและเมื่อยล้า ลงได้ทันทีและคงอยู่นาน.

2008-12-19

สารพัดประโยชน์จาก...พริก

สารพัดประโยชน์จาก...พริก

พริก...ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก...ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก...ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริก...ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้

นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงถึง 7 เท่าคุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

พริก...ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไมเกรนลงได้

พริก...ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส

ถ้าต้องการบรรเทาความเผ็ดของอาหารในปากควรดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่าการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมีผลเพียงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดก็ยังไม่ได้ลดลง เนื่องจากว่า ‘น้ำ’ ละลายสารดังกล่าวได้ไม่ดี...นั่นเอง

Tips เกณฑ์วัดระดับความเผ็ดร้อนสากลของพริกหรือผักผลไม้ที่มีสารแคปไซซินซึ่งให้ความเผ็ดร้อนนี้เรียกว่า สโกวิลล์ (Seoville) เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อของผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับนี้ ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ ลินคอร์น สโกวิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน โดยเขาได้คิดค้นระดับวัดความเผ็ดนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ขณะทำงานอยู่ที่บริษัทผลิตยา พาร์ก เดวิส เพื่อวัดความฉุนหรือความเผ็ดร้อนของพริกต่างชนิดกัน

สำหรับความเผ็ดที่วัดได้จากพริกขี้หนูสวนบ้านเรานั้นจะอยู่ที่ 50,000-100,000 สโกวิลล์ ในขณะที่สารแคปไซซินบริสุทธิ์นั้นมีค่าประมาณ 15,000,000-16,000,000 สโกวิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร จากเรด ซาบีนา วัดค่าได้ถึง 350,000-577,000 สโกวิลล์...เลยทีเดียว

2008-12-17

อาหาร 6 ชนิด ที่ผู้หญิงควรจะกินให้เพิ่มขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดี

อาหาร 6 ชนิด ที่ผู้หญิงควรจะกินให้เพิ่มขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดี

-มะเขือเทศ โดยเฉพาะมะเขือเทศสุก เพราะการปรุงอาหาร เช่น มะเขือเทศในซอสสปาเกตตี้และพิซซ่า จะมีไลโคฟีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลงได้
-องุ่นแดง เช่นเดียวกับไวน์แดง โพลีฟีนอล ในองุ่นแดงจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็ง
-หอมหัวใหญ่ ไม่ว่าจะสุกหรือดิบก็ตามในหัวหอมใหญ่ก็จะอุดมไปด้วย วิตามินซี ที่จะช่วยระบายท้อง และยังมีโฟแลตอีกด้วย
-เนื้อแดงไม่ติดมัน เพราะจะอุดมไปด้วยโปรตีน และธาตุเหล็กที่จะช่วยบำรุงเลือดและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้กับร่างกาย
-ถั่ววอลนัท เพราะถั่ววอลนัท อุดมไปด้วยกรดไขมัน โอเมก้า 3 และไฟเบอร์ที่จะช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงสมอง และยังทำให้ขับถ่ายได้ดีอีกด้วย
-ดาร์ค ช็อกโกแลต ก็คือ ช็อกโกแลตที่เข้มจนออกจะขม (ไม่ใช่ช็อกโกแลตนมสำหรับเด็ก) เพราะในดาร์ค ช็อกโกแลต จะมีฟลาโวนอยด์ และไฟโตสเตอรอล ที่จะช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด และช่วยป้องกันโรคหัวใจ

ที่มา : Spicy

2008-12-15

สารอาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน

สารอาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน

ถ้ามีภูมิคุ้มกันสูง ร่างกายเราก็จะเหมือนมีกองทัพไว้ปราบเชื้อโรคได้มาก อย่างนี้เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นอันว่าไม่ต้องพูดถึง

-วิตามินเอ ช่วยผลิตเมล็ดเลือดขาว สร้างเซลล์บุเนื้อเยื่อในระบบย่อย ซึ่งเซลล์เหล่านี้เป็นด่านแรกในการป้องกันการติดเชื้อ
- วิตามินซี ช่วยเพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีหน้าที่กำจัดเชื้อโรค
-วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันระบบภูมิคุ้มกันจากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยสร้างเม็ดเลือดขาวในการป้องกันเชื้อแบคทีเรีย
- ธาตุเหล็ก ช่วยในการฆ่าเชื้อ หากขาดธาตุเหล็กจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อได้ง่าย
-สังกะสี จำเป็นต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านเชื้อไวรัส เชื้อรา พยาธิ และเชื้อโรค

อื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ

ที่มา : Spicy

2008-12-10

แตงกวาสำหรับสาวตาบวม

แตงกวาสำหรับสาวตาบวม

เคยได้ยินกันมานานแล้วใช่ไหมคะ ว่าคนนิยมอาแตงกวาฝานมาพอกหน้า ทั้งนี้ก็เพราะแตงกวามีสารที่ช่วยยับยั้งการอักเสบและช่วยลดอาการบวมแดงของดวงตาได้ ให้สาว ๆ ฝานแตงกวาที่ล้างสะอาดแล้วออกบาง ๆ นำมาวางไว้บนเปลือกตา นอกจากนี้ยังสามารถเอาแตงกวาฝานที่เหลือมาแปะไว้บนใบหน้าได้ด้วยล่ะวางทิ้งไว้สัก 15 นาที เปิดเพลงฟังไปพลาง ๆ หลังจากนั้นให้ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า และทา มอยเจอร์ไรส์เซอร์ เพื่อการบำรุงและกักเก็บความชุ่มชื้นด้วยค่ะ

ที่มา : Spicy

2008-12-03

มะนาวลดกลิ่นไหม้

มะนาวลดกลิ่นไหม้

ฝานมะนาวเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่กระทะต้มพอเดือด ทำให้กลิ่นหอมระเหยของมะนาวฟุ้งกระจายไปทั่ว ช่วยดับกลิ่นไหม้

กำจัดกลิ่นเหม็นจากถังขยะจากเปลือกผักและผลไม้

กลิ่นเหม็นจากถังขยะมีวิธีแก้ดังนี้ ถ้าวันนี้คุณกินส้มโอ ส้มเขียวหวาน หรือแม้แต่ใช้มะนาวทำอาหาร เปลือกผักและผลไม้เหล่านี้ช่วยได้ค่ะ เพียงนำเปลือกผักและผลไม้เหล่านี้ไปใส่ไว้ในถังขยะ จะช่วยให้กลิ่นเหม็นเน่าลดน้อยลง

ที่มา : ชีวจิต

2008-12-01

หอมจับมือกระเทียมปราบมะเร็ง

หอมจับมือกระเทียมปราบมะเร็ง

คงได้ยินกันมานักต่อนักแล้วใช่ไหมคะว่า การกินผักผลไม้ช่วยป้องกันโรคนั้นโรคนี้ได้ เอาเป้นว่าคราวนี้เป็นตาของหอมกับกระเทียมจับมือกันเป็นพระเอกนางเอกบ้างแล้วกันค่ะ
ดร.คาร์ลอทเท กาลีโอเน จากสถาบันวิจัยเภสัชกรรมมารีโอ เนกรี เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี พบว่า คนสูงอายุที่กินหอมและกระเทียมเป็นประจำมีความเสี่ยงต่อมะเร็งหลายชนิดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้กินหอมและกระเทียม ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า สารประกอบกำมะถันในกระเทียมและสารพฤกษเคมี (ฟลาโวนอยด์) ในหัวหอมน่าจะมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็ง
คนสูงอายุที่กินหัวหอมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 7 หน่วยบริโภค (1 หน่วยบริโภคประมาณ 240 มิลลิลิตร หรือประมาณ 1 ทัพพี) มีความเสี่ยงต่อมะเร็ง เช่น มะเร็งช่องปาก มะเร็งไต มะเร็งรังไข่ ฯลฯ ลดลงมากกว่าครึ่ง
ส่วนคนสูงอายุที่กินกระเทียมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 7 หน่วยบริโภค มีความเสี่ยงต่อมะเร็งต่าง ๆ ลดลงมากกว่า 1 ใน 4
นอกจากนี้จะกินหอมและกระเทียมแล้ว อย่าลืมกินผักและผลไม้อย่างอื่นให้หลากหลายด้วนนะคะ จะได้ช่วยป้องกันสารพัดโรคที่รอเล่นงานยามร่างกายอ่อนแอด้วยค่ะ

ที่มา : ชีวจิต


2008-11-27

Lron alwaysธาตุเหล็กพลาดไม่ได้

Lron always
ธาตุเหล็กพลาดไม่ได้
คืออะไร


เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ได้จากอาหาร 2 แบบ คือจากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว ปลาและสัตว์ปีก และจากพืช คือจากผลไม้และผัก ดังนั้นชาวมังสวิรัติมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจาง เนื่องจากขาดธาตุเหล็กจากสัตว์ แต่วิตามินซีจะช่วยเพิ่มการดูดซึมได้ ดังน้นการดื่มน้ำส้มวันละแก้วในมื้ออาหารอาจช่วยได้ แหล่งธาตุเหล็กทีดีคือ เนื้อไม่ติดมัน ปลาซาร์ดีน ผักใบเขียวเข้ม เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ หอยนางรม ถั่ว จมูกข้าว


ทำไมถึงต้องการ

ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบินซึ่งนำออกซิเจนเข้าไปในเซลล์เม็ดโลหิตแดงทั่วร่างกาย ธาตุเหล็กยังเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลายชนิดที่ช่วยเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนให้เป็นวิตามินเอธาตุเหล็กยังนำไปใช้ผลิตคอลลาเจนซึ่ง ทำให้เหงือก ฟัน และกระดูกแข็งแรง อีกทั้งเพิ่มความต้านทานต่อโรคภัย และเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพผมและเล็บอันดี

ถ้าขาดธาตุเหล็กร่างกายจะผลิตฮีโมโกลบินไม่ได้ และมีอาการหายใจเหนื่อยหอบเนื่องจากหัวใจบีบตัว เนื่องจากหัวใจบีบตัวเร็วและปอดพยายามนำออกซิเจนสู่ร่างกายมากขึ้นทำให้เหนื่อยง่ายไม่มีแรง และตัวซีดหน้ามืด อาจติดเชื้อเรื้อรังในช่องหู เหงือกและผิวหนัง ทำให้ผมร่วงได้ ภาวะขาดธาตุเหล็ก คือ โรคโลหิตจางเป็นโรคที่พบบ่อยในสตรีซึ่งไม่ด้รับธาตุเหล็กในปริมาณประจำวันที่กำหนดไว้

ต้องกินประมาณเท่าไร

ปริมาณที่ควรได้รับต่อวันสำหรับสตรีวัยเจริญพันธุ์ คือวันละ 14 มิลลิกรัม ซึ่งได้รับจากการกินถั่วอบในกระป๋อง 200 กรัมโปะขนมปังโฮลวีตเป็นอาหารเช้า รวมทั้งเนื้อไก่ 75 กรัม ในสลัดหรือแซนด์วิชเป็นอาหารกลางวัน กินตับ เนื้อ 75 กรัม เป็นอาหารค่ำ และกินเมล็ดฟักทอง 1 กำ ของขบเคี้ยวตลอดวัน สตรีหลังคลอดควรได้รับธาตุเหล็กวันละ 8.6 มิลลิกรัม

ที่มา : ชีวจิต

2008-11-26

ฟักทองมีคุณค่าทางอาหารสูง

ฟักทอง

ฟักทองมีคุณค่าทางอาหารสูง เป็นผักสุขภาพที่ดีต่อร่างกาย ทำให้ทั้งอาหารคาวและหวาน มี
เบต้าแคโรทีนเยอะ ซึ่งสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ ได้เฉพาะในวัยสูงอายุ นอกจากนี้ยังให้ธาตุเหล็กและวิตามินซี ตลอดจนไนอะซิน วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ให้กากใยสูง ไขมันน้อย อีกทั้งแคลอรี่ต่ำ จึงเหมาะเป็นอาหารควบคุมน้ำหนัก ฟักทองที่ดีต้องเนื้อแน่นเหนียว มีถิ่นกำเนิดในประเทศสหรัฐอเมริกาก็จริงแต่ไม่ค่อยใช้ฟักทองอย่างแพร่หลายนัก นอกจากการทำพายฟักทองหรือไม่ก็ใช้กันในวันฮัลโลวีนเท่านั้น

ที่มา : Slimming

2008-11-24

Amazing Aloe

Amazing Aloe

อโลเวร่า หรือ ว่านหางจระเข้ที่รู้จักกันดีทั่วโลกมาแต่โบราณ ในเรื่องคุณสมบัติการเยียวยาผิว ส่วนของต้นที่ถูกนำมาใช้คือ ใบ ซึ่งมีอัลลันโทลิน (Allantoin) อันทำให้มันมีคุณสมบัติในการเยียวยารักษา ว่านหางจระเข้ยังมีแอนตี้ออกซิแดนท์ตามธรรมชาติ ในรูปของวิตามินบี คอมเพล็กซ์ วิตามินซี และ วิตามินอี รวมทั้งเบต้าแคโรทีนที่จะถูกร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอที่ผิวต้องการ

ว่านหางจระเข้ไม่เพียงแต่เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลความงามมากมาย มันยังสามารถนำมาใช้ทาลงบนผิวโดยตรง เพื่อรักษารอยมีดบาด รอยไหม้แดด หรืออาการผื่นคันบนผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย แต่ถ้าจะใช้ว่านหางจระเข้สด ๆ จำไว้ว่าให้ใช้แต่เพียงเจลใสข้างใจ ซึ่งจะคงคุณภาพดีอยู่ได้ไม่เกินสี่ชั่วโมงหลังจากผ่าออกมา ดังนั้น จึงต้องใช้ให้หมดโดยเร็ว

ที่มา : Lisa

2008-11-22

องุ่นเป็นซันบล็อคของใหม่

องุ่นเป็นซันบล็อคของใหม่

มะเร็งผิวหนังไม่ได้หยุดแค่การโปะยากันแดดเท่านั้น สิ่งที่คุณกินเข้าไปมีช่วยป้องกันตามธรรมชาติด้วย นักคันคว้าจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน พบว่าอาหารธรรมดามีเครื่องปรุงที่ทำหน้าที่กันแดด และลดความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง อาหารมีแอนตี้ออกซิแดนท์เพียบสามารถกระตุ้นความสามารถในการต่อสู้อนุมูลอิสระสารเคมีอันตรายที่กระจายโดยแสงยูวี ดังนั้นก่อนไปชายหาดให้กินแอนตี้ออกซิแดนท์เพียบเข้าไว้เป็นดี

แอปริคอต มีเบต้าแคโรทีนสูงซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยดูดซึมอนูมูลอิสระที่รังสียูวีแพร่กระจาย
ทับทิม มีตัวแอนตี้ออกซิแดนท์ฝาดฟันมะเร็งมากกว่าผลไม้อื่นการศึกษาล่าสุดพบว่ากระตุ้นเอสพีเอฟในตัวได้ถึง 23%
เมล็ดทานตะวัน เต็มไปด้วยแร่ธาตุทองแดงที่ร่างกายใช้เพื่อสร้างเมลานินอันเป็นพิกเมนท์ช่วยป้องกันการทำอันตรายจากยูวี
ขนมปังไรย์ มีกรดเฟรูลิค(ferulic) เพียบซึ่งเป็นส่วนผสมป้องกันต้นไม้จากแสงแดดและมีผลอันเดียวกันกับมนุษย์ด้วย

ที่มา : Slimming

2008-11-21

เดินสบายไม่ปวดเข่า


เดินสบายไม่ปวดเข่า


วิตามินซีสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้คุณได้ เมื่อเร็ว ๆ นี้นักวิทยาศาสตร์ออกเตรเลียได้ค้นพบว่าแอนตี้ออกซิแดนท์ที่มีอยู่ในพริกหวาน ผลกีวี มะเขือเทศ และ ส้ม พืชเหล่านี้ช่วยป้องกันโรคข้อเข่าอักเสบ นักวิจัยได้สึกษาจากประชาชนวัยกลางคน 293 คน พบว่าเป็นผู้ที่ไม่มีอาการปวดเข่า สิบปีหลังจากนั้นเมื่อตรวจหัวเขาด้วยเครื่อง MRI จึงพบว่าพวกเขากินวิตามินซีช่วยลดความเสื่อมของเข่าและลดอาการเจ็บปวดจากกระดูกข้อเข่าเสื่อม นักวิจัยพบว่าแอนตี้อ๊อกซิเแดน์อื่น รวมถึง ลูทีน (Lutein คือ สารสีเหลืองที่ ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสีหรือแสงสีของเรตินาดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนแก่มองไม่เห็น) ซีแซนทิน (พบในพืชสีเขียว เช่น ผักขม) ที่ช่วยป้องกันความเสื่อมลงของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับอาหารเสื่อมและสึกหรอของอวัยวะในร่างกาย

ที่มา : Slimming

2008-11-20

แตงกวาช่วยลดน้ำตาลในเลือด

แตงกวาช่วยลดน้ำตาลในเลือด

แตงกวาลูกเล็กสีเขียวอมขาว มีประโยชน์ต่อสุขภาพเหลือหลาย เพราะมีวิตามิน A B และ C รวมทั้งสารที่คล้ายอินซูลินซึ่งจะช่วยลดน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ในแตงกวายังมีแคลอรี่ต่ำมาก ทั้งยังช่วยขจัดสารพิษ จึงไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะแต่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานเท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์ต่อสุขภาพโดยทั่ว ๆ ไปอีกด้วย
ข้อแนะนำ ปอกเปลือกแตงกวา ปั่นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำมะนาวและใส่น้ำแข็งลงไป ดื่มแล้วเย็นชื่นในดี

ที่มา : Lisa

2008-11-19

ดื่ม ชา..เขียว ดำ ขาวหรือแดงดี?

