2008-10-31

ประโยชน์ของแคนตาลูป

ประโยชน์ของแคนตาลูป

ใครที่ชอบทานผลไม้โดยเฉพาะแคนตาลูป แล้วรู้ถึงประโยชน์ของแคนตาลูปกันหรือไม่? วันนี้มีเรื่องนี้มาบอกกันค่ะ....

แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่มีรูปร่าง ลักษณะคล้ายผลแตงไทย แต่จะแตกต่างกันตรงที่เปลือกนอกของแคนตาลูปจะค่อนข้างแข็ง และมีเนื้อในขาวนวลกว่า รวมทั้งรสชาติจะหวานกรอบ ไม่นิ่มเหมือนแตงไทย นิยมรับประทานสด ทำเป็นสลัด น้ำผลไม้ และของหวานบางชนิด

แคนตาลูปจัดเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หลาย ๆ คนอาจไม่เคยทราบเลยว่า เนื้อแคนตาลูปนั้นมีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา มีวิตามินซี ที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีแคลเซียม ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังมีความหวานของน้ำตาลธรรมชาติ รวมถึงสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายด้วย

รู้อย่างนี้แล้ว หันมาทานแคนตาลูปกันดีกว่า จะได้มีสุขภาพที่ดี...


ที่มา : สยามดารา

2008-10-30

ประโยชน์จากผลไม้ ที่คนไทยไม่คุ้น


ประโยชน์จากผลไม้ ที่คนไทยไม่คุ้น


ประเทศไทยจัดได้ว่าเป็นเมืองที่มีผลไม้กินตลอดปี ไม่ว่าจะเป็น เงาะ ลำไย ส้ม กล้วย ฯลฯ และยิ่งเดี๋ยวนี้เรานำเข้าผลไม้จากต่างประเทศเข้ามาด้วย จะยิ่งทำให้ประเทศเราอุดมไปด้วยผลไม้นานาชนิด แถมบางชนิดหน้าตาแปลกๆ เพราะเข้ามาจากต่างประเทศ ผลไม้ที่นำเข้ามานั้น จะมีลักษณะเด่นที่ดูแปลกตาคนไทย จนบางครั้งคนที่เพิ่งเห็นก็จะคิดว่า "เอ๊ะ มันอะไรกันเนี่ย" หรือ "หน้าตาดูไม่น่ากินเลย จะกินได้ไหม" ทำให้หลายคนไม่กล้าลอง แต่แม้ว่าผลไม้นอกจะมีหน้าตาที่ดูแปลกและสีสันไม่น่ามองเท่าไรนัก แต่ผลไม้เหล่านี้อุดมไปด้วยคุณค่าและประโยชน์ที่คาดไม่ถึง จะมีผลไม้อะไรบ้างเราลองมาติดตามดูกันได้เลย...


แก้วมังกร (Dragon Fruit) แก้วมังกร เป็นไม้จำพวกแคนตัส (ตะบองเพชร) เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากอเมริกาใต้ ส่วนไทยนำเข้ามาจากเวียดนาม ที่ได้ชื่อว่า แก้วมังกรนั้น เพราะผลมีลักษณะคล้ายลูกแก้ว อยู่กึ่งกลางระหว่างกิ่ง 2 กิ่ง (คล้ายมังกรกำลังเฝ้าลูกแก้ว) พันธุ์นี้จะมีเนื้อสีขาว ส่วนพันธุ์ที่เนื้อสีแดงจะเป็นสายพันธุ์มาจากไต้หวัน พืชจำพวกกระบองเพชรอย่างแก้วมังกร จะมีสารมิวซิเลจ (Mucilage) จำพวกโปลีแซคคาไรด์เชิงซ้อนอยู่มาก ซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำตาลกลูโคสในผู้ที่เป็นเบาหวาน โดยไม่พึ่งอินซูลินและสามารถลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และ LDL คอเลสเตอรอลได้ นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มธาตุเหล็ก บรรเทาอาการเลือดจาง และยังมีสรรพคุณในการป้องกันโรคหัวใจ ความดันเลือด ตับ เบาหวาน มะเร็งลำไส้ และต่อมลูกหมาก ทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับกระดูก ฟัน และกล้ามเนื้อ

อโวคาโด (Avocado) อโวคาโด มีบ้านเกิดอยู่ในแม็กซิโก เป็นผลไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในประเทศเขตร้อนหรือกึ่งร้อน ซึ่งมีปลูกในไทยมานานแล้ว นำเข้ามาโดยหมอสอนศาสนาแต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก เพราะรสชาติไม่เป็นที่คุ้นลิ้นคนไทย นอกจากนี้หลายคนยังคิดว่าอโวคาโดมีไขมันและคอเลสเตอรอลมาก แต่จริงๆ แล้ว ไขมันในอโวคาโดเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนน้ำมันมะกอก ทั้งยังมีวิตามิน อี สูง ทำให้มีสรรพคุณในการบำรุงผิว

กีวี (Kiwi) กีวี ผลไม้หน้าตาประหลาด สีน้ำตาล มีขน มองอย่างไรก็ไม่เห็นจะน่ากินตรงไหน กีวีมีถิ่นเกิดอยู่ที่เมืองจีน แต่เป็นที่นิยมที่นิวซีแลนด์ กีวี มีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 2 เท่า กากใยก็มากกว่าแอปเปิ้ล นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโปแตสเซียม จึงมีส่วนช่วยลดความดันเลือด ลดความเครียดและความอ่อนเพลีย ทั้งยังช่วยให้ระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นด้วย
ลูกพรุน, ลูกพลับ และ ลูกไหน (Prun, Plub & Plum) หลายคนคงสงสัยว่า ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้ ต่างกันอย่างไร ความจริงแล้ว ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้ คือ ผลไม้ชนิดเดียวกัน เพียงแต่ลูกพรุนเป็นการนำลูกพลับมาตากแห้ง ส่วนลูกไหนเป็นชื่อที่คนจีนเรียกลูกพลับ ประโยชน์ของลูกพรุนนี้มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก อุดมไปด้วยไฟเบอร์ แมกนีเซียม เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามิน บี สาวๆ ที่ต้องการลดความอ้วน กินลูกพรุนเยอะๆ จะดี เพราะลูกพรุนมีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย แถมเป็นยาระบายอ่อนๆ อีกด้วย

เบอร์รี่ (Berry) เบอร์รี่ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ว่าจะเป็นสตอร์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ จัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน ซี สูง นอกจากนี้จะมีโปรแตสเซียม และเส้นใยอาหารสูงด้วย - แบล็คเบอร์รี่ มีโฟโตเคมีคอล ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและช่วยในเรื่องการขับถ่าย - บลูเบอร์รี่ ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ - ราสเบอร์รี่ มีใยอาหาร วิตามินซี, เค และยังมีแมงกานีสที่ช่วยการทำงานของปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ

ทับทิม (Punica/Stone Apple) ทับทิม เป็นผลไม้ขนาดเล็ก นิยมปลูกเป็นไม้มงคลหรือประดับเพื่อความสวยงามมากกว่าจะนำไปใช้ประโยชน์เป็นร่มเงา ทับทิมนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นดอก ใบ ราก และผลยังอุดมไปด้วยโปแตสเซียม วิตามินซี และวิตามินบี๖ ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ให้อยู่ในรูปที่ร่างกายต้องการและนำไปใช้ประโยชน์ได้ จึงทำให้ทับทิม มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ท้องร่วง ขับพยาธิ แก้ร้อนใน แก้ไข้ตัวร้อน บรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหาร แก้ริดสีดวงทวาร นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นยาบำรุงเลือดได้ ด้วยความที่ทับทิมมีรสหวานอมเปรี้ยว จึงทำให้อุดมไปด้วยวิตามินซี จึงช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้