ดื่ม ชา..เขียว ดำ ขาวหรือแดงดี?

ปัจจุบันนี้คนไทยเรามีการนิยมดื่มชากันมากขึ้นเพราะเชื่อว่า จะเป็นผลดี และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ จนกระทั่งมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชาหลายชนิดให้เลือกจนเลือกกันไม่ถูกทั้งที่เป็นเครื่องดื่ม หรือการนำชาเขียวเป็นส่วนผสมใส่ในอาหารต่างๆ เช่น เค้ก ไอศกรีมชาเขียว นมชาเขียว ขนมปังชาเขียว ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจเรื่องชาจนมีหลายคนถามถึงว่า การใส่ชาเขียวลงในเครื่องสำอางต่างๆ เช่น สบู่, แชมพู, ครีมบำรุงผิวต่างๆ นั้นได้ประโยชน์จริงๆ หรือ วันนี้เราลองมาดูกันเกี่ยวกับเรื่องชาว่าเป็นอย่างไรกัน

ชาวจีนเป็นชนชาติแรกที่มีการดื่มชากันและต่อมาก็มีการแพร่หลายไปสู่ประเทศทางตะวันตกมากขึ้น และมีประวัติศาสตร์บางส่วนที่ชาทำให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างจีนกับอังกฤษ และสงครามอิสรภาพระหว่างอังกฤษ และอเมริกาชาทุกชนิดจะทำมาจากต้นชาที่มีชื่อว่า Camellia sinensis ส่วนชื่อที่เรียกต่างกันนั้นเนื่องจากขบวนการผลิตภัณฑ์ใบชาที่ต่างกัน การทำชาเขียว (green tea) นั้นจะเอาใบชามาอบ (steam) และทำให้แห้ง (dry) ซึ่งเป็นขบวนการที่ยังทำให้ใบชามีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) พวก โพลีฟีนอลส์ (polyphenols) อยู่ ส่วนชาดำ (black tea) นั้นจะผ่านขบวนการอ็อกซิเดชั่น (oxidation) ต่อไปทำให้มีการลดลงของสารต้านอนุมูลอิสระ ส่วนชาอูหลง (Oolong) จะผ่านขบวนการผลิตที่อยู่ระหว่างชาเขียว และชาดำทำให้รสชาติ กลิ่น

สารต้านอนุมูลอิสระอยู่ระหว่างชาเขียว และชาดำด้วยส่วนชาขาว (white tea) นั้นผลิตจากประเทศจีน ที่มีขบวนการผลิตภัณฑ์ที่น้อยลงทำให้มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียว เวลาชงจะได้สีออกจางๆ และรสชาติที่นุ่มนวลส่วนที่ได้ยินคำว่า "ชาแดง" (red tea) นั้นก็มีความหมายหลายอย่างเหมือนกันเป็นภาษาที่มาจากภาษาจีน ซึ่งตรงกับความหมายทางตะวันตกว่า ชาดำ (black tea) หมายถึง ชาอูหลง ดังที่ผมกล่าวข้างต้น หมายถึง "ชา" ที่ได้จากพืช Aspalanthus linearis ในอเมริกาตอนใต้ ซึ่งจะเห็นว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ชาเพราะชาที่แท้จริง (real tea ) ต้องได้จากพืช Camellia sinesis ซึ่งชาแดงชนิดนี้จะไม่มีคาเฟอีนและ แทนนิน (tannins) ปัจจุบันมีคนพยายามอ้างว่าเป็นน้ำดื่มสุขภาพ (health beverage) แต่ยังมีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับชาเขียว มีสารอะไรบ้างในชาสารคาเฟอีน (caffeine)

สารตัวนี้เป็นที่ถกเถียงกันในวงการแพทย์ว่ามีประโยชน์ หรือ โทษกันแน่ แต่โดยทั่วไปยอมรับกันว่าถ้าดื่มไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม ก็ไม่มีผลเสียอะไร ซึ่งในปริมาณนี้จะเท่ากับการดื่มกาแฟประมาณวันละ 2 ถ้วย (ถ้วยละประมาณ 8 ออนซ์) เท่ากับชาวันละประมาณ 5 ถ้วย (ใบชาจะมีคาเฟอีนประมาณ 30-40% ของกาแฟ)สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของต่างๆ ตัวที่สำคัญคือ กลุ่มโพลีฟีนอลส์ (polyphenols) ที่เด่นๆ คือ epigallocatechin-3-gallate (EGCG หรือ catechins) ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระนั้นมีมากมายตั้งแต่การป้องกันการเกิดโรคต่างๆ จนถึงมะเร็ง (รายละเอียดอ่านได้จากเรื่อง antioxidant *****tail ที่ผมเขียนไว้ในเล่มพฤษภาคมมาแล้ว)สารแทนนิน (tannin) ซึ่งช่วยในการบรรเทาอาการท้องเสีย

ควรต้มหรือแช่ชานานๆ เพื่อให้ได้สารแทนนินแร่ธาตุอื่นๆ เช่น ฟลูออไรด์ วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และอื่นๆ อีกหลายชนิดนอกจากนี้ก็ยังมีการใส่ชาเขียวลงในเครื่องสำอางต่างๆ เช่น สบู่, แชมพู, ครีมบำรุงผม นั้นยังไม่มีการทดสอบที่ดีพอทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ในคนที่จะบอกว่าได้ผลจริงใครบ้างที่ควรระวังในการดื่มชาโดยปกติแล้วถือว่าชาเป็นเครื่องดื่มที่มีความปลอดภัยสูง ยกเว้นในบางคนที่อาจโดนกระตุ้นด้วยสารคาเฟอีนง่าย (เช่นเดียวกับกาแฟ) ได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ไทรอยด์ โรคกระเพาะ หรือคนที่นอนหลับยาก ก็ไม่ควรดื่มชา กาแฟ หลัง 18.00 (หรือ12.00) ด้วยสำหรับผมตอนนี้ได้เริ่มดื่มชาเขียวสลับกับกาแฟแล้ว (ยังไงก็ยังดื่มกาแฟอยู่เพราะกลิ่นหอมมากครับ) เดี๋ยวนี้เขามีมีชาเขียวขายเป็นแบบถุงเล็กๆ สำหรับแช่และราคาไม่แพงมากเหมือนสมัยก่อน ยกเว้นวันหยุดก็จะต้มชาเขียวดื่มเองบ้าง เพราะบางคนบอกว่าการดื่มชาก็คล้ายๆ กับดื่มไวน์ในใบชาแต่ชนิดแม้จะพันธุ์เดียวกันแต่ปลูกในที่ต่างกันหรือเก็บเกี่ยวในฤดูกาลที่ต่างกันก็จะให้รสที่ต่างกันด้วยครับ


ที่มา : samunpri.com

2008-11-17

ผลวิจัยชี้ พริก กาแฟ พริกไทย ...ลดไขมัน

ผลวิจัยชี้ พริก กาแฟ พริกไทย ...ลดไขมัน

การใช้ สารสกัดจากธรรมชาติ ในรูปอาหารเสริม ผลิตภัณฑ์ทาภายนอกร่างกายให้ รูปร่างได้สัดส่วน ขณะนี้กำลังได้รับความนิยมทั้งในกลุ่มหญิง ชาย ที่ต้องการ ลดไขมันส่วนเกิน และ...เพื่อให้เป็นอีกทางเลือก ภญ.รศ.ดร. อรัญญา มโนสร้อย และ ภก.ศ.ดร.จีรเดช มโนสร้อย พร้อมด้วย นศ.ภ.จามร รุ่งโรจน์นวกุล และ นศ.ภ.ศุภลักษณ์ นันตา นักศึกษาปริญญาตรีผู้ช่วยวิจัย สายวิชาวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงคิดค้นพัฒนา ตำรับสมุนไพรเพื่อลดสัดส่วนในรูปแบบเจลใช้ทา ขึ้น โดยได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการ IRPUS ปี พ.ศ. 2550 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)

ภญ.รศ.ดร.อรัญญา หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า สมุนไพรที่นำมาใช้ได้แก่ พริก บริเวณส่วน “รก” ที่มีเมล็ดติดอยู่จะมีสาร capsaicin ทำให้เผ็ด ส่งผลให้ร่างกายขับเหงื่อ กำจัดสารพิษออกอันเป็นการลดน้ำหนัก น้ำมันจาก พริกไทย ซึ่งเป็นสารประเภท monoterpenes ร้อยละ 60-80 sesquiterpenes ร้อยละ 20-40 ที่สำคัญได้แก่ limonene, caryophyllene และ pinene

นอกจากนี้ โอลิโอเรซิน ในพริกไทย หากนำมาสกัดด้วยตัวทำละลาย จะได้สารประเภท อัลคาลอยด์ ที่สำคัญคือ piperine piperidine และ piperanine มีสรรพคุณใช้เป็นยาขับลม ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ ฯลฯ ส่วนคาเฟอีนใน กาแฟ ที่นอกจากจะช่วย กระตุ้นหัวใจ และ ระบบประสาทส่วนกลาง อย่างอ่อน ยังมีฤทธิ์ในการเพิ่ม fat oxidation และ mobilize fat

จากสรรพคุณดังกล่าว จึงน่าจะมีผลช่วยลดไขมันส่วนเกิน ทีมวิจัยจึงทำการสกัดด้วยวิธี continuous extraction, soxhlets extraction และ liquid-liquid extraction ตามลำดับ แล้วจัดทำ specification ของสารสกัดที่ได้ศึกษาความคงตัว พบว่า มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ทำให้เกิดปัญหาการดูดซึมไม่สามารถสารออกฤทธิ์ผ่านไปยังเซลล์ไขมัน

ดังนั้น จึงพัฒนาตำรับเจลที่เก็บกัก ในรูปของ “อนุภาคขนาดนาโน นีโอโซม” (อนุภาคขนาดเล็กระดับนาโนเมตร) ซึ่งมีส่วนประกอบของสารลดแรงตึงผิวชนิดไม่มีประจุ เช่น Tween และ Span ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารสกัดฯเข้าสู่ผิว ทำหน้าที่ช่วยออกฤทธิ์ที่เซลล์ไขมันได้ตามต้องการ อีกทั้งเป็นตัวพาสารเข้าชั้นผิวหนังได้ลึกและเพิ่มความคงตัว

จากนั้นนำมาผสมในเจลเบส จะได้เจลที่มีลักษณะสีส้มขุ่น มีกลิ่นของสมุนไพร นำมาศึกษาลักษณะความคงตัวทางเคมีและกายภาพที่อุณหภูมิ 4 ํC 25 ํC และ 45 ํC เป็นเวลา 30 วัน พบว่าตำรับเจลที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 25 ํC และ 45 ํC มีสีที่จางลงเมื่อเทียบกับตำรับที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 4 ํC นำเจลไปทดสอบในอาสาสมัคร

โดยใช้ทาที่บริเวณต้นแขนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในลักษณะเนื้อเจล การซึมซาบ และความหนืด ส่วนการลดไขมันส่วนเกินพบว่า อาสาสมัคร 26.67 เปอร์เซ็นต์ มีขนาดรอบต้นแขนลดลง แต่ไม่มีนัยสำคัญซึ่งจะต้องทำการศึกษาวิจัยเพื่อยืนยันในจำนวนอาสาสมัครที่เพิ่มมากขึ้นและใช้เวลาที่นานกว่า 2 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลที่ชัดเจนขึ้น ผลงานวิจัยนี้ น่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยยกระดับสมุนไพรไทยให้ก้าวไกลไปต่างแดน ในอนาคตอันใกล้นี้ได้อย่างแน่นอน.


ที่มา : samunpri.com

2008-11-14

เห็ด อาหารมหัศจรรย์

เห็ด อาหารมหัศจรรย์

ว่าเห็ดเป็นอาหารมหัศจรรย์นั้น จากฤดูการเกิดก็ไม่เหมือนกับพืชผักชนิดอื่นๆ ใช้เวลาเพาะเพียงสั้นๆ แต่ได้จำนวนมากมายดาษดื่น ถึงเวลางอกงามแต่ละทีก็ผุดขึ้นราวกับตั้งนาฬิกาปลุกธรรมชาติ พอใกล้เวลาก็มุดหายลงดิน เก็บตัวเงียบรอเวลาอีกครั้ง คนเก็บจะต้องมีความชำนาญ รู้ลักษณะ รู้ชนิด รู้ต้นตอแหล่งกำเนิด เพราะเห็ดบางชนิดเห็นหน้าตาสวยงาม อาจกลายเป็นเห็ดมีพิษ ใครไม่รู้จริงเผลอนำไปรับประทานเป็นได้เดือดร้อนกันแน่

ปัจจุบันเห็ดที่เรานิยมรับประทานกันมีอยู่มากมายหลายชนิด มีทั้งแบบสด บรรจุกระป๋อง หรือแม้แต่เห็ดตากแห้ง ความนิยมในการรับประทานมีมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยรูปแบบ และรสชาติเฉพาะตัวที่แตกต่างจากอาหารประเภทพืชผักด้วยกัน รวมทั้งการที่คนหันมานิยมรับประทานอาหารแบบมังสวิรัติกันมากขึ้นก็ทำให้เห็ดถูกนำมาใช้ปรุงอาหารแทนเนื้อสัตว์มากขึ้นตามไปด้วย มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่าเห็ดมีคุณสมบัติป้องกันโรคได้

ในประเทศจีน และญี่ปุ่น นิยมนำเห็ดมาปรุงเป็นน้ำแกง น้ำชา ยาบำรุงร่างกาย และยารักษาโรคต่างๆ มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดมากว่า 30 ปียืนยันว่าในเห็ดมีสารบางอย่างที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยในการต้านมะเร็งหลายๆ ชนิดด้วย ในสหรัฐอเมริกาก็มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดเช่นกันได้ผลออกมายืนยันการค้นพบแบบเดียวกับชาวเอเชีย แต่สำหรับการวิจัยถึงผลการใช้เห็ดเป็นยารักษาโรคนั้นยังคงอยู่ในขั้นแรกๆ เท่านั้น เห็ดที่นักวิทยาศาสตร์นิยมเอามาวิเคราะห์เพื่อการวิจัยนั้นส่วนใหญ่เป็นเห็ดชนิดที่คนมักนำมาปรุงอาหาร และหาได้ง่าย เช่น เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เห็ดกระดุมหรือแชมปิญอง เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดโคน เห็ดหูหนู หรือ เห็ดหลินจือ อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าเห็ดแชมปิญอง (White mushroom) มีบทบาทช่วยในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด เมื่อเทียบกับเห็ดรับประทานได้ชนิดอื่นๆ โดยสารบางอย่างในเห็ดชนิดนี้ไปช่วยยับยั้งเอ็นไซม์ aromatase ทำให้เกิดการยับยั้งการแปรฮอร์โมนแอนโดรเจนให้กลายเป็นเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมด ประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย

ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการทดลองนำเห็ดหอมมาสกัด พบว่าในเห็ดหอม ให้น้ำตาลโมเลกุลขนาดใหญ่ (mega-sugar) ที่เรียกว่า เบต้ากลูแคนส์ (beta-glucans) ถึง 2 ชนิด ได้แก่ lentinan และ LEM (Lentinula edodes mycelium) ซึ่งช่วยทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับการติดเชื้อ และชะลอการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งในการทดลองให้สาร lentinan กับผู้ป่วยมะเร็งร่วมกับการทำเคมีบำบัดก็พบว่าก้อนมะเร็งมีขนาดลดลง และอาการข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดก็เกิดขึ้นน้อยลงด้วย ขณะนี้ทีมวิจัยในญี่ปุ่นกำลังมองหาความเป็นไปได้ในการใช้ LEM ที่ได้จากเห็ดหอมมาบำบัดผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และยังพบอีกว่า สารสกัดจากเห็ดหอมอีกตัวหนึ่ง ชื่อ eritadenine เป็นตัวช่วยลดปริมาณไขมันในเลือดและระดับโคเลสเตอรอลให้กับร่างกายได้อีกด้วย หลากหลายพันธุ์เห็ดรสอร่อย เห็ดนำมาปรุงอาหารให้อร่อยได้หลากหลายวิธี ทั้งต้มน้ำแกง ผัด ยำ ย่าง หรือทอด ที่เห็นมากในบ้านเรา ได้แก่

- เห็ดหอม มีทั้งแบบเนื้อบางและหนา คนนิยมนำเห็ดหอมตากแห้งมาปรุงอาหารเพราะให้กลิ่นหอมมากกว่าแบบสด ซึ่งก่อนปรุงต้องลวกในน้ำเดือดประมาณครึ่งชั่วโมง หรือแช่น้ำอุ่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือข้ามคืน ช่วยให้เนื้อเห็ดนุ่มขึ้น น้ำแช่เห็ดหอมนี้ยังเก็บเอาไปทำเป็นน้ำสต๊อกปรุงรสอาหารได้ด้วย คนนิยมนำมาปรุงอาหารเจ เพราะเนื้อนุ่มเหนียวและกลิ่นหอมชวนกิน ชาวจีนยกให้เห็ดหอมเป็นอาหารตำรับ “อมตะ” เพราะคุณสมบัติความเป็นยาบำรุงกำลัง และบรรเทาอาการไข้หวัด การไหลเวียนเลือดไม่ดี ปวดกระเพาะอาหาร รวมทั้งอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย ซึ่งเห็ดหอมนี้จะให้โปรตีนได้มากกว่าเห็ดแชมปิญองถึง 2 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินบี ซีลีเนียม และธาตุอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยบำรุงกระดูกแข็งแรง ลดไขมันในเลือด และต้านโคเลสเตอรอล

- เห็ดหูหนูดำ นอกจากเห็ดหูหนูดำแล้วยังมีเห็ดหูหนูขาว เนื้อกรุบกรอบคล้ายๆ กัน แถมยังมีสีขาวน่ารับประทานมากกว่า ตามร้านเย็นตาโฟนิยมนำมาใช้แทนแมงกะพรุน หรือต้มเป็นสุกี้หรือทำยำรวมมิตรก็อร่อยไม่น้อย- เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า และเห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดสามอย่างนี้อยู่ในตระกูลเดียวกัน เจริญเติบโตเป็นช่อๆ คล้ายพัด เห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้าจะมีสีขาวอมน้ำตาล ขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำและเนื้อเหนียวหนา และนุ่มอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์มากกว่า จึงมักถูกจัดเป็นอาหารจานหรูเมนูจักรพรรดิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือด และโรคกระเพาะอาหาร เห็ดนางฟ้าและเห็ดนางรมผิวเรียบนุ่ม รสชาติก็นุ่ม นำมาปรุงได้หลายแบบทั้งผัด ชุบแป้งทอด หรือแม้แต่ย่างก็ให้รสชาติดี แต่ไม่ควรใช้ไฟแรงเพราะจะทำให้เนื้อสัมผัสหมดไป

- เห็ดฟาง เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาว ส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดตลอดทั้งปี ให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด เชื่อว่าหากรับประทานประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดการติดเชื้อต่างๆ แต่ก็ไม่ควรรับประทานสด ๆ เพราะมีสารที่คอยยับยั้งการดูดซึมอาหาร ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการผื่นคันต่าง ๆ

- เห็ดหลินจือ นอกจากใช้รับประทานแล้ว ปัจจุบันยังมีการนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางอีกด้วย เพราะมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย และกระตุ้นภูมิคุ้มกันไวรัส แถมยังมีฤทธิ์แก้อักเสบ ลดความดันเลือด แก้ปวดศีรษะ รวมทั้งลดไขมันในเส้นเลือดด้วย

- เห็ดเข็มทอง เป็นเห็ดสีขาวหัวเล็กๆ ขึ้นติดกันเป็นแพ รสชาติเหนียวนุ่ม นำมารับประทานแบบสดๆ ใส่กับสลัดผักก็ได้ ถ้าชอบสุกก็นำไปย่าง ผัดหรือลวกแบบสุกี้

- เห็ดกระดุม หรือเห็ดแชมปิญอง รูปร่างกลมมน ผิวเนื้อนุ่มนวล มีให้เลือกทั้งแบบสด หรือบรรจุกระป๋อง

นานาสารอาหารจากเห็ด
เห็ดเป็นอาหารที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาล และเกลือต่ำมาก แถมยังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี วิตามินบีรวม ซีลีเนียม โปแตสเซียม และทองแดง จึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงที่ควรเลือกรับประทานเป็นประจำ

ซีลีเนียม เป็นสารอาหารที่ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับวิตามินอี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและโรคภัยต่างๆ ที่มากับวัยสูงอายุ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การรับประทานเห็ดหอม (ชิ้นขนาดกลางๆ 5 ชิ้น) จะให้ซีลีเนียมประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน นอกจากในเห็ดแล้ว ยังมีอยู่ในธัญพืช และเนื้อสัตว์ด้วย

โปแตสเซียม เป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ความสมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาทต่างๆ ทาง FDA ของสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่าการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของโปแตสเซียมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความดันเลือดสูง และอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งในเห็ดนั้นมีโปแตสเซียมสูง และโซเดียมต่ำ การรับประทานอาหารที่ปรุงจากเห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง 1 จานจะให้โปแตสเซียมได้พอๆ กับส้มหรือมะเขือเทศลูกโตๆ เลยทีเดียว

วิตามินบีรวม ในเห็ดขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีรวม ไม่ว่าจะเป็น ไรโบฟลาวิน (ที่นอกจากจะได้จากเห็ดแล้ว ยังมีมากในเครื่องในสัตว์ นม ไข่ และเต้าหู้) ช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณและการมองเห็น ขณะที่ไนอาซิน (ยังพบมากในปลาทูน่า เนื้อแดง ถั่วลิสง และอะโวคาโด) จะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบประสาท สถาบันอาหารแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประมาณไว้ว่า การรับประทานเห็ดแชมปิญองขนาดกลางๆ 5 ชิ้น จะได้ปริมาณไรโบฟลาวินมากพอๆ กับการดื่มนมสดถึง 8 ออนซ์

ทองแดง เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกันเพื่อมาช่วยเสริมการทำงานของธาตุเหล็กเห็ดโคลน เป็นเห็ดหายาก รสอร่อย ที่จะมีให้รับประทานเฉพาะในหน้าฝน บางคนจึงนิยมนำมาทำเป็นเห็ดดองเพื่อเก็บไว้รับประทานตลอดปี

ที่มา : หนังสือ สยามดารา

2008-11-12

ปวยเล้ง ผักเพิ่มพลังของป๊อบอาย

ปวยเล้ง ผักเพิ่มพลังของป๊อบอาย

ตอนเด็กๆ การ์ตูนเรื่องโปรดที่ "108 เคล็ดกิน" ชอบดูอยู่บ่อยๆ ก็คือเรื่องป๊อบอาย กะลาสีเรือผอมแห้งแรงน้อย แต่จะมีพลังแข็งแรงขึ้นมาทุกครั้งเวลาที่ได้กินผัก Spinach ของโปรด เจ้าผักชนิดนี้หลายๆคนเข้าใจว่าคือผักโขม แต่จริงๆแล้ว Spinach ที่ป๊อบอายกินนั้นคือผัก "ปวยเล้ง" ต่างหาก

ทำไมป๊อบอายกินผักปวยเล้งแล้วจึงมีพลังขึ้นมาทันที? นั่นก็เพราะผักปวยเล้งนั้นมีประโยชน์มากมาย ตั้งแต่เเร่ธาตุอย่างธาตุเหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียม และวิตามินซี วิตามินบี 2 อีกทั้งยังมีกรดโฟลิกที่เป็นส่วนประกอบที่จำเป็นในการสร้างสารซีโรโทนินในระบบเซลล์ประสาท ซึ่งสารซีโรโทนินที่ว่านี้ก็มีความสำคัญคือจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย

หากขาดสารตัวนี้ก็จะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย นอกจากนั้นแล้ว ปวยเล้งยังมีคลอโรฟิลล์สูง จึงเหมาะกับผู้ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลีย และมีอาการเครียด ทั้งยังมีมีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ และช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย

แต่ในผักปวยเล้งมีกรดยูริกมาก คนที่ป่วยเป็นโรคเกาต์หรือไขข้ออักเสบจึงไม่ควรกินมากนัก และยังมีกรดออกซาลิกอยู่มากเช่นกัน ซึ่งกรดนี้ถ้ารวมตัวกับแคลเซียมจะก่อให้เกิดนิ่วได้ ก่อนจะปรุงอาหารจึงควรลวกผักปวยเล้งครั้งหนึ่งก่อนแล้วเทน้ำที่ลวกทิ้งไป แล้วจึงนำผักมาปรุงอาหาร

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

สารพัดคุณค่าจาก "ผักโขม"

สารพัดคุณค่าจาก "ผักโขม"

ผักโขมนั้นเป็นผักที่หลายๆประเทศทั่วโลกรู้จักกันมายาวนานแล้ว สำหรับในประเทศไทยเองก็นิยมกินผักโขมมานานเช่นกัน โดยผักโขมนั้นก็แบ่งออกเป็นหลายชนิดด้วยกัน เช่น ผักโขมบ้าน ผักโขมสวน และผักโขมจีน ซึ่งชนิดที่คนนิยมกินและมีวางขายทั่วไปก็คือผักโขมจีนนั่นเอง

สำหรับประโยชน์ของผักโขมนั้นก็มีมากมายไม่แพ้ผักชนิดไหนๆ

เริ่มตั้งแต่เป็นแหล่งวิตามินเอ วิตามินซี กรดอะมิโน และสารอาหารอื่นๆ เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม และฟอสฟอรัสสูง เป็นผักบำรุงน้ำนมสำหรับคุณแม่ลูกอ่อน และแม้ผักโขมจะเป็นผักใบเขียว แต่ก็มีเบต้าแคโรทีนสูง โดยมีสารลูทีนและสารเซอักแซนทิน ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอนด์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสารทั้งสองนี้มีสรรพคุณช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา ลดความเสี่ยงจากโรคดวงตาเสื่อมได้ถึงร้อยละ 43 ทั้งยังมีผลในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และมีสารซาโปนินที่ช่วยลดคอลเลสเทอรอลในเลือดได้อีกด้วย

นอกจากนั้นผักโขมยังมีเส้นใยอาหารมาก จึงช่วยระบบขับถ่าย และลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้

ผักโขมยังสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลาย ทั้งอาหารแบบไทยๆ อย่างแกงจืด แกงเลียง ผัดน้ำมัน หรือจะเป็นอาหารอิตาเลียนยอดฮิตอย่างผักโขมอบชีส ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูเด็ดของหลายๆ คนเช่นกัน

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

คุณรู้จักแตงกวาดีแค่ไหน

คุณรู้จักแตงกวาดีแค่ไหน

เชื่อว่าสาว ๆ คงรู้จักแตงกวามานานแล้ว แต่แน่ใจหรือว่าคุณรู้จักประโยชน์ที่แตงกวาสามารถเนตมิตให้ได้ครบทุกด้านแล้ว รู้กันหรือเปล่าว่าเนื้อของแตงกวาเป็นสารอาหารชั้นยอด มีทั้งโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบีและซี และเอนไซม์สำคัญ ๆ อีกหลายชนิด นอกจากนี้เมล็ดแตงกวาอ่อน ๆ ยังใช้เป็นยาแก้ไขและยาขับปัสสาวะที่คนโบราณนิยมกันมาก ส่วนเนื้อมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยบำรุงธาตุและถ้าผิวหนังอักเสบก็สามารถเอาแตงกวาไปตำแล้วเอามาพอกแผลแก้อักเสบได้ด้วย สำหรับเรื่องความสวยความงาม แตงกวาก็ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าช่วยกระชับรูขุมขน บำรุงผิวหน้า และลบรอยฝ้าได้ดี โดยเอาแตงกวาไปล้างให้สะอาด ฝานบาง ๆ แล้วเอาวางบนหน้าสัก 20 นาที แล้วล้างออก หรือจะเอาแตงกวาไปปั่นแล้วเอาน้ำที่ได้มาชโลมหน้าไว้ประมาณ 15 -20 นาที แล้วล้างออกก็ได้ ถ้าทำบ่อย ๆ รับรองหน้าจะเด็กลงไปหลายปีแน่นอน

ที่มา : Spicy

2008-11-07

ผักผลไม้กับการลดน้ำหนัก

ผักผลไม้กับการลดน้ำหนัก

อาหารที่ให้พลังงานและสารอาหารสูง แถมยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วย จึงเหมาะที่นักไดเอทจะพกไว้เป็นเสบียงคู่ใจเพื่อต่อสู้กับความหิวที่จะมาเยือนเวลาเราลดน้ำหนัก

1. แอปเปิ้ล
จะไดเอทกี่ทีก็ต้องมีแอปเปิ้ล เพราะมันเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารมาก กินแล้วหนักท้องดีนัก แถมยังไม่หวานจัด แคลอรีต่ำ และมีคุณค่าอาหารเพียบ ดีขนาดนี้ แม้แต่เวลาที่ไม่ไดเอท ก็ไม่ควรมองข้ามแอปเปิ้ลหรอกนะ

2. ลูกเกด
ลูกเกดมีแมงกานีสที่ช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหารของเราทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้การลดความอ้วนได้ผลและระบบย่อยก็ทำงานเป็นปกติ ส่วนระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของสาวๆ ที่กำลังไดเอทนั้น เจ้าลูกเกดก็จะช่วยให้เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้ไม่หิวบ่อย จะได้ไม่ต้องกินอะไรเพิ่ม

3. ลูกพรุน
ลูกพรุนคือสุดยอดแหล่งรวมวิตามิน กินแล้วช่วยให้ผิวสวย เหมาะสำหรับนักไดเอทที่มักจะมีผิวพรรณเหี่ยวแห้ง หน้าตาซีดเซียว นอกจากนี้ลูกพรุนยังทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ หมดปัญหาเรื่องหน้ามืดตาลายและทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดี น้ำหนักจะได้ลดลงสมใจ

4. ข้าวกล้องและธัญพืชไม่ขัดขาว
ข้าวกล้องจะช่วยให้สาวๆ อิ่มนาน เพราะมันมีเส้นใยสูงมาก ทำให้หนักท้อง ตัดปัญหาเรื่องอยากกินของว่างหรือของจุกจิกทิ้งไปได้เลย ส่วนสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์มากๆ ในข้าวกล้องก็ดีต่อสุขภาพของเรา ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี หมดปัญหาอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

5. อาหารทะเล
อาหารทะเลในที่นี้ไม่ได้หมายถึง หอยนางรม หรือปลาหมึกที่มีโคเลสเตอรอลสูง แต่ควรจะกินปลาตัวเล็กๆ ปลาทูน่า แซลมอน ปลาซีดีนเท่านั้น สารซีลีเนียม แมกนีเซียม แคลเซียม และสังกะสี ในปลาพวกนี้จะช่วยรักษาความสมดุลของระบบประสาท คุณจะได้ไม่กลายเป็นน้องเอ๋อ สมองเสื่อม คิดอะไรไม่ออกระหว่างที่ลดความอ้วนไง

6. ถั่ว
คนที่ลดน้ำหนักมักจะอารมณ์ไม่ค่อยดี หงุดหงิดงุ่นง่านเห็นช้างเท่าหมูได้ทั้งวัน แต่ถ้าได้กินถั่วจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้ เพราะร่างกายจะได้รับวิตามินบีและแมกนีเซียม ซึ่งช่วยการทำงานของระบบประสาทให้เป็นปกติ แค่นี้ก็ไม่ต้องกลายเป็นแม่หญิงสวยประหารประจำกลุ่มแล้ว

ที่มา : spicy

2008-11-06

ดื่มน้ำผลไม้ประจำ ใช่จะดี เสี่ยงเบาหวาน

ดื่มน้ำผลไม้ประจำ ใช่จะดี เสี่ยงเบาหวาน

เดลิเมล์ - เตือนดื่มน้ำผลไม้คั้นแค่วันละแก้ว อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งทะยาน นำพาโรคเบาหวานมาให้สำหรับบางคนงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า น้ำผลไม้ที่หลายคนมองว่าเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสมและมีประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ กลับเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานและโรคอ้วนในทางกลับกัน หากกินผลไม้ทั้งน้ำทั้งเนื้อ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้นักวิจัยจากฮาร์วาร์ด เมดิคัล สกูล

สหรัฐฯ เชื่อว่าสาเหตุอาจมาจากการที่น้ำผลไม้ไม่มีไฟเบอร์ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นนักวิจัยค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างโรคเบาหวานประเภท 2 กับน้ำผลไม้ ด้วยการติดตามผลสุขภาพและพฤติกรรมของพยาบาลกว่า 70,000 คนในช่วงเวลา 18 ปีสิ่งที่พบคือ พยาบาลที่กินผลไม้สามมื้อต่อวัน มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานลดลง 18% ขณะที่พยาบาลที่ดื่มน้ำแอปเปิลเดือนละ 3 แก้วกลับมีความเสี่ยงโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มน้ำแอปเปิลเดือนละไม่ถึงหนึ่งแก้วรายงานที่อยู่ในวารสารไดอะบีตส์ แคร์ยังระบุว่า การดื่มน้ำส้มวันละแก้วเพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวานถึง 24%

นักวิจัยกล่าวว่า การค้นพบว่าน้ำผลไม้มีส่วนเกี่ยวพันกับความเสี่ยงโรคเบาหวาน บ่งชี้ว่าผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพควรเปลี่ยนไปดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่นแทนน้ำผลไม้ รวมถึงควรยกเลิกคำแนะนำที่ว่า การดื่มน้ำผลไม้ได้ประโยชน์เหมือนการกินผลไม้จริง


ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

2008-11-05

การกินยากับน้ำผลไม้

การกินยากับน้ำผลไม้

ตามปกติ ส่วนใหญ่ เวลาเราไม่สบาย เราก็มักจะรับประทานยา
เพื่อที่จะได้หายไวๆ แต่จนแล้วจนรอด เราก็ดันเผลอ ดื่มน้ำผลไม้ตามเข้าไปอีก และนั่นอาจเป็นการก่อให้เกิดอันตรายอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ทางคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียที่ซานฟานซิสโก ได้เปิดเผยผลการวิจัยซึ่งบ่งชี้ว่า น้ำผลไม้ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกาย ที่จะทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาของยาหมดไป เพระก่อนที่ยานั้นจะซึมเข้าสู่กระแสเลือดเลือด น้ำผลไม้จะต่อต้าน การดูดซึมของยา ที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว และโรคภูมิแพ้ต่างๆ รวมไปถึงยาที่ใช้กับผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายอวัยวะใหม่

ผลการวิจัยได้รับการเปิดเผยก่อนหน้านี้ บ่งบอกถึงอันตรายของน้ำผลไม้ในแง่ที่ส่งผลต่อการรับประทานยาเช่นกัน เพราะฤทธิ์ในการทำลายเอนไซม์ในร่างกาย ที่ทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ยาเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป เมื่อเอนไซม์ชนิดนี้ลดลง ทำให้ตัวยาบางชนิด รวมถึงยาที่ใช้ในการรักษา โรคความดันโลหิตและแอนติฮิสตามีน (Antihistamines) มีฤทธิ์ในการรักษารุนแรงขึ้น เพราะในบางกรณีที่ร่างกายได้รับตัวยามากเกินขนาด จะเป็นการก่อให้เกิดผลเสีย ต่อการรักษาและร่างกายผู้ป่วยได้

2008-11-04

น้ำผลไม้ ทำให้ร่างกาย ดูดซึมยาได้ไม่ดี

น้ำผลไม้ ทำให้ร่างกาย ดูดซึมยาได้ไม่ดี

ผลการศึกษาของแคนาดา พบว่า น้ำผลไม้บางชนิด เช่น น้ำส้ม น้ำแอปเปิล และน้ำเกรพฟรุต อาจไปขัดขวางกระบวนการดูดซึมยาในร่างกาย ทำให้ยาที่กินเข้าไปรักษาโรคได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะยาที่ใช้รักษาโรคหัวใจ มะเร็ง รวมถึงยาที่ใช้บำบัดอาการติดเชื้อ หรือ ควบคุมอาการต่อต้านที่เกิดกับร่างกาย หลังได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ

โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวสต์เทิร์น ออนแทรีโอ ในแคนาดา ทดลองให้อาสาสมัครสุขภาพดี ใช้ยาแก้แพ้เฟโซเฟอนาดีน ควบคู่ไปกับการดื่มน้ำเกรพฟรุต อีกกลุ่มให้ยาแก้แพ้ประเภทเดียวกันพร้อมดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของสารนารินจีน ซึ่งจะทำให้น้ำผลไม้มีรสขม และอีกกลุ่มรับยาพร้อมดื่มน้ำเปล่า

ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ดื่มน้ำเกรพฟรุต จะดูดซึมยาแก้แพ้ได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ดื่มน้ำเปล่า ส่วนกลุ่มที่ดื่มน้ำผสมสารนารินจีน ก็จะดูดซึมยาได้ไม่ดีเช่นกัน เพราะสารตัวนี้จะไปขัดขวางไม่ให้ลำไส้เล็กดูดซึมยาเข้าสู่กระแสเลือดได้สะดวก
ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยจึงแนะนำให้คนไข้ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนจะกินยาพร้อมกับดื่มน้ำผลไม้ แต่ทางที่ดีควรกินยาพร้อมดื่มน้ำเปล่าตามลงไปจะดีที่สุด เพราะจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมยาได้ตามปกติ นักวิจัยยังคาดว่า น่าจะมียาอีกหลายประเภทที่ร่างกายดูดซึมได้ไม่ดี ถ้ารับประทานร่วมกับน้ำผล

ที่มา : ไอเอ็นเอ็น

2008-11-03

น้ำผักผลไม้-น้ำสมุนไพร ปนเปื้อน"น้ำใบบัวบก"ร้ายสุด

น้ำผักผลไม้-น้ำสมุนไพร ปนเปื้อน"น้ำใบบัวบก"ร้ายสุด

อย.สั่งอายัดนมผงนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 60 ตัน ส่งตรวจหาสารปนเปื้อน ชี้หากไม่ผ่านต้องส่งกลับต้นทาง-ทำลาย พร้อมเก็บตัวอย่างนม-ผลิตภัณฑ์ผสมนมจากจีน ตรวจ 97 ตัวอย่าง พบปนเปื้อนเมลามีนแค่ 2 ตัวอย่าง รอผลตรวจอีก 63 ตัวอย่าง ตะลึง "น้ำผักผลไม้-น้ำสมุนไพร" ทั่วกรุงเปื้อนจุลินทรีย์เพียบ "น้ำใบบัวบก" อันตรายสุดเผยในจำนวนนั้นเกิดจากเชื้อโรคที่ติดมากับมือคนตักขาย

เมื่อวันที่ 30 กันยายน นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รมช.สาธารณสุข แถลงว่าขณะนี้ได้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบนมผงจากจีน ได้แก่ ขนมปัง แคร็กเกอร์ (ไส้ครีม) ไอศกรีม เป็นต้น ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน จำนวน 97 ตัวอย่าง ผลการตรวจสอบจาก 34 ตัวอย่าง ไม่พบการปนเปื้อนสารเมลามีน 32 ตัวอย่าง ส่วน 2 ตัวอย่างมีการปนเปื้อนเมลามีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่นำเข้าจากจีน โดยบริษัทนมยี่ห้อดังแห่งหนึ่ง มีค่าเมลามีนที่ 0.38 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หรือ 0.38 พีพีเอ็ม และ 0.55 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม แต่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย ส่วนอีก 63 ตัวอย่าง กำลังรอผลตรวจวิเคราะห์

ผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ได้หนังสือรับรองจากอย.แล้ว ได้แก่ บริษัท ดีทแฮล์ม จำกัด มีผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด บริษัท มาร์ส ไทยแลนด์ อิงค์ จำกัด มีผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรอง 7 ชนิด บริษัท ซีโน-แปซิฟิก เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ได้รับการรับรอง 1 ชนิด และบริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ได้รับการรับรองไอศกรีม 4 ชนิด

นายวิชาญ เตือนให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากและเครื่องหมาย อย.มารับประทาน ไม่ควรเสี่ยงซื้อผลิตภัณฑ์ที่ลักลอบนำเข้า เพราะไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจาก อย. อาจมีการปนเปื้อนสารที่เป็นอันตรายได้ ดังนั้น จึงได้ตั้งวอร์รูมเพื่อติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที และเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้บริโภค อย.ได้นำข้อมูลและคำแนะนำสำหรับผู้บริโภคขึ้นเว็บไซต์ www.fda.moph.go.th รวมทั้งรายงานสถานการณ์ความคืบหน้าจากการประชุมวอร์รูมขึ้นเว็บไซต์ทุกวัน

นพ.ชาตรีบานชื่น เลขาธิการ อย. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา ได้เรียกประชุมหารือผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย โดยอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย จะต้องไม่พบการปนเปื้อนสารเมลามีน และสารในกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ กรดไซยานูริก แอมมีไลน์ แอมมีลีน โดยมีเกณฑ์ในการปฏิบัติเนื่องจากอาจมีการปนเปื้อนตามธรรมชาติ จึงกำหนดเกณฑ์ความปลอดภัยอาหารที่มีการปนเปื้อนสารเมลามีนและสารในกลุ่มเดียวกันไว้ว่า สำหรับนมผงทุกชนิด ต้องไม่เกิน 1 พีพีเอ็ม หรือ 1 ส่วนใน 1 ล้านส่วน หรือ 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารที่มีนมหรือองค์ประกอบของนมเป็นส่วนประกอบ ต้องไม่เกิน 2.5 พีพีเอ็ม หรือ 2.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

เลขาธิการอย. ชี้ว่า การนำเข้าอาหารเพื่อจำหน่าย จะต้องมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบของประเทศที่เป็นแหล่งผลิต หรือสถาบันเอกชนที่รับรองโดยหน่วยงานของรัฐที่รับรองประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดแล้ว ที่แสดงให้เห็นว่าไม่มีการปนเปื้อนสารเมลามีนและสารในกลุ่มเดียวกันเกินเกณฑ์ความปลอดภัยที่กำหนด ซึ่งประกาศฉบับนี้หากผู้ประกอบการรายใดฝ่าฝืนประกาศฉบับนี้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน-2 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท ทั้งนี้ จะนำเสนอ รมว.สาธารณสุข เพื่อลงนามในประกาศก่อนลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันถัดจากไป ก่อนประกาศจะมีผลบังคับใช้ จะใช้ พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 เกี่ยวกับอาหารที่น่าจะเป็นอันตรายเจือปนอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ภก.สาทิศตรีสัตยาเวทย์ ผอ.กองงานด่านอาหารและยา กล่าวถึงการนำเข้านมจากประเทศจีนของบริษัทนมชื่อดัง ว่า อย.ได้อายัดนมนำเข้าจากจีน ซึ่งบริษัทดังกล่าวนำเข้านมจากจีนเมื่อประมาณ 3 ปีมาแล้ว เดิมมีการนำเข้าจากนิวซีแลนด์ แต่เนื่องจากสภาพอากาศแห้งแล้ง นมขาดตลาด จึงได้นำเข้าจากจีน นอกจากนมผงที่อายัดไว้จำนวน 22 ตันเพื่อรอผลการตรวจวิเคราะห์ซ้ำแล้ว ขณะนี้ยังมีการอายัดนมผงอีกจำนวน 60 ตัน จาก 4 ลอตที่มีการนำเข้าที่ท่าเรือ หากผลการตรวจวิเคราะห์ออกมามีความปลอดภัยก็สามารถนำนมผงดังกล่าวเข้ามาเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้ แต่ถ้าไม่ผ่านมีการปนเปื้อนเมลามีน จะต้องส่งกลับไปยังประเทศต้นทางทันที หากไม่ส่งกลับ อย.จะนำไปทำลายต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการแถลงข่าวนพ.ชาตรี ได้สั่งการให้เก็บตัวอย่างนมผง 60 ตัน ส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ด้วย เพื่อเป็นการยืนยันผลการตรวจ

ขณะที่อันตรายจากการบริโภคอาหารปนเปื้อนยังขยายเพิ่มอีกน.ส.ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผู้อำนวยการกองควบคุมอาหาร (อย.) กล่าวว่า จากกระแสความใส่ใจต่อสุขภาพ ทำให้คนไทยหันมาดื่มน้ำผักผลไม้หรือน้ำสมุนไพรกันมากขึ้น แต่น้ำผลไม้และน้ำสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านความร้อนเพียงเล็กน้อย จึงมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจุลินทรีย์ในทุกช่วงการผลิต โดยเฉพาะหลักการผลิตและการวางจำหน่ายจะมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์มาก เนื่องจากไม่มีกระบวนการฆ่าเชื้อ ดังนั้น อย.จึงได้ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการปนเปื้อนจุลินทรีย์ในเครื่องดื่มสมุนไพร โดยศึกษาการปนเปื้อนจุลินทรีย์ในเครื่องดื่มสมุนไพรในภาชนะที่บรรจุปิดสนิทและพร้อมบริโภคที่จำหน่ายในเขต กทม. 50 เขต

ทั้งนี้น้ำผักผลไม้และน้ำสมุนไพรที่ได้เก็บตัวอย่างสำรวจ 455 ตัวอย่าง ได้แก่ น้ำใบบัวบก น้ำสำรอง น้ำเฉาก๊วย น้ำบีทูรท น้ำกระเจี๊ยบ น้ำเสาวรส น้ำเก๊กฮวย และน้ำจับเลี้ยง ทั้งในแบบภาชนะบรรจุปิดสนิทและตักขาย ผลตรวจวิเคราะห์พบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์สูงมากถึง 316 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 69.45 โดยแบบบรรจุภัณฑ์ปิดสนิท พบปนเปื้อนจุลินทรีย์มากที่สุดในน้ำใบบัวบกที่พบการปนเปื้อนสูงถึงร้อยละ 97.83 รองมาคือน้ำจับเลี้ยงร้อยละ 90 น้ำเสาวรสร้อยละ 87.88 น้ำบีทรูทร้อยละ 84.61 น้ำเฉาก๊วยร้อยละ 67.35 น้ำสำรองร้อยละ 62.50 น้ำกระเจี๊ยบร้อยละ 55.36 และน้ำเก๊กฮวยร้อยละ 54.69

ส่วนผลการตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนในน้ำผักผลไม้และน้ำสมุนไพรชนิดตักขายพบว่าน้ำสำรองมีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ร้อยละ 100 รองลงมาคือน้ำใบบัวบกร้อยละ 85.71 น้ำเฉาก๊วยร้อยละ 78.51 น้ำเก๊กฮวยร้อยละ 71.05 น้ำกระเจี๊ยบร้อยละ 50 และน้ำจับเลี้ยงร้อยละ 46.15 ส่วนน้ำเสาวรสจากตัวอย่างไม่พบการปนเปื้อนเลย โดยลักษณะการวางจำหน่ายที่มีใช้ถุงพลาสติกบรรจุน้ำแข็งมัดปากถุงวางลงในโหลเพื่อรอตักขาย พบการปนเปื้อนถึงร้อยละ 77.41 ขณะที่น้ำสมุนไพรที่วางจำหน่ายแบบไม่แช่เย็นจะพบการปนเปื้อนเพียงร้อยละ 45.41

นอกจากนี้การปนเปื้อนที่พบดังกล่าว ยังเกิดจากมือของผู้จำหน่ายร้อยละ 65.22 รองมาเป็นภาชนะและอุปกรณ์ร้อยละ 31.25 สำหรับเชื้อจุลินทรีย์ปนเปื้อนที่พบ ได้แก่ ยีสต์, คอลิฟอร์ม, โมลด์, อีโคไล และสเตปฟิโลคอคคัส ออเรียส บ่งบอกว่ามีการปนเปื้อนอุจจาระ และอาจก่อให้เกิดภาวะท้องร่วงได้ ทั้งนี้ผลการสำรวจนี้ ชี้ว่าในการจำหน่ายน้ำผักผลไม้และน้ำสมุนไพร ควรมีการพัฒนารูปแบบสำหรับการวางจำหน่ายเพื่อให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากเชื้อจุลินทรีย์ โดย อย.จะทำการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

น.ส.ทิพย์วรรณ กล่าวต่อว่า จากผลการสำรวจดังกล่าว ชี้ชัดว่าผู้จำหน่ายส่วนใหญ่ขาดองค์ความรู้ ทำให้เกิดการปนเปื้อน ซึ่งการทำน้ำผักผลไม้และเครื่องดื่มสมุนไพรดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นการขายตรงผลิตหน้าร้าน ไม่ต้องขออนุญาต แต่ยังต้องคงในเรื่องความปลอดภัย โดยการปนเปื้อนที่พบชี้ว่า การผลิตยังขาดสุขลักษณะที่ดี เชื้อเหล่านั้นทำให้อาหารเน่าเสียง่าย และอาจก่อให้เกิดปัญหาท้องเสีย แต่ไม่ก่อความรุนแรง เชื้อยีสต์ และโมลด์มาจากอากาศทั่วไป

ส่วนคอลิฟอร์มชี้ว่าไม่ถูกสุขลักษณะ อย่างไรก็ตาม อย.กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหา ในปีหน้าจะมีโครงการพัฒนาการจำหน่ายและผลิตน้ำผักผลไม้และน้ำสมุนไพร เพื่อให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยจะนำร่องในบางพื้นที่ของ กทม. ซึ่งจะมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ พร้อมทั้งจัดทำคู่มือเพื่อให้ผู้ผลิตปฏิบัติตาม ส่วนที่พบว่าน้ำใบบัวบกมีการปนเปื้อนมากที่สุด เนื่องจากเป็นพืชที่อยู่ใต้น้ำ ผู้ผลิตล้างไม่สะอาดเพียงพอจึงเกิดปัญหา

2008-11-01

10 อันดับเครื่องดื่มมีประโยชน์ที่สุด

10 อันดับเครื่องดื่มมีประโยชน์ที่สุด

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส จัดอันดับ 10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก โดยดูที่ระดับสารแอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ

ปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ มีประ โยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง

สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ น้ำทับทิม ไวน์แดง น้ำองุ่นคอนคอร์ด น้ำบลูเบอร์รี่ น้ำแบล็กเชอร์รี่ น้ำอะซาอี น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำส้ม น้ำชา และน้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา

2008-10-31

ประโยชน์ของแคนตาลูป

ประโยชน์ของแคนตาลูป

ใครที่ชอบทานผลไม้โดยเฉพาะแคนตาลูป แล้วรู้ถึงประโยชน์ของแคนตาลูปกันหรือไม่? วันนี้มีเรื่องนี้มาบอกกันค่ะ....

แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่มีรูปร่าง ลักษณะคล้ายผลแตงไทย แต่จะแตกต่างกันตรงที่เปลือกนอกของแคนตาลูปจะค่อนข้างแข็ง และมีเนื้อในขาวนวลกว่า รวมทั้งรสชาติจะหวานกรอบ ไม่นิ่มเหมือนแตงไทย นิยมรับประทานสด ทำเป็นสลัด น้ำผลไม้ และของหวานบางชนิด

แคนตาลูปจัดเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หลาย ๆ คนอาจไม่เคยทราบเลยว่า เนื้อแคนตาลูปนั้นมีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา มีวิตามินซี ที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีแคลเซียม ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังมีความหวานของน้ำตาลธรรมชาติ รวมถึงสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายด้วย

รู้อย่างนี้แล้ว หันมาทานแคนตาลูปกันดีกว่า จะได้มีสุขภาพที่ดี...


ที่มา : สยามดารา

2008-10-30

ประโยชน์จากผลไม้ ที่คนไทยไม่คุ้น


ประโยชน์จากผลไม้ ที่คนไทยไม่คุ้น


ประเทศไทยจัดได้ว่าเป็นเมืองที่มีผลไม้กินตลอดปี ไม่ว่าจะเป็น เงาะ ลำไย ส้ม กล้วย ฯลฯ และยิ่งเดี๋ยวนี้เรานำเข้าผลไม้จากต่างประเทศเข้ามาด้วย จะยิ่งทำให้ประเทศเราอุดมไปด้วยผลไม้นานาชนิด แถมบางชนิดหน้าตาแปลกๆ เพราะเข้ามาจากต่างประเทศ ผลไม้ที่นำเข้ามานั้น จะมีลักษณะเด่นที่ดูแปลกตาคนไทย จนบางครั้งคนที่เพิ่งเห็นก็จะคิดว่า "เอ๊ะ มันอะไรกันเนี่ย" หรือ "หน้าตาดูไม่น่ากินเลย จะกินได้ไหม" ทำให้หลายคนไม่กล้าลอง แต่แม้ว่าผลไม้นอกจะมีหน้าตาที่ดูแปลกและสีสันไม่น่ามองเท่าไรนัก แต่ผลไม้เหล่านี้อุดมไปด้วยคุณค่าและประโยชน์ที่คาดไม่ถึง จะมีผลไม้อะไรบ้างเราลองมาติดตามดูกันได้เลย...


แก้วมังกร (Dragon Fruit) แก้วมังกร เป็นไม้จำพวกแคนตัส (ตะบองเพชร) เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากอเมริกาใต้ ส่วนไทยนำเข้ามาจากเวียดนาม ที่ได้ชื่อว่า แก้วมังกรนั้น เพราะผลมีลักษณะคล้ายลูกแก้ว อยู่กึ่งกลางระหว่างกิ่ง 2 กิ่ง (คล้ายมังกรกำลังเฝ้าลูกแก้ว) พันธุ์นี้จะมีเนื้อสีขาว ส่วนพันธุ์ที่เนื้อสีแดงจะเป็นสายพันธุ์มาจากไต้หวัน พืชจำพวกกระบองเพชรอย่างแก้วมังกร จะมีสารมิวซิเลจ (Mucilage) จำพวกโปลีแซคคาไรด์เชิงซ้อนอยู่มาก ซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำตาลกลูโคสในผู้ที่เป็นเบาหวาน โดยไม่พึ่งอินซูลินและสามารถลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และ LDL คอเลสเตอรอลได้ นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มธาตุเหล็ก บรรเทาอาการเลือดจาง และยังมีสรรพคุณในการป้องกันโรคหัวใจ ความดันเลือด ตับ เบาหวาน มะเร็งลำไส้ และต่อมลูกหมาก ทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับกระดูก ฟัน และกล้ามเนื้อ

อโวคาโด (Avocado) อโวคาโด มีบ้านเกิดอยู่ในแม็กซิโก เป็นผลไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในประเทศเขตร้อนหรือกึ่งร้อน ซึ่งมีปลูกในไทยมานานแล้ว นำเข้ามาโดยหมอสอนศาสนาแต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก เพราะรสชาติไม่เป็นที่คุ้นลิ้นคนไทย นอกจากนี้หลายคนยังคิดว่าอโวคาโดมีไขมันและคอเลสเตอรอลมาก แต่จริงๆ แล้ว ไขมันในอโวคาโดเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนน้ำมันมะกอก ทั้งยังมีวิตามิน อี สูง ทำให้มีสรรพคุณในการบำรุงผิว

กีวี (Kiwi) กีวี ผลไม้หน้าตาประหลาด สีน้ำตาล มีขน มองอย่างไรก็ไม่เห็นจะน่ากินตรงไหน กีวีมีถิ่นเกิดอยู่ที่เมืองจีน แต่เป็นที่นิยมที่นิวซีแลนด์ กีวี มีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 2 เท่า กากใยก็มากกว่าแอปเปิ้ล นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโปแตสเซียม จึงมีส่วนช่วยลดความดันเลือด ลดความเครียดและความอ่อนเพลีย ทั้งยังช่วยให้ระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นด้วย
ลูกพรุน, ลูกพลับ และ ลูกไหน (Prun, Plub & Plum) หลายคนคงสงสัยว่า ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้ ต่างกันอย่างไร ความจริงแล้ว ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้ คือ ผลไม้ชนิดเดียวกัน เพียงแต่ลูกพรุนเป็นการนำลูกพลับมาตากแห้ง ส่วนลูกไหนเป็นชื่อที่คนจีนเรียกลูกพลับ ประโยชน์ของลูกพรุนนี้มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก อุดมไปด้วยไฟเบอร์ แมกนีเซียม เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามิน บี สาวๆ ที่ต้องการลดความอ้วน กินลูกพรุนเยอะๆ จะดี เพราะลูกพรุนมีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย แถมเป็นยาระบายอ่อนๆ อีกด้วย

เบอร์รี่ (Berry) เบอร์รี่ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ว่าจะเป็นสตอร์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ จัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน ซี สูง นอกจากนี้จะมีโปรแตสเซียม และเส้นใยอาหารสูงด้วย - แบล็คเบอร์รี่ มีโฟโตเคมีคอล ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและช่วยในเรื่องการขับถ่าย - บลูเบอร์รี่ ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ - ราสเบอร์รี่ มีใยอาหาร วิตามินซี, เค และยังมีแมงกานีสที่ช่วยการทำงานของปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ

ทับทิม (Punica/Stone Apple) ทับทิม เป็นผลไม้ขนาดเล็ก นิยมปลูกเป็นไม้มงคลหรือประดับเพื่อความสวยงามมากกว่าจะนำไปใช้ประโยชน์เป็นร่มเงา ทับทิมนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นดอก ใบ ราก และผลยังอุดมไปด้วยโปแตสเซียม วิตามินซี และวิตามินบี๖ ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ให้อยู่ในรูปที่ร่างกายต้องการและนำไปใช้ประโยชน์ได้ จึงทำให้ทับทิม มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ท้องร่วง ขับพยาธิ แก้ร้อนใน แก้ไข้ตัวร้อน บรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหาร แก้ริดสีดวงทวาร นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นยาบำรุงเลือดได้ ด้วยความที่ทับทิมมีรสหวานอมเปรี้ยว จึงทำให้อุดมไปด้วยวิตามินซี จึงช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้

กระทกรก / เสาวรส (Passion Fruit) กระทกรก หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เสาวรส เป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงสายตา และผิวพรรณ เนื่องจากมีวิตามินเอ สูง ทั้งยังช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ลดไขมันในเส้นเลือด และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ในเสาวรสนั้นมีวิตามินซี สูง คือ 39.1 มก./100 มก. ซึ่งมีมากกว่ามะนาวเสียอีก

มะเม่า (Mamao) มะเม่า เป็นผลไม้สมุนไพร สายพันธุ์เดียวกับเบอร์รี่ มีบ้านเกิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย เป็นพืชที่นิยมมาทำเป็นไวน์ผลไม้ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่ต่างชาตินิยมเป็นอย่างมาก เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารมาก เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินซี, บี1, บี2 และวิตามิน อี ทั้งยังให้แคลเซียมและธาตุเหล็กด้วย มีฤทธิ์ในการช่วยขับปัสสาวะ บำรุงไต แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้มดลูกอักเสบบวมช้ำ ขับเลือดและน้ำคาวปลา

2008-10-29

กินผักผลไม้ห้ามนิ่วในถุงน้ำดี ควรกินปนเปกันไป

กินผักผลไม้ห้ามนิ่วในถุงน้ำดี ควรกินปนเปกันไป

กินผักผลไม้ห้ามนิ่วในถุงน้ำดี ควรกินหลายอย่างปนเปกันไป
วารสารการแพทย์อเมริกันลงพิมพ์ผลการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างจำนวนมากว่า ผู้หญิงที่รับประทานผักผลไม้เป็นประจำอาจ มีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดี และทางเดินน้ำดี แบบเจ็บปวดน้อยกว่าผู้ที่รับประทานผักผลไม้น้อย

ผลการศึกษาข้อมูลของพยาบาล 77,090 คน ที่ตอบแบบสอบถามเมื่อปี 2527 ขณะอายุระหว่าง 37-64 ปี เกี่ยวกับอาหารการกิน จากนั้นติดตามอัตราการผ่าตัดถุงน้ำดีไปจนถึงปี 2543 พบว่ามีผู้ที่ต้องผ่าตัดถุงน้ำดี 6,600 คน แต่กลุ่มที่รับประทานผักผลไม้มากที่สุดตั้งแต่เริ่ม การศึกษามีแนวโน้มต้องผ่าตัดน้อยกว่ากลุ่มที่รับประทานผักผลไม้น้อยที่สุดราวร้อยละ 21 ผู้ที่จัดว่ารับประทานผักและผลไม้มากที่สุดคือ รับประทานไม่ต่ำกว่า 7 ครั้งต่อวัน ส่วนผู้ที่รับประทานน้อยที่สุดคือ รับประทานไม่ถึง 3 ครั้งต่อวัน

ผลการศึกษาพบว่า ผลไม้ประเภทส้มและมะนาว ผักใบเขียว และอาหารทุกประเภทที่มีวิตามินซีสูงให้ผลป้องกันการเป็นนิ่วแบบมีอาการเจ็บ อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยแนะว่าลำพังวิตามินซี เพียงอย่างเดียวคงไม่ใช่สาเหตุในเรื่องนี้ แต่น่าจะเกิดจากการได้รับสารอาหารหลายอย่างในผักผลไม้ จึงควรบริโภคผักและผลไม้ในปริมาณมาก.

ที่มา : สยามดารา

2008-10-28

บร็อกโคลี่ทำให้เซลล์ผิวต่อสู้กับแสงยูวี

บร็อกโคลี่ทำให้เซลล์ผิวต่อสู้กับแสงยูวี

บร็อกโคลี่เป็นผักสีเขียว รับประทานแล้วดีต่อสุขภาพแน่นอน และข้อดีอีกอย่างหนึ่งที่นักวิทยา ศาสตร์เพิ่งค้นพบคือ บร็อกโคลี่ช่วยป้องกันผิวไม่ให้ได้รับความเสียหายจากรังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสียูวีได้ด้วย

ดร.พอล ทาลาเลย์ อาจารย์จากจอห์นฮอปกินส์ยูนิเวอร์ซิตี้ ทำการสกัดเมล็ดบร็อกโคลี่และนำมาใช้ในการลดผิวที่แดงและได้รับความเสียหายจากรังสี ยูวี จากการทดลองพบว่า สารสกัดจากเมล็ดบร็อกโคลี่ที่มีสาร "ซัลโฟราเฟน" นั้นลดความแดงของผิวได้ดีกว่าผิวที่ไม่ได้ทาด้วยสารสกัดถึง 1 ใน 3


ทาลาเลย์อธิบายเพิ่มเติมว่า สารสกัดจากเมล็ดบร็อกโคลี่ไม่ได้ทำหน้าที่ต่อต้านรังสียูวีเหมือนกับโลชั่นกันแดด เพราะโลชั่นกันแดดนี้จะช่วยต้านแสงยูวีด้วยการกั้นแสง ขณะที่สารสกัดจะช่วยเซลล์ผิวให้ต่อสู้กับผลกระทบจากรังสียูวี นอกจากนี้ ยังให้ผลนาน อย่างในการทดลองนั้นแม้หยุดทาสารสกัดไปแล้ว 2 วัน เซลล์ผิวยังต่อสู้กับรังสียูวีอยู่

สารสกัดนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการป้องกันผิวจากรังสียูวี โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง แต่ไม่สามารถใช้แทนโลชั่นกันแดด

2008-10-27

ยาธาตุเปลือกอบเชย ภูมิปัญญาไทยเพื่อสุขภาพอันยั่งยืน

ยาธาตุเปลือกอบเชย ภูมิปัญญาไทยเพื่อสุขภาพอันยั่งยืน

ในทางการแพทย์แผนไทยมีทฤษฎีวินิจฉัยโรคที่สามารถเข้าใจได้ง่ายไม่ซับซ้อน คือ ทฤษฎีธาตุสมุฏฐานวินิจฉัย ซึ่งเป็นวิธีวิเคราะห์ธาตุอันเป็นที่ตั้งของการเกิดโรคต่างๆ เมื่อเอ่ยถึงธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ คนไทยทั่วไป แม้ไม่ใช่หมอย่อมรู้จักกันดีว่าเป็นองค์ประกอบของร่างกาย ตรงนี้ถือเป็นพื้นฐานภูมิปัญญาไทยแบบองค์รวมที่สำคัญ

ถ้าถามว่า “ ธาตุ ” คืออะไร ก็ตอบได้เบื้องต้นตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาว่า “ สิ่งที่ทรงสภาวะของตนอยู่เอง อันเป็นส่วนสำคัญที่คุมกันเป็นรูปร่างของสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ”ในทางแพทย์แผนไทยถือว่าคนเป็นธาตุ 4 ที่มีชีวิตจึงมีชื่อเรียกเป็นพิเศษว่า “ มหาภูตรูป ” ตามรูปศัพท์นั้น “ ภูติ ” หมายถึง ภูตผี ภาพมายาหลอกหลอน หรือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

ในที่นี้คำว่า “ มหาภูตรูป ” น่าจะมีความหมายว่า รูปอันยิ่งใหญ่ที่บังเกิดขึ้นแล้วโดยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาคุมกันเข้าเป็นรูปมนุษย์ ซึ่งมีความละเอียดซับซ้อนพิสดารกว่าธาตุ 4 ของสิ่งไม่มีชีวิต ตามทฤษฎีธาตุสมุฏฐานนั้น หากธาตุทั้ง 4 ตั้งอยู่ในสมดุลย์ สุขภาพของเราก็จะเป็นปกติ ไม่เจ็บไม่ไข้แต่หากธาตุตัวใดตัวหนึ่งหรือมากกว่าสองตัวเกิดแปรปรวนเสียสมดุลย์ ร่างกายของเราก็จะเกิดอาการเจ็บป่วยมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับภาวะการเสียสมดุลย์ธาตุว่ารุนแรงแค่ไหน

ในบรรดาธาตุทั้ง 4 นั้น ท่านว่าธาตุดินสำคัญที่สุด เพราะเป็นธาตุที่เป็นพื้นฐานโครงสร้างของร่างกาย เปรียบเหมือนตัวถังรถยนต์ โดยปกติธาตุดินจะมั่นคงไม่แปรปรวนง่ายๆ เหมือนธาตุอื่นๆที่เป็นของไหลและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามแม้ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ จะเคลื่อนไหวแปรปรวนอย่างไร หากธาตุดินยังหนักแน่นมั่นคงอยู่ ชีวิตก็ยังดำเนินอยู่ต่อไปได้ แต่ถ้าหากธาตุดินเกิดขยับแปรปรวนมากเมื่อใด ธาตุอื่นๆ ก็จะตั้งอยู่ไม่ได้และจะมาประชุมกันให้โทษเรียกว่า “ มหาสันนิบาต ” เมื่อธาตุทั้ง 4 เสียสมดุลย์พร้อมกันอย่างรุนแรง ก็หมายความว่าชีวิตจะดำเนินอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้น ในทฤษฎีการแพทย์แผนไทย การคุมธาตุดินจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นการคุมฐานที่มั่นของร่างกายนั่นเอง หากคุมธาตุดินได้ก็เท่ากับคุมธาตุอื่นได้ทั้งหมดด้วย

แม้ธาตุดินจะหนักแน่นมั่นคงเพียงใด แต่ก็มีจุดอ่อน คือ อาหารที่นำสู่ร่างกายนั่นเอง อาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการหล่อเลี้ยงชีวิต ในขณะเดียวกันก็อาจกลายเป็นปัจจัยบั่นทอนความมั่นคงของชีวิตด้วย ในบรรดาธาตุดินทั้ง 20 ประการ นั้น อาหารใหม่ (อุทริยัง) และ อาหารเก่า (อุจจาระ) ก็นับเป็นธาตุดินด้วยเช่นกัน ทั้งยังเป็นธาตุดินที่ชี้เป็นชี้ตายต่อชีวิตสำคัญเท่ากับหัวใจเลยทีเดียว ดังข้อความในพระคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัยที่ว่า “ สมุฏฐานปถวีธาตุพิกัด เป็นที่ตั้งแห่งวีสติปถวี (ธาตุดิน 20 ประการ) ซึ่งวิปริต (ผิดปกติ) เป็นชาติ (เกิดขึ้น) จลนะ (แปรปรวน) ภินนะ (แตกสลาย) ก็อาศัย หทัยวัตถุ (หัวใจ) อุทริยะ (อาหารใหม่ ในกระเพาะอาหาร) และ กรีสะ (อุจจาระในลำไส้ใหญ่) ”