กระทกรก / เสาวรส (Passion Fruit) กระทกรก หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เสาวรส เป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงสายตา และผิวพรรณ เนื่องจากมีวิตามินเอ สูง ทั้งยังช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ลดไขมันในเส้นเลือด และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ในเสาวรสนั้นมีวิตามินซี สูง คือ 39.1 มก./100 มก. ซึ่งมีมากกว่ามะนาวเสียอีก

มะเม่า (Mamao) มะเม่า เป็นผลไม้สมุนไพร สายพันธุ์เดียวกับเบอร์รี่ มีบ้านเกิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย เป็นพืชที่นิยมมาทำเป็นไวน์ผลไม้ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่ต่างชาตินิยมเป็นอย่างมาก เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารมาก เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินซี, บี1, บี2 และวิตามิน อี ทั้งยังให้แคลเซียมและธาตุเหล็กด้วย มีฤทธิ์ในการช่วยขับปัสสาวะ บำรุงไต แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้มดลูกอักเสบบวมช้ำ ขับเลือดและน้ำคาวปลา

2008-10-29

กินผักผลไม้ห้ามนิ่วในถุงน้ำดี ควรกินปนเปกันไป

กินผักผลไม้ห้ามนิ่วในถุงน้ำดี ควรกินปนเปกันไป

กินผักผลไม้ห้ามนิ่วในถุงน้ำดี ควรกินหลายอย่างปนเปกันไป
วารสารการแพทย์อเมริกันลงพิมพ์ผลการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างจำนวนมากว่า ผู้หญิงที่รับประทานผักผลไม้เป็นประจำอาจ มีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดี และทางเดินน้ำดี แบบเจ็บปวดน้อยกว่าผู้ที่รับประทานผักผลไม้น้อย

ผลการศึกษาข้อมูลของพยาบาล 77,090 คน ที่ตอบแบบสอบถามเมื่อปี 2527 ขณะอายุระหว่าง 37-64 ปี เกี่ยวกับอาหารการกิน จากนั้นติดตามอัตราการผ่าตัดถุงน้ำดีไปจนถึงปี 2543 พบว่ามีผู้ที่ต้องผ่าตัดถุงน้ำดี 6,600 คน แต่กลุ่มที่รับประทานผักผลไม้มากที่สุดตั้งแต่เริ่ม การศึกษามีแนวโน้มต้องผ่าตัดน้อยกว่ากลุ่มที่รับประทานผักผลไม้น้อยที่สุดราวร้อยละ 21 ผู้ที่จัดว่ารับประทานผักและผลไม้มากที่สุดคือ รับประทานไม่ต่ำกว่า 7 ครั้งต่อวัน ส่วนผู้ที่รับประทานน้อยที่สุดคือ รับประทานไม่ถึง 3 ครั้งต่อวัน

ผลการศึกษาพบว่า ผลไม้ประเภทส้มและมะนาว ผักใบเขียว และอาหารทุกประเภทที่มีวิตามินซีสูงให้ผลป้องกันการเป็นนิ่วแบบมีอาการเจ็บ อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยแนะว่าลำพังวิตามินซี เพียงอย่างเดียวคงไม่ใช่สาเหตุในเรื่องนี้ แต่น่าจะเกิดจากการได้รับสารอาหารหลายอย่างในผักผลไม้ จึงควรบริโภคผักและผลไม้ในปริมาณมาก.

ที่มา : สยามดารา

2008-10-28

บร็อกโคลี่ทำให้เซลล์ผิวต่อสู้กับแสงยูวี

บร็อกโคลี่ทำให้เซลล์ผิวต่อสู้กับแสงยูวี

บร็อกโคลี่เป็นผักสีเขียว รับประทานแล้วดีต่อสุขภาพแน่นอน และข้อดีอีกอย่างหนึ่งที่นักวิทยา ศาสตร์เพิ่งค้นพบคือ บร็อกโคลี่ช่วยป้องกันผิวไม่ให้ได้รับความเสียหายจากรังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสียูวีได้ด้วย

ดร.พอล ทาลาเลย์ อาจารย์จากจอห์นฮอปกินส์ยูนิเวอร์ซิตี้ ทำการสกัดเมล็ดบร็อกโคลี่และนำมาใช้ในการลดผิวที่แดงและได้รับความเสียหายจากรังสี ยูวี จากการทดลองพบว่า สารสกัดจากเมล็ดบร็อกโคลี่ที่มีสาร "ซัลโฟราเฟน" นั้นลดความแดงของผิวได้ดีกว่าผิวที่ไม่ได้ทาด้วยสารสกัดถึง 1 ใน 3


ทาลาเลย์อธิบายเพิ่มเติมว่า สารสกัดจากเมล็ดบร็อกโคลี่ไม่ได้ทำหน้าที่ต่อต้านรังสียูวีเหมือนกับโลชั่นกันแดด เพราะโลชั่นกันแดดนี้จะช่วยต้านแสงยูวีด้วยการกั้นแสง ขณะที่สารสกัดจะช่วยเซลล์ผิวให้ต่อสู้กับผลกระทบจากรังสียูวี นอกจากนี้ ยังให้ผลนาน อย่างในการทดลองนั้นแม้หยุดทาสารสกัดไปแล้ว 2 วัน เซลล์ผิวยังต่อสู้กับรังสียูวีอยู่

สารสกัดนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการป้องกันผิวจากรังสียูวี โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง แต่ไม่สามารถใช้แทนโลชั่นกันแดด

2008-10-27

ยาธาตุเปลือกอบเชย ภูมิปัญญาไทยเพื่อสุขภาพอันยั่งยืน

ยาธาตุเปลือกอบเชย ภูมิปัญญาไทยเพื่อสุขภาพอันยั่งยืน

ในทางการแพทย์แผนไทยมีทฤษฎีวินิจฉัยโรคที่สามารถเข้าใจได้ง่ายไม่ซับซ้อน คือ ทฤษฎีธาตุสมุฏฐานวินิจฉัย ซึ่งเป็นวิธีวิเคราะห์ธาตุอันเป็นที่ตั้งของการเกิดโรคต่างๆ เมื่อเอ่ยถึงธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ คนไทยทั่วไป แม้ไม่ใช่หมอย่อมรู้จักกันดีว่าเป็นองค์ประกอบของร่างกาย ตรงนี้ถือเป็นพื้นฐานภูมิปัญญาไทยแบบองค์รวมที่สำคัญ

ถ้าถามว่า “ ธาตุ ” คืออะไร ก็ตอบได้เบื้องต้นตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาว่า “ สิ่งที่ทรงสภาวะของตนอยู่เอง อันเป็นส่วนสำคัญที่คุมกันเป็นรูปร่างของสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ”ในทางแพทย์แผนไทยถือว่าคนเป็นธาตุ 4 ที่มีชีวิตจึงมีชื่อเรียกเป็นพิเศษว่า “ มหาภูตรูป ” ตามรูปศัพท์นั้น “ ภูติ ” หมายถึง ภูตผี ภาพมายาหลอกหลอน หรือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

ในที่นี้คำว่า “ มหาภูตรูป ” น่าจะมีความหมายว่า รูปอันยิ่งใหญ่ที่บังเกิดขึ้นแล้วโดยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาคุมกันเข้าเป็นรูปมนุษย์ ซึ่งมีความละเอียดซับซ้อนพิสดารกว่าธาตุ 4 ของสิ่งไม่มีชีวิต ตามทฤษฎีธาตุสมุฏฐานนั้น หากธาตุทั้ง 4 ตั้งอยู่ในสมดุลย์ สุขภาพของเราก็จะเป็นปกติ ไม่เจ็บไม่ไข้แต่หากธาตุตัวใดตัวหนึ่งหรือมากกว่าสองตัวเกิดแปรปรวนเสียสมดุลย์ ร่างกายของเราก็จะเกิดอาการเจ็บป่วยมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับภาวะการเสียสมดุลย์ธาตุว่ารุนแรงแค่ไหน