แปลความจากคัมภีร์ให้เข้าใจง่ายๆ ได้ว่า ในบรรดาธาตุดินทั้ง 20 ประการนั้นธาตุดินที่ก่อให้เกิดความแปรปรวนจนนำไปสู่การเสียสมดุลย์ธาตุได้ก็คือ หัวใจ อาหาร และ อุจจาระ นั่นเอง ดังนั้นอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว อาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องเสีย หรือกินอาหารไม่รู้รส จึงมิใช่อาการธรรมดาที่จะมองข้าม แต่เป็นการส่งสัญญาณของการเริ่มเสียสมดุลย์ของธาตุดิน อันเนื่องจากอาหารไม่ย่อย หรืออาหารผิดสำแดง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ให้แปรปรวนและเสียสมดุลย์ไปด้วย นับแต่โบราณกาลมา หมอไทยรู้จักใช้ตำรับยาขนานหนึ่งเพื่อใช้คุมธาตุดินมิให้กำเริบนั่นคือ ยาคุมธาตุหรือที่เรียกกันสั้นๆว่า “ ยาธาตุ ”

ตำรับยาธาตุแผนไทยนั้นมีหลายขนานด้วยกันในที่นี้ขอนำเสนอตำรับยาธาตุที่ได้ผ่านการท้าพิสูจน์มาแล้วจากกระบวนการวิจัยทางคลีนิกของการแพทย์แผนใหม่ นั่นคือ “ ยาธาตุอบเชย ” ซึ่งมีสูตรตำรับดัง
นี้
เปลือกอบเชย 50 กรัม
เปลือกสมุลแว้ง 50 กรัม
ชะเอมเทศ 50 กรัม
ดอกกานพลู 50 กรัม
การบูร 1 ช้อนชา
เมนทอล 1 ช้อนชา
น้ำ 7,000 ซีซี

วิธีเตรียม น้ำสมุนไพรทั้ง 4 อย่าง ต้มน้ำประมาณ 15 นาที จากนั้นตั้งทิ้งไว้พออุ่น จึงเติมการบูรและเมนทอล วิธีใช้ ผู้ใหญ่ ครั้งละ 2-3 ช้อนโต๊ะ เด็กลดลงตามส่วน รับประทานหลังอาหาร หรือทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่อมีอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อ

ภาษิตโบราณสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่าทำวิจัยเอง ดังนั้นเพื่อพิสูจน์ว่าสรรพคุณของยาธาตุอบเชยตำรับนี้ดีแค่ไหน คณะวิจัยกลุ่มใหญ่ประกอบด้วยทีมแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ เจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน เจ้าพนักงานเภสัชกรรม และแพทย์แผนไทยประยุกต์จากโรงพยาบาลชุมชนถึง 6 แห่ง รวมทั้งคณะแพทย์ศิริราชพยาบาล และกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกของกระทรวงสาธารณะสุขได้จับมือสามัคคีกันทำวิจัยทางคลีนิกในหัวข้อเรื่อง “ ประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาธาตุอบเชยในการรักษาภาวะอาหารไม่ย่อยที่ ไม่ทราบสาเหตุ (functional dyspepsia)”

ผลปรากฏว่า ผู้ป่วยร้อยละ 82.3 ที่ได้รับยาธาตุอบเชย พึงพอใจต่อผลการักษา และและผู้ป่วยร้อยละ 86 ที่ได้รับยาไซเมธิโคนก็พึงพอใจต่อผลการรักษาเช่นกัน แม้ว่าผลการรักษาของยาไทย ยาฝรั่ง ออกมา วิน-วิน สูสีกัน แต่ค่ารักษาด้วยยาไทยถูกกว่าเกือบ 3 เท่า ในยุคที่กำลังโปรโมทเศรษฐกิจพอเพียงอย่างนี้ คนไทยเราก็ต้องเลือกรักษาด้วยยาไทย ซึ่งถ้าหากไม่สามารถหาสมุนไพรได้ครบสูตร จะใช้เปลือกอบเชยเทศ เพียงอย่างเดียวก็ได้ โดยใช้ขนาด 15 กรัมต้มในน้ำ 1 ลิตร ให้ดือดนาน 5-10 นาที ใช้รับประทานแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยได้ผลดีเช่นกัน

รายละเอียดงานวิจัยข้างต้นนี้ รวมถึงหลักทฤษฎีธาตุ 4 และสรรพคุณสมุนไพรอบเชยอย่างละเอียดนี้ มูลนิธิสุขภาพไทยรวบรวมไว้ในหนังสือพ็อกเก็ตบุคเล่มใหม่ล่าสุด ออกตัวในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติที่ผ่านมา แฟนๆ ที่สนใจติดต่อได้ที่มูลนิธิสุขภาพไทย 0-2589-4243 และ0-2814-4013 ราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซิล 2 ลิตร (ค่าส่งฟรี)

นอกจากยาอบเชยแล้ว หากเรากินอาหารเช่น แกงพะโล้ ข้าวขาหมู เขาก็ปรุงด้วยน้ำเครื่องเทศ เปลือกอบเชย เพื่อช่วยย่อย แก้ท้องอืด ลดไขมันด้วย หรือถ้าหากต้องการคุมธาตุดินโดยไม่ต้องการใช้ยาเลย ก็คงต้องหันมาพึ่งพุทธวิธีตามหลัก “ อายุวัฒนธรรม ” (เคล็ดลับที่ช่วยให้อายุยืน) ข้อหนึ่งที่ว่าให้บริโภคสิ่งที่ย่อยง่ายและเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพียงเท่านี้ก็ช่วยคุมธาตุดินให้สมดุลย์โดยไม่ต้องใช้ยา
จะเลือกภูมิปัญญาไทยก็ได้หรือเลือกภูมิปัญญาพุทธก็ดี เพื่อก้าวสู่วิถีสุขภาพดีที่ยั่งยืนของคนไทยทั่วหน้า


ที่มา : มูลนิธิสุขภาพไทย

2008-10-26

หอมหัวใหญ่-หัวผักกาด

หอมหัวใหญ่

หอมหัวใหญ่ มีคุณสมบัติช่วยลดโคเลสเตอรอลและลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเพิ่ม HLD Cholesterol หรือ High Density Lipoprotein Cholesterol ซึ่งเป็นตัวไขมันที่ดี ลองรับประทานหอมหัวใหญ่สดๆทุกวันอย่างน้อย 2 เดือนก็จะเห็นผล หอมหัวใหญ่ช่วยบำบัดโรคโลหิตจาง หลอดลมอักเสบ หืด ไขข้ออักเสบ และชราก่อนวัยอันสมควร

หัวผักกาด

หัวผักกาดหรือแรดิช ทั้งหัวผักกาดขาวและหัวผักกาดแดงเป็นอาหารต้านมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง เหมาะกับผู้ป่วยโรคตับและถุงน้ำดี หัวผักกาดมีสารอาหารที่มีคุณค่าหลายอย่าง เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม และกำมะถัน รวมทั้งวิตามินเอ และวิตามินบีรวม หัวผักกาดมีไวตามินซีสูงกว่าผักชนิดอื่นๆ แตต่องกินสดๆเพราะวิตามินซีสลายตัวง่ายเมื่อปรุงด้วยความร้อน วิตามินซีที่ได้ป้องกันมะเร็ง ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคสูง

2008-10-25

ง.งา-ช.ชา

ชา

ชาเป็นเครื่องดื่มสารพัดประโยชน์ มี 2 ชนิดใหญ่คือ ชาจีนกับชาฝรั่งซึ่งมีกลิ่นและรสต่างกันตามกรรมวิธีการผลิต ในใบชามีคาเฟอีนที่กระตุ้นสมองให้สดชื่นแจ่มใส มีสารแทนนินที่มีรสฝาด ใช้แก้อาการท้องเสียได้ โดยชงชาให้แก่จนฝาด แล้วดื่มเป็นระยะจนกว่าจะ หยุดถ่าย อย่าดื่มมมากเกินไปเดี๋ยวจะท้องผูก นอกจากคุณสมบัติเหล่านี้แล้วในชาจีนยังสารต้ามมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ สามารถยับยั้งการสร้าง
ไนโตรซามีนที่เป็นสารก่อมะเร็งรุนแรงได้ ดังนั้นเราจึงควรดื่มชาระหว่างอาหารเป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็ง


งา


ชาวมังสวิรัติทุกคนจะรู้จักงาเป็นอย่างดี งา 100 กรัม ให้ดปรตีนถึง 26 กรัม และยังมีกรดอะมิโนที่มีประโยชน์ต่อตับและไตนอก จากนี้ยังสารอาหาที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย งา 100 กรัม มีเหล็ก7 มิลลิกรัม และสังกะสี 10.3 มิลลิกรัม ควรรับประทานงาพรร้อมกับผลไม้หรือผักที่ให้ไวตามินซี ซึ่งจะช่วยไห้ร่างกายดูดซึมสารอาหารต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากโปรตีนและเกลือแร่แล้ว งายังกรดไขมันไม่อิ่มตัวและวิตามินอีด้วย คุณประโยชน์ที่สำคัญยิ่งของงาอีกอย่างก็คือ งามีแคลเซียมสูงมาก ในงาดำคั่ว 100 กรัม มีแคลเซียมสูงถึง 1452 มิลิกรัม ซึ่งคนปกติต้องการแคลเซียมประมาณ 800 มิลลิกรัมต่อวัน ในขณะที่คนวัยทองต้องการแคลเซียม 1200- 1500 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นการรับประทานงาเป็นประจำจะช่วยเสริมแคลเซียมให้ร่างกายได้เป็นอย่างดี

หน่อไม้ฝรั่ง-เห็ด

หน่อไม้ฝรั่ง

หน่อไม้ฝรั่งหรือ " แอสพารากัส " เป็นผักยอดนิยมของคนทั่วโลก มีสารที่มีประโยชน์คือ
" กลูตาไทโอน " ที่เป็นสารต้ามะเร็งทั้งในชายและหญิง และวิตามินซีที่ช่วยให้สเปิร์มของชายแข็งแรง
เวลานำมาปรุงอาหารอย่าใช้ความร้อนนานไม่เช่นนั้น วิตามินซีจะสลายไปหมด

เห็ด

เห็ดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ มีแคลอรีน้อย ไขมันต่ำไม่มีโคเลสเตอรอล โซเดียมต่ำ แต่แร่ธาตุสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิตและซีลีเนียมที่เป็นสารต้านมะเร็ง เห็ดมีวิตามินมากโดยเฉพาะวิตามินบี เห็ดหอมมีวิตามินดีสูงมาก ช่วยในการดูดซึมเกลือแร่ เสริมสร้างกระดูกและฟัน นอกจากนี้เห็ดยังให้โปรตีนพืชที่คุณภาพดี เพราะมีกรดอะมิโนต่างๆที่ร่างกายต้องการ

2008-10-24

ขิงก็รา ข่าก็แรง

ข่า

ข่าเป็นพืชผักสมุนไพร นอกจากจะมีสรรพคุณด้านยาแล้ว ข่ายังประกอบด้วยวิตามินหลากหลายทั้ง
วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และ วิตามินซี ฟอสฟอรัส มีแคลเซียม เหล็ก และเบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตัวสำคัญในการป้องกันมะเร็ง นอกจากนี้ข่ายังช่วยขับลมแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียด ขับเสมหะ หลอดลมอักเสบลดอาการเกร็ดของกล้ามเนื้อเรียบ ต้านวัณโรค

ขิง

ขิง ช่วยทุเลาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดได้ เพราะขิงจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยขับลม ทำให้ สบายท้อง ขิงใช้ป้องกันอาการเมารถเมาเรือได้ดีกว่ายาป้องกัน เพราะยาพวกนี้มีผลข้างเคียงคือ ทำให้ง่วง ปากแห้ง มึนงง ในขณะที่ขิงไม่มีผลข้างเคียงใดๆเลยคราวหน้าก่อนขึ้นรถ อย่าลืมดื่มน้ำขิงแก่ๆก่อน คนที่ไอโขลกๆ ให้ฝนขิงกับน้ำมะนาว ผสมเกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอ อาการไอและเสมหะจะบรรเทาลง

2008-10-23

ผักชี-ผักบุ้ง

ผักชี

ผักที่โดดเด่นทั้งรูปร่าง กลิ่น และคุณค่าต่อร่างกาย ส่วนของผักชีที่เรานิยมนำมาใช้ประโยชน์ก็คือ เมล็ดและต้น ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้จะมีกลิ่นเฉพาะตัวเมล็ดผักชีใช้รักษาอาการปวดท้องและช่วยย่อยอาหาร ส่วนใบมีสรรพคุณ ช่วยย่อยเช่นกัน และยังมีเบตาแคโรทีนอีกด้วย นอกจากนี้ผักชียังมีฤทธิ์เผ็ดร้อนช่วยขับลม บำรุงธาตุ แก้คลื่นไส้

ผักชีฝรั่ง

ผักชีฝรั่งมีดีในเรื่องกลิ่น มักใช้ในอาหารรสจัด เนื่องจากกลิ่นของผักชีฝรั่งกลบกลิ่นคาวของ
เนื้อสัตว์ได้ ผักชีฝรั่งมีวิตามินซีสูง มีเบตาแคโรทีนสูง นำไปใชสร้างวิตามินเอ บำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย มีวิตามินบี 1 และบี 2 และไนอาซิน ทำให้ระบบการทำงานในร่างกายสมดุล

ผักบุ้ง

ผักบุ้งผักพื้นบ้านไทย ๆ ที่รู้จักกันดีนี้อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งช่วยบำรุงสายตา ทำให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงเป็นประกายไม่แสบ หรือ แห้ง และยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ผักบุ้งยังมากล้นไปด้วยวิตามินซี โดยเฉพาะถ้ากินสด ๆ ธาตุเหล็กในผักบุ้งช่วยบำรุงเลือด ส่วนแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่มีอยู่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน หากจะพูดถึงสรรพคุณทางยา ผักบุ้งมีสารบางชนิดที่สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน ผักบุ้งเป็นผักที่มีฤทธิ์เย็น จึงช่วยบรรเทาอาการร้อนในได้ ผักบุ้งจีนจะมีแคลเซียมและเบตาแคโรทีนมาก กว่าผักบุ้งชนิดอื่นๆ

ผักโขม-ผักกาด

ผักกาดขาว

ผักกาดขาวเป็นผักสามัญที่เห็นกันทั่วไป แต่มีคุณค่าทางอาหารมากมายชนิดที่ต้องแปลกใจ ผักกาดขาวอุดมไปด้วย " โฟเลต " ซึ่ง เป็นสารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ในระยะ 3 เดือนแรก ถ้าแม่ได้รับโฟเลตน้อยเกินไป การสร้างระบบประสาทและ DNA ของทารกอาจผิดปรกติได้ นอกจากนี้โฟเลตยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรงด้วย ผักกาดขาวมีสรรพคุฯหลายด้านทั้งช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้พิษสุรา เส้นใยอาหารที่มีอยู่มากยังช่วยให้ผู้ที่ท้องผูกบ่อย ๆ ผ่อนหนักเป็นเบาได้

ผักกาดหอม

ผักกาดหอมเป็นผักที่นิยมรับประทานสดๆ การรับประทานสดทำให้ได้รับวิตามินซีที่อยู่ในผักกาดสูงได้อย่างดี ผักกาดหอมมีสาร เบตาแคโรทีนสูง เป็นสาร " Antioxidant " ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในร่างกายของเรา ทำให้ต้านมะเร็งได้หลายชนิด การแพทย์แผนจีนแนะนำให้คุณแม่รับประทานผักกาดหอมมากๆเพื่อเพิ่มน้ำนม

ผักโขม

ผักโขมมักถูกเข้าใจผิคิดว่าเป็นผักของป๊อบอาย จริงๆแล้วนั่นคือผักปวยเล้งต่างหาก ใบผักโขมเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นเยี่ยม เมื่อ เข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยให้สายตาดี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และโปรตีน ผักโขมมีเส้นใยอาหารมาก ช่วย ขับสารไนโตรต์ที่เป็นสารก่อมะเร็งซึ่งมักปนเปื้อนมาในผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปต่างๆ เช่น ไส้กรอก ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร คนเฒ่าคนแก่มักแนะนำให้แม่ลูกอ่อนรับประทานผักโขม เพื่อเพิ่มน้ำนมเพราะผักโขมมีธาตุเหล็กสูง