ในบรรดาธาตุทั้ง 4 นั้น ท่านว่าธาตุดินสำคัญที่สุด เพราะเป็นธาตุที่เป็นพื้นฐานโครงสร้างของร่างกาย เปรียบเหมือนตัวถังรถยนต์ โดยปกติธาตุดินจะมั่นคงไม่แปรปรวนง่ายๆ เหมือนธาตุอื่นๆที่เป็นของไหลและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามแม้ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ จะเคลื่อนไหวแปรปรวนอย่างไร หากธาตุดินยังหนักแน่นมั่นคงอยู่ ชีวิตก็ยังดำเนินอยู่ต่อไปได้ แต่ถ้าหากธาตุดินเกิดขยับแปรปรวนมากเมื่อใด ธาตุอื่นๆ ก็จะตั้งอยู่ไม่ได้และจะมาประชุมกันให้โทษเรียกว่า “ มหาสันนิบาต ” เมื่อธาตุทั้ง 4 เสียสมดุลย์พร้อมกันอย่างรุนแรง ก็หมายความว่าชีวิตจะดำเนินอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้น ในทฤษฎีการแพทย์แผนไทย การคุมธาตุดินจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นการคุมฐานที่มั่นของร่างกายนั่นเอง หากคุมธาตุดินได้ก็เท่ากับคุมธาตุอื่นได้ทั้งหมดด้วย

แม้ธาตุดินจะหนักแน่นมั่นคงเพียงใด แต่ก็มีจุดอ่อน คือ อาหารที่นำสู่ร่างกายนั่นเอง อาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการหล่อเลี้ยงชีวิต ในขณะเดียวกันก็อาจกลายเป็นปัจจัยบั่นทอนความมั่นคงของชีวิตด้วย ในบรรดาธาตุดินทั้ง 20 ประการ นั้น อาหารใหม่ (อุทริยัง) และ อาหารเก่า (อุจจาระ) ก็นับเป็นธาตุดินด้วยเช่นกัน ทั้งยังเป็นธาตุดินที่ชี้เป็นชี้ตายต่อชีวิตสำคัญเท่ากับหัวใจเลยทีเดียว ดังข้อความในพระคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัยที่ว่า “ สมุฏฐานปถวีธาตุพิกัด เป็นที่ตั้งแห่งวีสติปถวี (ธาตุดิน 20 ประการ) ซึ่งวิปริต (ผิดปกติ) เป็นชาติ (เกิดขึ้น) จลนะ (แปรปรวน) ภินนะ (แตกสลาย) ก็อาศัย หทัยวัตถุ (หัวใจ) อุทริยะ (อาหารใหม่ ในกระเพาะอาหาร) และ กรีสะ (อุจจาระในลำไส้ใหญ่) ”

แปลความจากคัมภีร์ให้เข้าใจง่ายๆ ได้ว่า ในบรรดาธาตุดินทั้ง 20 ประการนั้นธาตุดินที่ก่อให้เกิดความแปรปรวนจนนำไปสู่การเสียสมดุลย์ธาตุได้ก็คือ หัวใจ อาหาร และ อุจจาระ นั่นเอง ดังนั้นอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว อาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องเสีย หรือกินอาหารไม่รู้รส จึงมิใช่อาการธรรมดาที่จะมองข้าม แต่เป็นการส่งสัญญาณของการเริ่มเสียสมดุลย์ของธาตุดิน อันเนื่องจากอาหารไม่ย่อย หรืออาหารผิดสำแดง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ให้แปรปรวนและเสียสมดุลย์ไปด้วย นับแต่โบราณกาลมา หมอไทยรู้จักใช้ตำรับยาขนานหนึ่งเพื่อใช้คุมธาตุดินมิให้กำเริบนั่นคือ ยาคุมธาตุหรือที่เรียกกันสั้นๆว่า “ ยาธาตุ ”

ตำรับยาธาตุแผนไทยนั้นมีหลายขนานด้วยกันในที่นี้ขอนำเสนอตำรับยาธาตุที่ได้ผ่านการท้าพิสูจน์มาแล้วจากกระบวนการวิจัยทางคลีนิกของการแพทย์แผนใหม่ นั่นคือ “ ยาธาตุอบเชย ” ซึ่งมีสูตรตำรับดัง
นี้
เปลือกอบเชย 50 กรัม
เปลือกสมุลแว้ง 50 กรัม
ชะเอมเทศ 50 กรัม
ดอกกานพลู 50 กรัม
การบูร 1 ช้อนชา
เมนทอล 1 ช้อนชา
น้ำ 7,000 ซีซี

วิธีเตรียม น้ำสมุนไพรทั้ง 4 อย่าง ต้มน้ำประมาณ 15 นาที จากนั้นตั้งทิ้งไว้พออุ่น จึงเติมการบูรและเมนทอล วิธีใช้ ผู้ใหญ่ ครั้งละ 2-3 ช้อนโต๊ะ เด็กลดลงตามส่วน รับประทานหลังอาหาร หรือทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่อมีอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อ

ภาษิตโบราณสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่าทำวิจัยเอง ดังนั้นเพื่อพิสูจน์ว่าสรรพคุณของยาธาตุอบเชยตำรับนี้ดีแค่ไหน คณะวิจัยกลุ่มใหญ่ประกอบด้วยทีมแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ เจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน เจ้าพนักงานเภสัชกรรม และแพทย์แผนไทยประยุกต์จากโรงพยาบาลชุมชนถึง 6 แห่ง รวมทั้งคณะแพทย์ศิริราชพยาบาล และกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกของกระทรวงสาธารณะสุขได้จับมือสามัคคีกันทำวิจัยทางคลีนิกในหัวข้อเรื่อง “ ประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาธาตุอบเชยในการรักษาภาวะอาหารไม่ย่อยที่ ไม่ทราบสาเหตุ (functional dyspepsia)”

ผลปรากฏว่า ผู้ป่วยร้อยละ 82.3 ที่ได้รับยาธาตุอบเชย พึงพอใจต่อผลการักษา และและผู้ป่วยร้อยละ 86 ที่ได้รับยาไซเมธิโคนก็พึงพอใจต่อผลการรักษาเช่นกัน แม้ว่าผลการรักษาของยาไทย ยาฝรั่ง ออกมา วิน-วิน สูสีกัน แต่ค่ารักษาด้วยยาไทยถูกกว่าเกือบ 3 เท่า ในยุคที่กำลังโปรโมทเศรษฐกิจพอเพียงอย่างนี้ คนไทยเราก็ต้องเลือกรักษาด้วยยาไทย ซึ่งถ้าหากไม่สามารถหาสมุนไพรได้ครบสูตร จะใช้เปลือกอบเชยเทศ เพียงอย่างเดียวก็ได้ โดยใช้ขนาด 15 กรัมต้มในน้ำ 1 ลิตร ให้ดือดนาน 5-10 นาที ใช้รับประทานแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยได้ผลดีเช่นกัน

รายละเอียดงานวิจัยข้างต้นนี้ รวมถึงหลักทฤษฎีธาตุ 4 และสรรพคุณสมุนไพรอบเชยอย่างละเอียดนี้ มูลนิธิสุขภาพไทยรวบรวมไว้ในหนังสือพ็อกเก็ตบุคเล่มใหม่ล่าสุด ออกตัวในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติที่ผ่านมา แฟนๆ ที่สนใจติดต่อได้ที่มูลนิธิสุขภาพไทย 0-2589-4243 และ0-2814-4013 ราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซิล 2 ลิตร (ค่าส่งฟรี)