2008-10-22

คะน้า-ชะอม

คะน้า

คะน้าเป็นพืชตระกูลเดียวกับกะหล่ำ ใบเขียวๆของคะน้าเป็นแหล่งรวมวิตามินและเกลื่อแร่มากมาย เช่น วิตามินซี ที่ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคสมบูรณ์ แต่วิตามินซีสลายไปได้ง่าย ดังนั้นการรับประทานสดๆจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด นอกจากวิตามินซีแล้ว ยังอุดมด้วยเบตาแคโรทีน ช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร ลำไส้ ลำคอ ปอด และกระเพาะปัสสาวะได้ ทีเด็ดของคะน้าอีกอย่างหนึ่งคือ มีแคลเซียมสูง แถมยังดูดซึมแคลเซียมได้ดีกว่าผักอื่นด้วย

ชะอม

ชะอมเป็นผักกลิ่นแรงที่ให้เส้นใยอาหารสูง ชะอม 100 กรัมให้เส้นใยอาหารสูงถึง 3.9 กรัม ใยอาหารจะจับสารก่อมะเร็งต่าง ๆ เอาไว้เพื่อขับถ่ายไปในที่สุด ยอดชะอมที่เรานิยมนำมาทำชะอมชุบไข่ทอดรับประทานกับน้ำพริก ให ้สารเบตาแคโรทีนสูง ซึ่งจะเปลี่นยเป็นวิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันดรคหัวใจขาดเลือดได้ ข้อควร ระวัง คือ คุณแม่ลูกอ่อนไม่ควรรับประทานชะอม เพราะเชื่อ ว่าจะทำให้น้ำนมแห้ง

อโวคาโด-อัลมอนด์ -แอพริคอต

อโวคาโด

ผลอโวคาโดอุดมไปด้วยไขมัน และมีแคลอรีสูง แต่ก้เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก เพราะมี
โพแทสเวียมสูง หากร่างกายขาดโพแทสเซียมจะทำให้อ่อนเพลีย มีอาการหดหู้ และระบบทางเดินอาหารบกพร่อง อโวคาโดยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซีเล็กน้อย และวิตามินอี อโวคาโดเหมาะกับผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้ สตรีที่รับประทานอโวคาโดจะช่วยให้ผิวพรรณสวยเพราะอโวคาโดจะช่วยลดอนุมูลอิสระ ไขมันจากผลอโวคาโดย่อยง่าย จากการวิจัยพบว่า เนื้อผลอโวคาโดมีสารต่อต้านแบคทีเรียด้วย

อัลมอนด์

อัลมอนด์อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน และเกลือแร่ หากรับประทานอัลมอนด์กับน้ำที่มีวิตามินซีสูงจะช่วยให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดียิ่งขึ้น อัลมอนด์มีโปรตีนสูงถึง 20% เทียบกับน้ำหนักที่เกันแล้ว มีโปรตีนสูงกว่าไข่ถึง 3 เท่า น้ำอัลมอนด์ย่อยง่าย จึงเหมาะกับผู่ป่วยโรค ทางเดินอาหาร เราสามารถทำน้ำอัลมอนด็ได้เอง โดยนำอัลมอนด์ 50 กรัม แช่ในน้ำอุ่น 2 ออนซ์ จากนั้นลอกเปลือกออก และนำไปบดหรือปั่นให้ละเอียด เติมน้ำ 1 ลิตร นำไปต้ม เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง แค่นี้ก็จะได้น้ำอัลมอนด์แสนอร่อย

แอพริคอต

แอพริคอตอุดมด้วยเบตาแคโรทีนซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในผักผลไม้สีเหลืองส้ม สียิ่งจัดเท่าไรก็จะมี
เบตาแคโรทีนมากเท่านั้น ซึ่งเหมาะสำหรับผู่ป่วยโรคติดเชื้อ เช่น ผู้ป่วยระบบทางเดินปัสสาวะ หรือ
ผู้ป่วยโรคมะเร็ง แอพริคอตแห้งมีเหล็กมาก ก่อนรับประทานควรนำไปล้างด้วยน้ำอุ่นเพื่อล้างเอา
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกเสียก่อน

2008-10-21

คุณประโยชน์ของผลไม้

องุ่น

องุ่นเป็นผลไม้ที่ให้พลังงาน ช่วยชะล้างทำความสะอาดอวัยวะภายใน เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้ โรคโลหิตจาง ร่างกายอ่อนเพลีย โรคไขข้ออักเสบ และโรคเกาต์ การอดอาหารเพื่อล้างพิษด้วยการรับประทานองุ่นเพียงอย่างเดียวจะช่วยบำบัดโรคผิวหนัง โรคทางเดินปัสสาวะ โรคไขข้ออักเสบ โรคเกาต์ สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักจะใช้วิธีการอดอาหารเพื่อล้างพิษ โดยรับประทานองุ่นเพียงอย่างเดียวทุกๆ
10 วันก็ได้ผลดีเช่นกัน ควรล้างองุ่นให้สะอาดเพราะมีสารจากยาฆ่าแมลงอยู่มาก

แอปเปิล

ชาวตะวันตกตระหนักในคุณค่าทางอาหารของแอปเปิลเป็นอย่างมาก ถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า " หากคุณสามารถปลูกต้นไม้ไว้ในสวนได้ เพียง 1 ต้น ก็ควรจะปลูกแอปเปิล " แอปเปิลมีประโยชน์ต่อหัวใจ
สารเพกตินและวิตามินซีในแอปเปิลจะช่วยให้ระดับโคเลสเตอรอลอยู่ในระดับคงที่ จากการศึกษายังพบว่าสารเพกตินช่วยปกป้องเราจากมลภาวะต่างๆ ช่วยขับสารตะกั่ว และโลหะอื่นๆ ที่ร่างกายไม่ต้องการออกไป กรดมาลิกและกรดทาทาริกในแอปเปิลช่วยระบบการหายใจ และยังช่วยขจัดโปรตีนและไขมันส่วนเกินใน
ร่างกายจึงนำแอปเปิลไปปรุง กับอาหารหลายๆชนิด เช่น แอปเปิลกับหมู แอปเปิลกับเนยแข็ง
แอปเปิลยังมีประโยชน์มากกับผู้ป่วยโรคไขข้อและเกาต์ ผู้ป่วยโรคเหล่านี้ ควรทานแอปเปิลสดเพียงอย่างเดียวสัก 1 ถึง 2 วัน เป็นการอดอาหาร ( fast ) เพื่อให้ร่างกายขับของเสียและสารพิษออกมา จากการวิจัยของฝรั่งเศส พบว่าการทาน แอปเปิลวันละ 2 ผล จะช่วยลดโคเลสเตอรอลลงได้ 10% ควรรับประทานแอปเปิลทั้งเปลือก เพราะสารเพกตินที่ช่วยลด โคเลสเตอรอลอยู่ที่เปลือก

มะละกอ

มะละกอสุกนิยมรับประทานเป็นผลไม้ล้างปากหลังอาหาร มีทั้งวิตามินซีและเบตาแคโรทีนสูง เบตาแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ และเป็นสารต้านมะเร็งที่สำคัญ

ผลไม้ตระกูล ส.สอ

สตรอเบอร์รี

สตรอเบอร์รีเป็นผลไม้เมืองหนาว เป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ป่วยที่ป้นโรคเกาต์และไขข้ออักเสบ นั่นเป็นเพราะว่า สตรอเบอร์รีเมีคุณสมบัติในการชำระล้างระบบต่างๆในร่างกาย นอกจากนี้สตรอเบอร์รียังเหมาะกับคนที่เป็นความดันโลหิตสูง การแพทย์แผนโบราณของยุโรปแนะนำให้ผู้ป่วยเป็นนิ่วในไตรับประทาน
สตรอเบอร์รี สตรอเบอร์รีมีเหล็กสูง จึงเหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคโลหิตจางและร่างกายอ่อนเพลีย ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังก็ควรรับประทานสตรอเบอร์รี หากจะรับประทานสตรอเบอร์รีเพื่อบรรเทาอาการ
เจ็บป่วย ควรรับประทาน สตรอเบอร์รีเพียงอย่างเดียวหรือก่อนอาหาร

ส้ม
ส้มอุดมไปด้วยวิตามินซี นอกจากนี้ส้มยังมีคุณค่าอื่นๆต่อร่างกาย เช่น จากการวิจัยของประเทศสวีเดน พบว่าผู้ที่รับประทานอาหารเช้าและดื่มน้ำส้มด้วยจะสามารถดูดซึมเหล็กได้ดีขึ้นสองเท่าครึ่ง ส้มยังมีวิตามินเอด้วย นอกจากนี้ยังมี" ไบโอฟลาโวนอย " ซึ่งมีอยู่ในผัก ผลไม้หลายชนิด และเป็นที่รู้จักกันในชื่อวิตามินบี หรือ ซี 2 ซึ่งช่วยให้ไวตามินซีทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และทำให้ผนังหลอด เลือดฝอยแข็งแรงขึ้น

สับปะรด

ชาวฮาวายจะดื่มน้ำสับปะรดเมื่อมีอาการอาหารไม่ย่อย ปัจจุบันเราทราบแล้วว่า สับปะรดสดมีเอนไซม์ชื่อว่า " โบรมีลีน " ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีความสามารถในการย่อยโปรตีนได้ในเวลาอันรวดเร็ว น้ำสับปะรดสดยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอโดยใช้กลั้วคอ และเป็นส่วนผสมของตำรับยาพื้นบ้านรักษาโรคคอตีบ สับปะรดยังสามารถต่อต้านแบคทีเรียและบรรเทาอาการอักเสบได้ด้วย

เสาวรส

เสาวรสหรือกะทกรกฝรั่ง มีชื่อที่รู้จักกันดีคือ " passion fruit " นิยมนำผลมารับประทาน ลูกเสาวรสมีหลายสี เต็มไปด้วยเมล็ด น้ำเยอะ รสเปรี้ยวมาก มีกลิ่นหอม นิยมนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ดื่ม เสาวรสมีวิตามินเอสูง รับประทานเป็นประจำจะทำให้สุขภาพตาดี สร้างภูมิคุ้มกันโรค และบำรุงผิวพรรณ ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

2008-10-20

สาหร่ายทะเล-สะระแหน่-สะเดา

สะเดา

สะเดามีสรรพคุณเป็นอาหารยาอย่างเยี่ยมยอด เพราะพบว่ามีสารที่อยู่ในใบและยอดสะเดา ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกและมะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการเต้นของหัวใจให้ถูกจังหวะ สะเดามีดีอยู่ที่ยอดเพราะในใบอ่อนของสะเดาจะมีเบตาแคโรทีนมากว่าในใบตำลึงเสียอีก จากการวิจัยพบว่าสารสกัดจากใบสะเดาจะช่วยลดอาการเครียดลงได้

สะระแหน่

ผักที่ใบหยิกสวยเสริมเสน่ห์ให้สวนครัวนี้มีสารอาหารสำคัญอยู่มาก เช่น เบตาแคโรทีน ที่เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่จะทำให้เกิดมะเร็ง สะระแหน่ช่วยขับลม ทำให้สบายท้อง เวลารับประทานอาหารมากๆท้องจะได้ไม่อืด เนื่องจากสะระแหน่มี กลิ่นหอมเย็นของเมนทอล จึงช่วยให้คนที่รับประทานรู้สึกสดชื่น ความคิดแจ่มใส แก้ปวดหัวได้ดี ระบบทางเดินหายใจโปร่ง ส่วนวิตามินซีในสะระแหน่ก็ช่วยให้เหงือกแข็งแรงและไม่เป็นหวัด

สาหร่ายทะเล

สาหร่ายทะเลมีทั้งสีเขียว น้ำตาล และแดง มีหลายชนิด เช่น สาหร่ายผมนาง โนริ คอมบุ ซึ่งเป็นอาหารที่ให้วิตามินเอ บี และซีมาก สาหร่ายทะเลยังมีความสามารถในการจับตัวโมเลกุลที่เป็นพิษและมีน้ำหนักมาก ซึ่งตกอยู่ในลำไส้แล้วเปลี่ยนให้เป็นเกลือที่ไม่ละลาย และ ในที่สุดก็ถูกขับอกจากร่างกาย สาหร่ายทะเลอุดมด้วยแร่ธาตุพวกแคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี และกรดโฟลิก สาวๆและสตรีวัยก่อนหมด ประจำเดือนควรรับประทานสาหร่ายทะเลเป็นประจำเพราะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมและโรคกระดูกผุได้

สรรพคุณของพืชผัก

กระเจี๊ยบมอญ

กระเจี๊ยบมอญเป็นพืชผักที่มีลักษณะปลายฝักแหลม รูปทรงเป็น 5 เหลี่ยม สรรพคุณของกระเจี๊ยบ
เช่น สารสกัดจากกระเจี๊ยบช่วยใน การขับพยาธิตัวจี๊ด รักษาความดันโลหิตให้เป็นปกติ ช่วยบำรุงสมอง นอกจากนี้กระเจี๊ยบยังประกอบด้วยวิตามินเอ วิตามินบี1วิตามินบี 2 เหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัสและเมือก โดยเฉพาะเมือกจะมีคุณสมบัติเด่น คือ รักษาโรคกระเพาะ บรรเทาอาการระคายเคืองของเนื้อเยื่อที่อักเสบ กระเจี๊ยบมอญจึงเป็นผักที่ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องในคนที่เป็นเยื่อบุกระเพาะ หรือลำไส้อักเสบ และยังเป็น ยาระบายด้วย

กระชาย
กระชายเป็นพืชสมุนไพรที่นำมาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของอาหารไทยหลายชนิด กระชายมีน้ำมันหอมระเหย และ สารสำคัญหลาย ชนิดที่มีสรรพคุณในการช่วยขับลม

กระเทียม
กระเทียมจัดเป็นยอดสมุนไพรชนิดหนึ่ง คุณสมบัติของกระเทียมที่รู้จักกันทั่วโลก ก็คือ สามารถป้องกันโรคมะเร็ง รักษาโรคหัวใจ โรคติดเชื้อต่างๆ เช่น วัณโรคและไทฟอยด์ โรคปอด ลำไส้อักเสบ โรคทางเดินปัสสาวะ โรคหืด โรคพยาธิในลำไส้ ไขข้ออักเสบ และโรคเกาต์ กระเทียมมีคุณสมบัติเป็นยาแก้อักเสบและทำลายแบคทีเรีย โดยไม่มีผลข้างเคียงต่อผู้ป่วย นอกจากนี้ยังช่วยลดโคเลสเตอรอล และ ลดความดันโลหิตสูง

กะเพรา
กะเพรามีกลิ่นรสร้อนแรงซึ่งใช้สยบกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ในอาหารต่างๆได้ดี กะเพรามีคุณสมบัติหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสรรพคุณทางยาหรือในการนำมาปรุงอาหาร โดยเฉพาะฤทธิ์ทางยา กะเพราช่วยคลายความอึดอัดไม่สบายท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือจุกเสียด โดย ให้ใช้กะเพราชงใน้ำร้อนแล้วดื่ม อาการจะดีขึ้น นอกจากนี้กะเพรายังช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่ในสตรีหลังคลอดด้วย สารอาหารที่มีอยู่ในกะเพรา เช่น เบตาแคโรทีน ซึ่งช่วยป้องกันโรคมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือด ใบกะเพรายังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงมาก ซึ่งจะช่วย บำรุงกระดูกให้แข็งแรง ดังนั้นการปรุงอาหารที่มีส่วนประกอบของใบกะเพราอยู่ด้วยก็จะช่วยให้ได้สารอาหารค่อนข้างครบครัน

ทานผักกันให้เยอะ ๆ นะค่ะ

2008-10-19

สรรพคุณ มะนาว-มะระ

มะนาว

มะนาวช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน เพราะวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 2 เท่า และมีไวตามินบีด้วย สมัยโบราณใช้มะนาวรักษาโรคทางเดินหายใจ โดยคั้นน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นเติมน้ำผึ้งเป็นสูตรดั้งเดิมในการรักษาโรคหวัด บรรเทาอาการเจ็บคอ น้ำมะนาวเป็นน้ำผลไม้ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีที่สุด รองลงมาคือ น้ำส้มและน้ำฝรั่ง น้ำมันจากเปลือกมะนาวก็มีประโยชน์มาก สามารถทำลายแบคทีเรีย ได้ มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดสูง จึงห้ามมิให้ผู้ป่วยโรคไขข้อรับประทาน

มะระ

มะระที่เรานิยมรับประทานมี 2 ชนิด คือ มะระจีนและมะระขี้นก ทั้ง 2 ชนิดมีความขมเหมือนกัน เนื่องจากมีสารอัลคาลอยด์ที่ชื่อ " โมโมดิซิน " ที่ช่วยให้เจริญอาหารและเป็นยาระบายอ่อนๆ แต่สารโมโมดิซินนี้สลายไปได้ด้วยความร้อน ดัวนั้นการต้มมะระนานๆจะทำให้ลดความขมลงได้ น้ำคั้นจากผลมะระช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เพราะกระตุ้นการหลิ่งของสารอิซูลิน แต่สตรีมีครรภ์ไม่ควรรับ ประทานเพราะอาจทำให้แท้งลูกได้