นอกจากยาอบเชยแล้ว หากเรากินอาหารเช่น แกงพะโล้ ข้าวขาหมู เขาก็ปรุงด้วยน้ำเครื่องเทศ เปลือกอบเชย เพื่อช่วยย่อย แก้ท้องอืด ลดไขมันด้วย หรือถ้าหากต้องการคุมธาตุดินโดยไม่ต้องการใช้ยาเลย ก็คงต้องหันมาพึ่งพุทธวิธีตามหลัก “ อายุวัฒนธรรม ” (เคล็ดลับที่ช่วยให้อายุยืน) ข้อหนึ่งที่ว่าให้บริโภคสิ่งที่ย่อยง่ายและเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพียงเท่านี้ก็ช่วยคุมธาตุดินให้สมดุลย์โดยไม่ต้องใช้ยา
จะเลือกภูมิปัญญาไทยก็ได้หรือเลือกภูมิปัญญาพุทธก็ดี เพื่อก้าวสู่วิถีสุขภาพดีที่ยั่งยืนของคนไทยทั่วหน้า


ที่มา : มูลนิธิสุขภาพไทย

2008-10-26

หอมหัวใหญ่-หัวผักกาด

หอมหัวใหญ่

หอมหัวใหญ่ มีคุณสมบัติช่วยลดโคเลสเตอรอลและลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเพิ่ม HLD Cholesterol หรือ High Density Lipoprotein Cholesterol ซึ่งเป็นตัวไขมันที่ดี ลองรับประทานหอมหัวใหญ่สดๆทุกวันอย่างน้อย 2 เดือนก็จะเห็นผล หอมหัวใหญ่ช่วยบำบัดโรคโลหิตจาง หลอดลมอักเสบ หืด ไขข้ออักเสบ และชราก่อนวัยอันสมควร

หัวผักกาด

หัวผักกาดหรือแรดิช ทั้งหัวผักกาดขาวและหัวผักกาดแดงเป็นอาหารต้านมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง เหมาะกับผู้ป่วยโรคตับและถุงน้ำดี หัวผักกาดมีสารอาหารที่มีคุณค่าหลายอย่าง เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม และกำมะถัน รวมทั้งวิตามินเอ และวิตามินบีรวม หัวผักกาดมีไวตามินซีสูงกว่าผักชนิดอื่นๆ แตต่องกินสดๆเพราะวิตามินซีสลายตัวง่ายเมื่อปรุงด้วยความร้อน วิตามินซีที่ได้ป้องกันมะเร็ง ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคสูง

2008-10-25

ง.งา-ช.ชา

ชา

ชาเป็นเครื่องดื่มสารพัดประโยชน์ มี 2 ชนิดใหญ่คือ ชาจีนกับชาฝรั่งซึ่งมีกลิ่นและรสต่างกันตามกรรมวิธีการผลิต ในใบชามีคาเฟอีนที่กระตุ้นสมองให้สดชื่นแจ่มใส มีสารแทนนินที่มีรสฝาด ใช้แก้อาการท้องเสียได้ โดยชงชาให้แก่จนฝาด แล้วดื่มเป็นระยะจนกว่าจะ หยุดถ่าย อย่าดื่มมมากเกินไปเดี๋ยวจะท้องผูก นอกจากคุณสมบัติเหล่านี้แล้วในชาจีนยังสารต้ามมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ สามารถยับยั้งการสร้าง
ไนโตรซามีนที่เป็นสารก่อมะเร็งรุนแรงได้ ดังนั้นเราจึงควรดื่มชาระหว่างอาหารเป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็ง


งา


ชาวมังสวิรัติทุกคนจะรู้จักงาเป็นอย่างดี งา 100 กรัม ให้ดปรตีนถึง 26 กรัม และยังมีกรดอะมิโนที่มีประโยชน์ต่อตับและไตนอก จากนี้ยังสารอาหาที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย งา 100 กรัม มีเหล็ก7 มิลลิกรัม และสังกะสี 10.3 มิลลิกรัม ควรรับประทานงาพรร้อมกับผลไม้หรือผักที่ให้ไวตามินซี ซึ่งจะช่วยไห้ร่างกายดูดซึมสารอาหารต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากโปรตีนและเกลือแร่แล้ว งายังกรดไขมันไม่อิ่มตัวและวิตามินอีด้วย คุณประโยชน์ที่สำคัญยิ่งของงาอีกอย่างก็คือ งามีแคลเซียมสูงมาก ในงาดำคั่ว 100 กรัม มีแคลเซียมสูงถึง 1452 มิลิกรัม ซึ่งคนปกติต้องการแคลเซียมประมาณ 800 มิลลิกรัมต่อวัน ในขณะที่คนวัยทองต้องการแคลเซียม 1200- 1500 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นการรับประทานงาเป็นประจำจะช่วยเสริมแคลเซียมให้ร่างกายได้เป็นอย่างดี

หน่อไม้ฝรั่ง-เห็ด

หน่อไม้ฝรั่ง

หน่อไม้ฝรั่งหรือ " แอสพารากัส " เป็นผักยอดนิยมของคนทั่วโลก มีสารที่มีประโยชน์คือ
" กลูตาไทโอน " ที่เป็นสารต้ามะเร็งทั้งในชายและหญิง และวิตามินซีที่ช่วยให้สเปิร์มของชายแข็งแรง
เวลานำมาปรุงอาหารอย่าใช้ความร้อนนานไม่เช่นนั้น วิตามินซีจะสลายไปหมด

เห็ด

เห็ดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ มีแคลอรีน้อย ไขมันต่ำไม่มีโคเลสเตอรอล โซเดียมต่ำ แต่แร่ธาตุสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิตและซีลีเนียมที่เป็นสารต้านมะเร็ง เห็ดมีวิตามินมากโดยเฉพาะวิตามินบี เห็ดหอมมีวิตามินดีสูงมาก ช่วยในการดูดซึมเกลือแร่ เสริมสร้างกระดูกและฟัน นอกจากนี้เห็ดยังให้โปรตีนพืชที่คุณภาพดี เพราะมีกรดอะมิโนต่างๆที่ร่างกายต้องการ

2008-10-24

ขิงก็รา ข่าก็แรง

ข่า

ข่าเป็นพืชผักสมุนไพร นอกจากจะมีสรรพคุณด้านยาแล้ว ข่ายังประกอบด้วยวิตามินหลากหลายทั้ง
วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และ วิตามินซี ฟอสฟอรัส มีแคลเซียม เหล็ก และเบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตัวสำคัญในการป้องกันมะเร็ง นอกจากนี้ข่ายังช่วยขับลมแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียด ขับเสมหะ หลอดลมอักเสบลดอาการเกร็ดของกล้ามเนื้อเรียบ ต้านวัณโรค

ขิง

ขิง ช่วยทุเลาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดได้ เพราะขิงจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยขับลม ทำให้ สบายท้อง ขิงใช้ป้องกันอาการเมารถเมาเรือได้ดีกว่ายาป้องกัน เพราะยาพวกนี้มีผลข้างเคียงคือ ทำให้ง่วง ปากแห้ง มึนงง ในขณะที่ขิงไม่มีผลข้างเคียงใดๆเลยคราวหน้าก่อนขึ้นรถ อย่าลืมดื่มน้ำขิงแก่ๆก่อน คนที่ไอโขลกๆ ให้ฝนขิงกับน้ำมะนาว ผสมเกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอ อาการไอและเสมหะจะบรรเทาลง

2008-10-23

ผักชี-ผักบุ้ง

ผักชี

ผักที่โดดเด่นทั้งรูปร่าง กลิ่น และคุณค่าต่อร่างกาย ส่วนของผักชีที่เรานิยมนำมาใช้ประโยชน์ก็คือ เมล็ดและต้น ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้จะมีกลิ่นเฉพาะตัวเมล็ดผักชีใช้รักษาอาการปวดท้องและช่วยย่อยอาหาร ส่วนใบมีสรรพคุณ ช่วยย่อยเช่นกัน และยังมีเบตาแคโรทีนอีกด้วย นอกจากนี้ผักชียังมีฤทธิ์เผ็ดร้อนช่วยขับลม บำรุงธาตุ แก้คลื่นไส้

ผักชีฝรั่ง

ผักชีฝรั่งมีดีในเรื่องกลิ่น มักใช้ในอาหารรสจัด เนื่องจากกลิ่นของผักชีฝรั่งกลบกลิ่นคาวของ
เนื้อสัตว์ได้ ผักชีฝรั่งมีวิตามินซีสูง มีเบตาแคโรทีนสูง นำไปใชสร้างวิตามินเอ บำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย มีวิตามินบี 1 และบี 2 และไนอาซิน ทำให้ระบบการทำงานในร่างกายสมดุล

ผักบุ้ง

ผักบุ้งผักพื้นบ้านไทย ๆ ที่รู้จักกันดีนี้อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งช่วยบำรุงสายตา ทำให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงเป็นประกายไม่แสบ หรือ แห้ง และยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ผักบุ้งยังมากล้นไปด้วยวิตามินซี โดยเฉพาะถ้ากินสด ๆ ธาตุเหล็กในผักบุ้งช่วยบำรุงเลือด ส่วนแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่มีอยู่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน หากจะพูดถึงสรรพคุณทางยา ผักบุ้งมีสารบางชนิดที่สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน ผักบุ้งเป็นผักที่มีฤทธิ์เย็น จึงช่วยบรรเทาอาการร้อนในได้ ผักบุ้งจีนจะมีแคลเซียมและเบตาแคโรทีนมาก กว่าผักบุ้งชนิดอื่นๆ

ผักโขม-ผักกาด

ผักกาดขาว

ผักกาดขาวเป็นผักสามัญที่เห็นกันทั่วไป แต่มีคุณค่าทางอาหารมากมายชนิดที่ต้องแปลกใจ ผักกาดขาวอุดมไปด้วย " โฟเลต " ซึ่ง เป็นสารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ในระยะ 3 เดือนแรก ถ้าแม่ได้รับโฟเลตน้อยเกินไป การสร้างระบบประสาทและ DNA ของทารกอาจผิดปรกติได้ นอกจากนี้โฟเลตยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรงด้วย ผักกาดขาวมีสรรพคุฯหลายด้านทั้งช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้พิษสุรา เส้นใยอาหารที่มีอยู่มากยังช่วยให้ผู้ที่ท้องผูกบ่อย ๆ ผ่อนหนักเป็นเบาได้

ผักกาดหอม

ผักกาดหอมเป็นผักที่นิยมรับประทานสดๆ การรับประทานสดทำให้ได้รับวิตามินซีที่อยู่ในผักกาดสูงได้อย่างดี ผักกาดหอมมีสาร เบตาแคโรทีนสูง เป็นสาร " Antioxidant " ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในร่างกายของเรา ทำให้ต้านมะเร็งได้หลายชนิด การแพทย์แผนจีนแนะนำให้คุณแม่รับประทานผักกาดหอมมากๆเพื่อเพิ่มน้ำนม

ผักโขม

ผักโขมมักถูกเข้าใจผิคิดว่าเป็นผักของป๊อบอาย จริงๆแล้วนั่นคือผักปวยเล้งต่างหาก ใบผักโขมเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นเยี่ยม เมื่อ เข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยให้สายตาดี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และโปรตีน ผักโขมมีเส้นใยอาหารมาก ช่วย ขับสารไนโตรต์ที่เป็นสารก่อมะเร็งซึ่งมักปนเปื้อนมาในผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปต่างๆ เช่น ไส้กรอก ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร คนเฒ่าคนแก่มักแนะนำให้แม่ลูกอ่อนรับประทานผักโขม เพื่อเพิ่มน้ำนมเพราะผักโขมมีธาตุเหล็กสูง

2008-10-22

คะน้า-ชะอม

คะน้า

คะน้าเป็นพืชตระกูลเดียวกับกะหล่ำ ใบเขียวๆของคะน้าเป็นแหล่งรวมวิตามินและเกลื่อแร่มากมาย เช่น วิตามินซี ที่ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคสมบูรณ์ แต่วิตามินซีสลายไปได้ง่าย ดังนั้นการรับประทานสดๆจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด นอกจากวิตามินซีแล้ว ยังอุดมด้วยเบตาแคโรทีน ช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร ลำไส้ ลำคอ ปอด และกระเพาะปัสสาวะได้ ทีเด็ดของคะน้าอีกอย่างหนึ่งคือ มีแคลเซียมสูง แถมยังดูดซึมแคลเซียมได้ดีกว่าผักอื่นด้วย

ชะอม

ชะอมเป็นผักกลิ่นแรงที่ให้เส้นใยอาหารสูง ชะอม 100 กรัมให้เส้นใยอาหารสูงถึง 3.9 กรัม ใยอาหารจะจับสารก่อมะเร็งต่าง ๆ เอาไว้เพื่อขับถ่ายไปในที่สุด ยอดชะอมที่เรานิยมนำมาทำชะอมชุบไข่ทอดรับประทานกับน้ำพริก ให ้สารเบตาแคโรทีนสูง ซึ่งจะเปลี่นยเป็นวิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันดรคหัวใจขาดเลือดได้ ข้อควร ระวัง คือ คุณแม่ลูกอ่อนไม่ควรรับประทานชะอม เพราะเชื่อ ว่าจะทำให้น้ำนมแห้ง

อโวคาโด-อัลมอนด์ -แอพริคอต

อโวคาโด

ผลอโวคาโดอุดมไปด้วยไขมัน และมีแคลอรีสูง แต่ก้เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก เพราะมี
โพแทสเวียมสูง หากร่างกายขาดโพแทสเซียมจะทำให้อ่อนเพลีย มีอาการหดหู้ และระบบทางเดินอาหารบกพร่อง อโวคาโดยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซีเล็กน้อย และวิตามินอี อโวคาโดเหมาะกับผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้ สตรีที่รับประทานอโวคาโดจะช่วยให้ผิวพรรณสวยเพราะอโวคาโดจะช่วยลดอนุมูลอิสระ ไขมันจากผลอโวคาโดย่อยง่าย จากการวิจัยพบว่า เนื้อผลอโวคาโดมีสารต่อต้านแบคทีเรียด้วย

อัลมอนด์

อัลมอนด์อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน และเกลือแร่ หากรับประทานอัลมอนด์กับน้ำที่มีวิตามินซีสูงจะช่วยให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดียิ่งขึ้น อัลมอนด์มีโปรตีนสูงถึง 20% เทียบกับน้ำหนักที่เกันแล้ว มีโปรตีนสูงกว่าไข่ถึง 3 เท่า น้ำอัลมอนด์ย่อยง่าย จึงเหมาะกับผู่ป่วยโรค ทางเดินอาหาร เราสามารถทำน้ำอัลมอนด็ได้เอง โดยนำอัลมอนด์ 50 กรัม แช่ในน้ำอุ่น 2 ออนซ์ จากนั้นลอกเปลือกออก และนำไปบดหรือปั่นให้ละเอียด เติมน้ำ 1 ลิตร นำไปต้ม เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง แค่นี้ก็จะได้น้ำอัลมอนด์แสนอร่อย

แอพริคอต

แอพริคอตอุดมด้วยเบตาแคโรทีนซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในผักผลไม้สีเหลืองส้ม สียิ่งจัดเท่าไรก็จะมี
เบตาแคโรทีนมากเท่านั้น ซึ่งเหมาะสำหรับผู่ป่วยโรคติดเชื้อ เช่น ผู้ป่วยระบบทางเดินปัสสาวะ หรือ
ผู้ป่วยโรคมะเร็ง แอพริคอตแห้งมีเหล็กมาก ก่อนรับประทานควรนำไปล้างด้วยน้ำอุ่นเพื่อล้างเอา
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกเสียก่อน