สารอาหารจากมะเขือ

มะเขือเทศ

มะเขือเทศเป็นผักสีแดงแสนสวย เนื้อฉ่ำ รสชาติอร่อยเพราะมีกรดอะมิโนที่ชื่อ " กลูตามิก " สูง กรดอะมิโน ชนิดนี้เป็นตัวเพิ่มรสชาติให้อาหาร เป็นกรดอะมิโนเดียวกับที่มีในผงชูรส มะเขือเทศมีสาร " ไลโคปีน " จัดเป็น แคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งเป็นสาร Antioxidant สามารถลดการเกิดมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ จากการวัจัยพบว่าการรับประทานมะเขือเทศ 10 ครั้งต่อสัปดาห์จะช่วย ลดอัตราการเกิดมะเร็งที่ต่อมลูกหมากใน เพศชายได้มากกว่าร้อยละ 45 มะเขือเทศมีเบตาแคโรทีนสูงเช่นกัน มีฟอสฟอรัส วิตามินซีที่มี ประโยชน์ต่อร่างกาย

มะเขือพวง

มะเขือพวง ที่สวยด้วยรูปทรงและช่อพวงนี้มากด้วยคุณประโยชน์นานาประการ ตั้งแต่ธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด และแคลเซียมที่ บำรุงกระดูก และยังช่วยลดความดันโลหิต ข้อสำคัญคือ เส้นใยอาหารในมะเขือพวงมีมากมาย นั่นคือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเวลาคน โบราณทำแกงเผ็ดหรือแกงอื่นใดที่ใสกะทิ จึงมักใส่มะเขือพวงลงไปด้วย เพราะเส้นใยอาหารในมะเขือพวงจะช่วยดูดซับไขมันจากมะพร้าวนั่นเอง

มะเขือยาว

มะเขือยาวมีสรรพคุณมากมายใช้เป็นยาได้ทุกส่วน รากและลำต้นใช้แก้บิดเรื้อรังหรือถ่ายเป็นเลือด เท้าเปื่อยบวมอักเสบ ปวดฟัน และใช้รักษาแผลที่เกิดจากการถูกความเย็นจัด ใบแก้ปัสสาวะขัด หนองใน ถ่ายเป็นเลือด ตกเลือดในลำไส้ แผลบวมอักเสบมีหนอง ดอกใช้แก้แผลมีหนองและปวดฟัน กระทั่งขั้วก็ใช้เป็นยาแก้ฝี แผลอักเสบมีหนอง แผลในช่องปากและปวดฟัน

2008-10-18

สรรพคุณจากพริก

พริก

พริกทุกชนิดจะมีสาร " แคปไซซิน " มีสรรพคุณช่วยระบบทางเดินหายใจ ความดันโลหิตและหัวใจ ช่วยขับเหงื่อมีสารต้านอนุมูล อิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็งได้ ถ้ารับประทานพริกมากๆหรือรับประทานเผ็ดเป็นประจำ ระบบการย่อยและดูดซึมอาหารจะทำงานได้ไม่ดี แต่ถ้ารับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ จะทำให้เลือดไม่จับตัวเป็นก้อน เลือดไหลเวียนได้ดี

พริกไทย

พริกไทยเป็นเครื่องเทศที่ได้ชื่อว่า เป็นราชาแห่งเครื่องเทศ พริกไทยนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งผลอ่อนและผลสุก พริกไทยอ่อนมีน้ำมันหอมระเหย นิยมปรุงในผัดเผ็ด เพื่อดับกลิ่นคาว ช่วยย่อยอาหาร แก้ปวดหัว ปวดตามข้อและแก้ท้องเสียได้ นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูงและเบตาแคโรทีน ผลสุกนำมาทำเป็นเมล็ดพริกไทยทั้งสองชนิดคือ พริกไทยดำ และพริกไทยขาว แตกต่างกันตรงวิธีการผลิต พริกไทยดำ จะมีรสเผ็ดและกลิ่นหอมกว่าพริกไทยขาว พริกไทยช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ ขับเสมหะ ไอ สะอึกได้ ช่วยกระตุ้นการไหลของน้ำลาย และน้ำย่อย ขับลมในกระเพาะอาหาร กระตุ้นให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ อาหารจึงย่อยง่าย จากการวิจัยพบว่า " สารฟีนอลิกส์ " ในพริกไทยมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant สามารถต้านมะเร็งได้

พริกหวาน

พริกหวานอุดมไปด้วยวิตามินซี พริกหวานสีเหลืองมีไวตมินมากกว่าสีส้มถึง 4 เท่า พริกหวานสีเขียว 100 กรัม มีวิตามินซีถึง 100 มิลลิกรัม เช่นกัน ควรรับประทานพริกหวานสดๆเช่น ใส่ในสลัดเพื่อรักษาวิตามินซีให้มากที่สุด พริกหวานยังมีเบตาแคโรทีน เหล็ก และโพแทสเซียม คนที่ป่วยเป้นโรคไขข้อ ไม่ควรรับประทาน

ประโยชน์จากผักสีเขียว

บรอกโคลี

บรอกโคลีเป็นผักตระกูลกะหล่ำ ซึ่งเป็นอาหารต้านมะเร็ง การรับประทานผักตระกูลกะหล่ำมากๆ ช่วยลดอัตราการเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ได้ บรอกโคลีมีวิตามินเอสูง และยังอุดมด้วยเหล็กซึ่งเหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรค โลหิตจาง ร่างกายอ่อนเฟลียและผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาท นอกจากนี้บรอกโคลียังมีประโยชน์ต่อผู้ที่ปวดข้อ และช่วยป้องกันโรคหัวใจด้วย

บัวบก

บัวบกเป็นพืชใบสวยที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์นานาสารพัด สรรพคุณทางยาที่รู้จักกันมานานก็คือ ใบบัวบกช่วยสมานแผลภายนอก ส่วนสารสกัดที่ได้จากผลแห้ง ก็ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร และช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย สมองก็ทำงานดีขึ้น จึงช่วยให้ความจำดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ใบบบัวบกยังอุดมไปด้วยไวตามินบี 1 ซึ่งมีมากกว่าผักอีกหลายชนิดในปริมาณที่เท่ากัน เช่น กะหล่ำปลี ผักกระเฉด กะหล่ำดอก คะน้า และยอดชะอม
จากการวิจัยพบว่าวิตามินบี 1 เป็นวิตามินที่ช่วยในการพัฒนาสมองของเรา ใบบัวบกนอกจากจะดีกับสมองแล้ว ยังบำรุงหัวใจด้วย เพราะช่วยลดอาการแพ้ ลดความดันเลือด และช่วยสร้างกล้ามเนื้อ รวมถึงบำรุงผิวพรรณ ด้วย ส่วนคุณสมบัติดั้งเดิมที่เทราบก็คือ แก้ช้ำใน และอาการบาดเจ็บภายนอก


ใบปอ

ธาตุอาหารที่สำคัญยิ่งต่อร่างกาย เช่น เหล้ก แคลเซียม เบตาแคดรทีน ตัวเอกที่ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือด มี ไวตามินซีสูง แต่มักจะหมดไปเพราะการผัดน้ำมันด้วยความร้อนสูง
อย่างไรก็ตามคุณค่าทางอาหารอย่างอื่นๆยังคงอยู่อีกมาก เช่น ไวตา มินบี 2 ฟอสฟอรัส ไนอาซิน และโปรตีน

ใบแมงลัก

ใบแมงลักมีฤทธิ์ทางยาคือ ช่วยขับลม เป็นยาระบายอ่อนๆ และมีเบตาแคโรทีนสูง ส่วนต่างๆของแมงลักสามารถมาแยกทำยาได้ โดยเฉพาะในส่วนใบและลำต้น หากรับประทานสดๆจะช่วยป้องกันเลือดอกตามไรฟันได้ขับลม ขับเหงื่อ น้ำคั้นจาใบสดใช้รับประทานแก้หวัดและหลอดลมอักเสบได้ สำหรับเมล็ดแห้งแบบไม่ต้องแช่น้ำสักประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ จะช่วยดูดซึมแก้โรคเบาหวานได้

2008-10-17

คุณค่าจากถั่วต่างๆ

ถั่ว

ถั่ว ส่วนใหญ่อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมัน มีแร่ธาตุต่างๆและกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ เราสามารถนำถั่ว มาประกอบอาหารได้หลายรูปแบบ เช่น นำมาคั่ว อบเนย หรือทำเป็นเครื่องดื่ม เช่น นมถั่วเหลือง

ถั่วพู

ถั่วพูเป็นถั่วที่มีโปรตีนสูง โดยเฉพาะโปรตีนที่ชื่อ " เลกทิน " นอกจากนี้ถั่วพูยังให้ " กรดอีรูซิก " ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยรักษาสิวและ โรคผิวหนังบางชนิด ถั่วพูเป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะประกอบด้วยธาตุอาหารต่างๆครบครัน เช่น ฟอสฟอรัส วิตามินเอไวตา มินบี 1 วิตามินซี ถ้าอยากได้วิตามินซีต้องรับประทานถั่วพูสดๆ แต่ต้องเลือกฝักอ่อนๆที่ยังไม่มีเมล็ด เพราะเมล็ดถั่วพูดิบมีสารประกอบ บางชนิดที่มีผลเสียต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ส่วนเมล็ดถั่วพูแก่ๆจะมีไวตามินเอ วิตามินอี และยังมีโปรตีนสูงใกล้เคียงกับถั่วเหลือง ด้วย

ถั่วลันเตา

ในถั่วลันเตามีเบตาแคโรทีนสูง เมื่อนำมาผัดกับน้ำมัน จะช่วยให้ร่างกายนำเบตาแคโรทีนมาใช้ได้ เพราะเบตาแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของไวตามินเอ ซึ่งละลายได้ในน้ำมัน ถั่วลันเตามีแร่ธาตุหลายอย่าง เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส มีเส้นใยอาหารมาก เพิ่มอุจจาระ ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง และที่สำคัญคือ
เส้นใยอาหารจะดูดสารพิษต่างๆในร่างกายแล้วขับออกนอกร่างกาย ช่วยป้องกันมะเร็งได้ดี

ถั่วเหลือง

ถั่วเหลืองอุดมด้วยโปรตีน เหล็ก แคลเซียม วิตามินบีรวม และเลซิทิน เลวิทินสามารถโคเลสเตอรอล ทำให้ปริมาณไขมันในเลือดลดลง ป้องกันการเกิดไขมันอุดตันในเลือด บำรุงสมอง ถั่วเหลืองนำมาแปรรูปได้หลายแบบ แป้งถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง มิโสะ เต้าหู้ ฟองเต้าหู้อีกทั้งยังนำมาปรุงอาหารได้หลายรูปแบบและยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

สารอาหารจากข้าวต่าง ๆ

ข้าว

ข้าวป็นอาหารหลักของชาวตะวันออกหลาย ๆ ชาติ เข่น ไทย ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น ข้าวเป็นอาหารที่มีประโยชน์มาก แต่ปัจจุบันได้ถูกขัดสีจนขาว ซึ่งทำให้ผู้คนเป็นโรคเหน็บชากันมาก เพราะวิตามินบีหรือไธอามีน ซึ่งมีอยู่ในข้าวกล้องได้ถูกขัดสีออกไปจนหมด ข้าวกล้องจึงมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าข้าวผัดขาว ข้าวต้มข้าวกล้องเปล่า ๆ รับประทานบรรเทาอาการท้องเสีย น้ำข้าวช่วยลดไข้ เมล็ดธัญพืชที่ไม่ขัด สีจะทำให้ร่างกายหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยและเพิ่มพลังกากใยที่มีอยู่ในเมล็ดพืชจะลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้และมะเร็งที่อื่น

ข้าวบาร์เลย์
ในสมัยโบราณชาวตะวันตกนิยมขนมปังจากข้างบาร์เลย์โดยเฉพาะในสมัยกลาง ทางการแพทย์
ข้าวบาร์เลย์เป็นอาหารที่มีคุณสมบัติบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ช่วยบรรเทาอาการลำไส้อักเสบ
ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น แพทย์แผนโบราณใช้น้ำข้าวบาร์เลย์บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบและท้องผูก ข้าวบาร์เลย์อุดมไปด้วยแคลเซียม โพแทสเซียม ไวตามินบีรวม ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย และคนป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้

ข้าวสาลี
ข้าวสาลีก็เช่นเดียวกับข้าวที่ปัจจุบันถูกขัดสีจนขาว ขัดเอาวิตามินและเกลือแร่ออกไปหมด อย่างเช่น สังกะสี แมกนีเซียม วิตามินบี 6 ไวตามินอี และแทบจะไม่มีกากใยเหลืออยู่ แป้งสาลีชนิดไม่ขัดขาวมี
คุณค่าอาหารอย่างมาก อุดมไปด้วยโปรตีน ขนมปังโฮลวีตจึงเป็นอา หารที่มีประโยชน์ มาก ข้าวสาลีนำไปเพาะเป็นกล้าอ่อน นำมาปรุงเป็น อาหารจะให้คุณค่าทางอาหารอย่างมาก เหมาะกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

ข้าวโอ๊ต
ข้าวโอ๊ตเป็นอาหารที่ชาวยุโรปบริโภคกันเป็นประจำ ข้าวโอ๊ตอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ต่อร่างกาย ข้าวโอ๊ต 100 กรัมมีโปรตีน 12 กรัม วิตามินอี เล็กน้อย วิตามินบีรวม มีแคลเซียมสูง โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ข้าวโอ๊ตมีประโยชน์ต่อระบบประสาท ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ข้าวโอ๊ตช่วยบรรเทาอาการเจ็บและระคายเคืองของลำไส้ได้เป็นอย่างดีและเหมาะสำหรับผู้ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานด้วย


2008-10-16

เรื่องมัน.. มันส์

มันเทศ

หัวมันเทศชนิดสีเหลืองเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดี ช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบถูมิคุ้มกันของร่างกาย มีสารต้านมะเร็งที่มี สรรพคุณสูงมาก นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี 2 สูง มีโฟเลตสูงรองจากผักใบเขียว มันเทศยังมีแคลเซียมสูง ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง หญิงวัยหมดประจำเดือนเป็นกุ่มที่ต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติ เพราะมีปัญหาเรื่องกระดูกพรุน ที่ทำให้กระดูกเปราะและหักง่าย จึงควรรับประทานมันเทศเป็นประจำ

มันฝรั่ง

มันฝรั่งอุดมไปด้วยกากใย วิตามินซี วิตามินบีรวม และเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มันฝรั่งอบ หรือต้มมีโพแทสเซียม เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก มันฝรั่งอบหรือต้ม 100 กรัม ให้พลังงานต่ำกว่า 100 แคลอรี เสียอีก มันฝรั่งอบหรือต้มและแครอตรับปะทาน กับคอตเตจชีสชนิดพร่องมันเนยจัดเป็นอาหารสุขภาพที่มีแคลอรีต่ำ น้ำมันฝรั่งคั้นสดๆช่วยบรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหารและไขข้ออักเสบ โดยดื่มน้ำมันฝรั่งสดครึ่งแก้วเล็กๆ วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 1 เดือน อาจเพิ่มรสชาติด้วยการเติมน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวลงไป

ประโยชน์ของผลไม้

กล้วย
กล้วยเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง และยังมีสังกะสี เหล็ก กรดโฟลิก แคลเซียม และสารอาหารอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย กล้วย ยังมีเพกติน ซึ่งช่วยให้ร่างกายชับของเสียออกได้เช่นเดียวกับแอปเปิล กล้วยมีปริมาณวิตามินบี6 เท่ากับตับ ( ในปริมาณน้ำหนักที่เท่ากัน ) กล้วยช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น

กีวีฟรุต
กีวีฟรุต มีวตามินซีมากกว่าส้มถึง 2 เท่า มีกากไยมากกว่าแอปเปิล และมีวิตามินอีเท่ากับอโวคาโด ยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ช่วยลดความดันโลหิต ลดความเครียด ความอ่อนเพลีย และช่วยระบบทางเดินอาหารทำงานดีขึ้น

แครนเบอร์รี
อุดมไปด้วยวิตามินซี เหล็ก โพแทสเซียม และ วิตามินเอ ในมลรัฐแมสซาซูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา จะไห้ตนไข้ที่ป่วยเป็นโรคทางปัสสาวะและนิ่วอดอาหาร ( fast ) ดื่มแต่น้ำแครนเบอร์รี ซึ่งจะช่วยลดแบคทีเรีย และบรรรเทาอาการป่วยลงได้โดยไม่มีผลข้างเคียง ใดๆ

แตงโม
แตงโมเป็นผลไม้ที่หวานฉ่ำแสนอร่อย หรือนำมาปั่นเป็นน้ำแตงโมดื่มดับกระหายก็ดี แตงโมเป็นผลไม้ที่กระตุ้นการทำงานของไต เป็นยาระบายอ่อนๆ มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเกาต์หรือท้องผูก เมล็ดแตงโมนำมาต้มไฟอ่อนๆ ประมาณ 30 นาที นำมาดื่มเป็นยาบรรเทาอาการป่วย เนื่องจากโรคไต หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แตงโมสามารถนำมารับประทานในวันที่อดอาหาร มีประโยชน์เช่นเดียวกับองุ่น คือจะช่วยชำระล้างอวัยวะภายในให้สะอาด

มารับประทานผลไม้กันนะค่ะ