2008-10-21

คุณประโยชน์ของผลไม้

องุ่น

องุ่นเป็นผลไม้ที่ให้พลังงาน ช่วยชะล้างทำความสะอาดอวัยวะภายใน เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้ โรคโลหิตจาง ร่างกายอ่อนเพลีย โรคไขข้ออักเสบ และโรคเกาต์ การอดอาหารเพื่อล้างพิษด้วยการรับประทานองุ่นเพียงอย่างเดียวจะช่วยบำบัดโรคผิวหนัง โรคทางเดินปัสสาวะ โรคไขข้ออักเสบ โรคเกาต์ สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักจะใช้วิธีการอดอาหารเพื่อล้างพิษ โดยรับประทานองุ่นเพียงอย่างเดียวทุกๆ
10 วันก็ได้ผลดีเช่นกัน ควรล้างองุ่นให้สะอาดเพราะมีสารจากยาฆ่าแมลงอยู่มาก

แอปเปิล

ชาวตะวันตกตระหนักในคุณค่าทางอาหารของแอปเปิลเป็นอย่างมาก ถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า " หากคุณสามารถปลูกต้นไม้ไว้ในสวนได้ เพียง 1 ต้น ก็ควรจะปลูกแอปเปิล " แอปเปิลมีประโยชน์ต่อหัวใจ
สารเพกตินและวิตามินซีในแอปเปิลจะช่วยให้ระดับโคเลสเตอรอลอยู่ในระดับคงที่ จากการศึกษายังพบว่าสารเพกตินช่วยปกป้องเราจากมลภาวะต่างๆ ช่วยขับสารตะกั่ว และโลหะอื่นๆ ที่ร่างกายไม่ต้องการออกไป กรดมาลิกและกรดทาทาริกในแอปเปิลช่วยระบบการหายใจ และยังช่วยขจัดโปรตีนและไขมันส่วนเกินใน
ร่างกายจึงนำแอปเปิลไปปรุง กับอาหารหลายๆชนิด เช่น แอปเปิลกับหมู แอปเปิลกับเนยแข็ง
แอปเปิลยังมีประโยชน์มากกับผู้ป่วยโรคไขข้อและเกาต์ ผู้ป่วยโรคเหล่านี้ ควรทานแอปเปิลสดเพียงอย่างเดียวสัก 1 ถึง 2 วัน เป็นการอดอาหาร ( fast ) เพื่อให้ร่างกายขับของเสียและสารพิษออกมา จากการวิจัยของฝรั่งเศส พบว่าการทาน แอปเปิลวันละ 2 ผล จะช่วยลดโคเลสเตอรอลลงได้ 10% ควรรับประทานแอปเปิลทั้งเปลือก เพราะสารเพกตินที่ช่วยลด โคเลสเตอรอลอยู่ที่เปลือก

มะละกอ

มะละกอสุกนิยมรับประทานเป็นผลไม้ล้างปากหลังอาหาร มีทั้งวิตามินซีและเบตาแคโรทีนสูง เบตาแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ และเป็นสารต้านมะเร็งที่สำคัญ

ผลไม้ตระกูล ส.สอ

สตรอเบอร์รี

สตรอเบอร์รีเป็นผลไม้เมืองหนาว เป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ป่วยที่ป้นโรคเกาต์และไขข้ออักเสบ นั่นเป็นเพราะว่า สตรอเบอร์รีเมีคุณสมบัติในการชำระล้างระบบต่างๆในร่างกาย นอกจากนี้สตรอเบอร์รียังเหมาะกับคนที่เป็นความดันโลหิตสูง การแพทย์แผนโบราณของยุโรปแนะนำให้ผู้ป่วยเป็นนิ่วในไตรับประทาน
สตรอเบอร์รี สตรอเบอร์รีมีเหล็กสูง จึงเหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคโลหิตจางและร่างกายอ่อนเพลีย ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังก็ควรรับประทานสตรอเบอร์รี หากจะรับประทานสตรอเบอร์รีเพื่อบรรเทาอาการ
เจ็บป่วย ควรรับประทาน สตรอเบอร์รีเพียงอย่างเดียวหรือก่อนอาหาร

ส้ม
ส้มอุดมไปด้วยวิตามินซี นอกจากนี้ส้มยังมีคุณค่าอื่นๆต่อร่างกาย เช่น จากการวิจัยของประเทศสวีเดน พบว่าผู้ที่รับประทานอาหารเช้าและดื่มน้ำส้มด้วยจะสามารถดูดซึมเหล็กได้ดีขึ้นสองเท่าครึ่ง ส้มยังมีวิตามินเอด้วย นอกจากนี้ยังมี" ไบโอฟลาโวนอย " ซึ่งมีอยู่ในผัก ผลไม้หลายชนิด และเป็นที่รู้จักกันในชื่อวิตามินบี หรือ ซี 2 ซึ่งช่วยให้ไวตามินซีทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และทำให้ผนังหลอด เลือดฝอยแข็งแรงขึ้น

สับปะรด

ชาวฮาวายจะดื่มน้ำสับปะรดเมื่อมีอาการอาหารไม่ย่อย ปัจจุบันเราทราบแล้วว่า สับปะรดสดมีเอนไซม์ชื่อว่า " โบรมีลีน " ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีความสามารถในการย่อยโปรตีนได้ในเวลาอันรวดเร็ว น้ำสับปะรดสดยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอโดยใช้กลั้วคอ และเป็นส่วนผสมของตำรับยาพื้นบ้านรักษาโรคคอตีบ สับปะรดยังสามารถต่อต้านแบคทีเรียและบรรเทาอาการอักเสบได้ด้วย

เสาวรส

เสาวรสหรือกะทกรกฝรั่ง มีชื่อที่รู้จักกันดีคือ " passion fruit " นิยมนำผลมารับประทาน ลูกเสาวรสมีหลายสี เต็มไปด้วยเมล็ด น้ำเยอะ รสเปรี้ยวมาก มีกลิ่นหอม นิยมนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ดื่ม เสาวรสมีวิตามินเอสูง รับประทานเป็นประจำจะทำให้สุขภาพตาดี สร้างภูมิคุ้มกันโรค และบำรุงผิวพรรณ ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

2008-10-20

สาหร่ายทะเล-สะระแหน่-สะเดา

สะเดา

สะเดามีสรรพคุณเป็นอาหารยาอย่างเยี่ยมยอด เพราะพบว่ามีสารที่อยู่ในใบและยอดสะเดา ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกและมะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการเต้นของหัวใจให้ถูกจังหวะ สะเดามีดีอยู่ที่ยอดเพราะในใบอ่อนของสะเดาจะมีเบตาแคโรทีนมากว่าในใบตำลึงเสียอีก จากการวิจัยพบว่าสารสกัดจากใบสะเดาจะช่วยลดอาการเครียดลงได้

สะระแหน่

ผักที่ใบหยิกสวยเสริมเสน่ห์ให้สวนครัวนี้มีสารอาหารสำคัญอยู่มาก เช่น เบตาแคโรทีน ที่เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่จะทำให้เกิดมะเร็ง สะระแหน่ช่วยขับลม ทำให้สบายท้อง เวลารับประทานอาหารมากๆท้องจะได้ไม่อืด เนื่องจากสะระแหน่มี กลิ่นหอมเย็นของเมนทอล จึงช่วยให้คนที่รับประทานรู้สึกสดชื่น ความคิดแจ่มใส แก้ปวดหัวได้ดี ระบบทางเดินหายใจโปร่ง ส่วนวิตามินซีในสะระแหน่ก็ช่วยให้เหงือกแข็งแรงและไม่เป็นหวัด

สาหร่ายทะเล

สาหร่ายทะเลมีทั้งสีเขียว น้ำตาล และแดง มีหลายชนิด เช่น สาหร่ายผมนาง โนริ คอมบุ ซึ่งเป็นอาหารที่ให้วิตามินเอ บี และซีมาก สาหร่ายทะเลยังมีความสามารถในการจับตัวโมเลกุลที่เป็นพิษและมีน้ำหนักมาก ซึ่งตกอยู่ในลำไส้แล้วเปลี่ยนให้เป็นเกลือที่ไม่ละลาย และ ในที่สุดก็ถูกขับอกจากร่างกาย สาหร่ายทะเลอุดมด้วยแร่ธาตุพวกแคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี และกรดโฟลิก สาวๆและสตรีวัยก่อนหมด ประจำเดือนควรรับประทานสาหร่ายทะเลเป็นประจำเพราะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมและโรคกระดูกผุได้

สรรพคุณของพืชผัก

กระเจี๊ยบมอญ

กระเจี๊ยบมอญเป็นพืชผักที่มีลักษณะปลายฝักแหลม รูปทรงเป็น 5 เหลี่ยม สรรพคุณของกระเจี๊ยบ
เช่น สารสกัดจากกระเจี๊ยบช่วยใน การขับพยาธิตัวจี๊ด รักษาความดันโลหิตให้เป็นปกติ ช่วยบำรุงสมอง นอกจากนี้กระเจี๊ยบยังประกอบด้วยวิตามินเอ วิตามินบี1วิตามินบี 2 เหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัสและเมือก โดยเฉพาะเมือกจะมีคุณสมบัติเด่น คือ รักษาโรคกระเพาะ บรรเทาอาการระคายเคืองของเนื้อเยื่อที่อักเสบ กระเจี๊ยบมอญจึงเป็นผักที่ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องในคนที่เป็นเยื่อบุกระเพาะ หรือลำไส้อักเสบ และยังเป็น ยาระบายด้วย

กระชาย
กระชายเป็นพืชสมุนไพรที่นำมาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของอาหารไทยหลายชนิด กระชายมีน้ำมันหอมระเหย และ สารสำคัญหลาย ชนิดที่มีสรรพคุณในการช่วยขับลม

กระเทียม
กระเทียมจัดเป็นยอดสมุนไพรชนิดหนึ่ง คุณสมบัติของกระเทียมที่รู้จักกันทั่วโลก ก็คือ สามารถป้องกันโรคมะเร็ง รักษาโรคหัวใจ โรคติดเชื้อต่างๆ เช่น วัณโรคและไทฟอยด์ โรคปอด ลำไส้อักเสบ โรคทางเดินปัสสาวะ โรคหืด โรคพยาธิในลำไส้ ไขข้ออักเสบ และโรคเกาต์ กระเทียมมีคุณสมบัติเป็นยาแก้อักเสบและทำลายแบคทีเรีย โดยไม่มีผลข้างเคียงต่อผู้ป่วย นอกจากนี้ยังช่วยลดโคเลสเตอรอล และ ลดความดันโลหิตสูง

กะเพรา
กะเพรามีกลิ่นรสร้อนแรงซึ่งใช้สยบกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ในอาหารต่างๆได้ดี กะเพรามีคุณสมบัติหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสรรพคุณทางยาหรือในการนำมาปรุงอาหาร โดยเฉพาะฤทธิ์ทางยา กะเพราช่วยคลายความอึดอัดไม่สบายท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือจุกเสียด โดย ให้ใช้กะเพราชงใน้ำร้อนแล้วดื่ม อาการจะดีขึ้น นอกจากนี้กะเพรายังช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่ในสตรีหลังคลอดด้วย สารอาหารที่มีอยู่ในกะเพรา เช่น เบตาแคโรทีน ซึ่งช่วยป้องกันโรคมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือด ใบกะเพรายังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงมาก ซึ่งจะช่วย บำรุงกระดูกให้แข็งแรง ดังนั้นการปรุงอาหารที่มีส่วนประกอบของใบกะเพราอยู่ด้วยก็จะช่วยให้ได้สารอาหารค่อนข้างครบครัน

ทานผักกันให้เยอะ ๆ นะค่ะ

2008-10-19

สรรพคุณ มะนาว-มะระ

มะนาว

มะนาวช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน เพราะวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 2 เท่า และมีไวตามินบีด้วย สมัยโบราณใช้มะนาวรักษาโรคทางเดินหายใจ โดยคั้นน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นเติมน้ำผึ้งเป็นสูตรดั้งเดิมในการรักษาโรคหวัด บรรเทาอาการเจ็บคอ น้ำมะนาวเป็นน้ำผลไม้ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีที่สุด รองลงมาคือ น้ำส้มและน้ำฝรั่ง น้ำมันจากเปลือกมะนาวก็มีประโยชน์มาก สามารถทำลายแบคทีเรีย ได้ มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดสูง จึงห้ามมิให้ผู้ป่วยโรคไขข้อรับประทาน

มะระ

มะระที่เรานิยมรับประทานมี 2 ชนิด คือ มะระจีนและมะระขี้นก ทั้ง 2 ชนิดมีความขมเหมือนกัน เนื่องจากมีสารอัลคาลอยด์ที่ชื่อ " โมโมดิซิน " ที่ช่วยให้เจริญอาหารและเป็นยาระบายอ่อนๆ แต่สารโมโมดิซินนี้สลายไปได้ด้วยความร้อน ดัวนั้นการต้มมะระนานๆจะทำให้ลดความขมลงได้ น้ำคั้นจากผลมะระช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เพราะกระตุ้นการหลิ่งของสารอิซูลิน แต่สตรีมีครรภ์ไม่ควรรับ ประทานเพราะอาจทำให้แท้งลูกได้

สารอาหารจากมะเขือ

มะเขือเทศ

มะเขือเทศเป็นผักสีแดงแสนสวย เนื้อฉ่ำ รสชาติอร่อยเพราะมีกรดอะมิโนที่ชื่อ " กลูตามิก " สูง กรดอะมิโน ชนิดนี้เป็นตัวเพิ่มรสชาติให้อาหาร เป็นกรดอะมิโนเดียวกับที่มีในผงชูรส มะเขือเทศมีสาร " ไลโคปีน " จัดเป็น แคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งเป็นสาร Antioxidant สามารถลดการเกิดมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ จากการวัจัยพบว่าการรับประทานมะเขือเทศ 10 ครั้งต่อสัปดาห์จะช่วย ลดอัตราการเกิดมะเร็งที่ต่อมลูกหมากใน เพศชายได้มากกว่าร้อยละ 45 มะเขือเทศมีเบตาแคโรทีนสูงเช่นกัน มีฟอสฟอรัส วิตามินซีที่มี ประโยชน์ต่อร่างกาย

มะเขือพวง

มะเขือพวง ที่สวยด้วยรูปทรงและช่อพวงนี้มากด้วยคุณประโยชน์นานาประการ ตั้งแต่ธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด และแคลเซียมที่ บำรุงกระดูก และยังช่วยลดความดันโลหิต ข้อสำคัญคือ เส้นใยอาหารในมะเขือพวงมีมากมาย นั่นคือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเวลาคน โบราณทำแกงเผ็ดหรือแกงอื่นใดที่ใสกะทิ จึงมักใส่มะเขือพวงลงไปด้วย เพราะเส้นใยอาหารในมะเขือพวงจะช่วยดูดซับไขมันจากมะพร้าวนั่นเอง

มะเขือยาว

มะเขือยาวมีสรรพคุณมากมายใช้เป็นยาได้ทุกส่วน รากและลำต้นใช้แก้บิดเรื้อรังหรือถ่ายเป็นเลือด เท้าเปื่อยบวมอักเสบ ปวดฟัน และใช้รักษาแผลที่เกิดจากการถูกความเย็นจัด ใบแก้ปัสสาวะขัด หนองใน ถ่ายเป็นเลือด ตกเลือดในลำไส้ แผลบวมอักเสบมีหนอง ดอกใช้แก้แผลมีหนองและปวดฟัน กระทั่งขั้วก็ใช้เป็นยาแก้ฝี แผลอักเสบมีหนอง แผลในช่องปากและปวดฟัน

2008-10-18

สรรพคุณจากพริก

พริก

พริกทุกชนิดจะมีสาร " แคปไซซิน " มีสรรพคุณช่วยระบบทางเดินหายใจ ความดันโลหิตและหัวใจ ช่วยขับเหงื่อมีสารต้านอนุมูล อิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็งได้ ถ้ารับประทานพริกมากๆหรือรับประทานเผ็ดเป็นประจำ ระบบการย่อยและดูดซึมอาหารจะทำงานได้ไม่ดี แต่ถ้ารับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ จะทำให้เลือดไม่จับตัวเป็นก้อน เลือดไหลเวียนได้ดี

พริกไทย

พริกไทยเป็นเครื่องเทศที่ได้ชื่อว่า เป็นราชาแห่งเครื่องเทศ พริกไทยนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งผลอ่อนและผลสุก พริกไทยอ่อนมีน้ำมันหอมระเหย นิยมปรุงในผัดเผ็ด เพื่อดับกลิ่นคาว ช่วยย่อยอาหาร แก้ปวดหัว ปวดตามข้อและแก้ท้องเสียได้ นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูงและเบตาแคโรทีน ผลสุกนำมาทำเป็นเมล็ดพริกไทยทั้งสองชนิดคือ พริกไทยดำ และพริกไทยขาว แตกต่างกันตรงวิธีการผลิต พริกไทยดำ จะมีรสเผ็ดและกลิ่นหอมกว่าพริกไทยขาว พริกไทยช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ ขับเสมหะ ไอ สะอึกได้ ช่วยกระตุ้นการไหลของน้ำลาย และน้ำย่อย ขับลมในกระเพาะอาหาร กระตุ้นให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ อาหารจึงย่อยง่าย จากการวิจัยพบว่า " สารฟีนอลิกส์ " ในพริกไทยมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant สามารถต้านมะเร็งได้

พริกหวาน

พริกหวานอุดมไปด้วยวิตามินซี พริกหวานสีเหลืองมีไวตมินมากกว่าสีส้มถึง 4 เท่า พริกหวานสีเขียว 100 กรัม มีวิตามินซีถึง 100 มิลลิกรัม เช่นกัน ควรรับประทานพริกหวานสดๆเช่น ใส่ในสลัดเพื่อรักษาวิตามินซีให้มากที่สุด พริกหวานยังมีเบตาแคโรทีน เหล็ก และโพแทสเซียม คนที่ป่วยเป้นโรคไขข้อ ไม่ควรรับประทาน

ประโยชน์จากผักสีเขียว

บรอกโคลี

บรอกโคลีเป็นผักตระกูลกะหล่ำ ซึ่งเป็นอาหารต้านมะเร็ง การรับประทานผักตระกูลกะหล่ำมากๆ ช่วยลดอัตราการเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ได้ บรอกโคลีมีวิตามินเอสูง และยังอุดมด้วยเหล็กซึ่งเหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรค โลหิตจาง ร่างกายอ่อนเฟลียและผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาท นอกจากนี้บรอกโคลียังมีประโยชน์ต่อผู้ที่ปวดข้อ และช่วยป้องกันโรคหัวใจด้วย

บัวบก

บัวบกเป็นพืชใบสวยที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์นานาสารพัด สรรพคุณทางยาที่รู้จักกันมานานก็คือ ใบบัวบกช่วยสมานแผลภายนอก ส่วนสารสกัดที่ได้จากผลแห้ง ก็ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร และช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย สมองก็ทำงานดีขึ้น จึงช่วยให้ความจำดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ใบบบัวบกยังอุดมไปด้วยไวตามินบี 1 ซึ่งมีมากกว่าผักอีกหลายชนิดในปริมาณที่เท่ากัน เช่น กะหล่ำปลี ผักกระเฉด กะหล่ำดอก คะน้า และยอดชะอม
จากการวิจัยพบว่าวิตามินบี 1 เป็นวิตามินที่ช่วยในการพัฒนาสมองของเรา ใบบัวบกนอกจากจะดีกับสมองแล้ว ยังบำรุงหัวใจด้วย เพราะช่วยลดอาการแพ้ ลดความดันเลือด และช่วยสร้างกล้ามเนื้อ รวมถึงบำรุงผิวพรรณ ด้วย ส่วนคุณสมบัติดั้งเดิมที่เทราบก็คือ แก้ช้ำใน และอาการบาดเจ็บภายนอก


ใบปอ

ธาตุอาหารที่สำคัญยิ่งต่อร่างกาย เช่น เหล้ก แคลเซียม เบตาแคดรทีน ตัวเอกที่ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือด มี ไวตามินซีสูง แต่มักจะหมดไปเพราะการผัดน้ำมันด้วยความร้อนสูง
อย่างไรก็ตามคุณค่าทางอาหารอย่างอื่นๆยังคงอยู่อีกมาก เช่น ไวตา มินบี 2 ฟอสฟอรัส ไนอาซิน และโปรตีน

ใบแมงลัก

ใบแมงลักมีฤทธิ์ทางยาคือ ช่วยขับลม เป็นยาระบายอ่อนๆ และมีเบตาแคโรทีนสูง ส่วนต่างๆของแมงลักสามารถมาแยกทำยาได้ โดยเฉพาะในส่วนใบและลำต้น หากรับประทานสดๆจะช่วยป้องกันเลือดอกตามไรฟันได้ขับลม ขับเหงื่อ น้ำคั้นจาใบสดใช้รับประทานแก้หวัดและหลอดลมอักเสบได้ สำหรับเมล็ดแห้งแบบไม่ต้องแช่น้ำสักประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ จะช่วยดูดซึมแก้โรคเบาหวานได้

2008-10-17

คุณค่าจากถั่วต่างๆ

ถั่ว

ถั่ว ส่วนใหญ่อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมัน มีแร่ธาตุต่างๆและกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ เราสามารถนำถั่ว มาประกอบอาหารได้หลายรูปแบบ เช่น นำมาคั่ว อบเนย หรือทำเป็นเครื่องดื่ม เช่น นมถั่วเหลือง

ถั่วพู

ถั่วพูเป็นถั่วที่มีโปรตีนสูง โดยเฉพาะโปรตีนที่ชื่อ " เลกทิน " นอกจากนี้ถั่วพูยังให้ " กรดอีรูซิก " ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยรักษาสิวและ โรคผิวหนังบางชนิด ถั่วพูเป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะประกอบด้วยธาตุอาหารต่างๆครบครัน เช่น ฟอสฟอรัส วิตามินเอไวตา มินบี 1 วิตามินซี ถ้าอยากได้วิตามินซีต้องรับประทานถั่วพูสดๆ แต่ต้องเลือกฝักอ่อนๆที่ยังไม่มีเมล็ด เพราะเมล็ดถั่วพูดิบมีสารประกอบ บางชนิดที่มีผลเสียต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ส่วนเมล็ดถั่วพูแก่ๆจะมีไวตามินเอ วิตามินอี และยังมีโปรตีนสูงใกล้เคียงกับถั่วเหลือง ด้วย

ถั่วลันเตา

ในถั่วลันเตามีเบตาแคโรทีนสูง เมื่อนำมาผัดกับน้ำมัน จะช่วยให้ร่างกายนำเบตาแคโรทีนมาใช้ได้ เพราะเบตาแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของไวตามินเอ ซึ่งละลายได้ในน้ำมัน ถั่วลันเตามีแร่ธาตุหลายอย่าง เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส มีเส้นใยอาหารมาก เพิ่มอุจจาระ ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง และที่สำคัญคือ
เส้นใยอาหารจะดูดสารพิษต่างๆในร่างกายแล้วขับออกนอกร่างกาย ช่วยป้องกันมะเร็งได้ดี

ถั่วเหลือง

ถั่วเหลืองอุดมด้วยโปรตีน เหล็ก แคลเซียม วิตามินบีรวม และเลซิทิน เลวิทินสามารถโคเลสเตอรอล ทำให้ปริมาณไขมันในเลือดลดลง ป้องกันการเกิดไขมันอุดตันในเลือด บำรุงสมอง ถั่วเหลืองนำมาแปรรูปได้หลายแบบ แป้งถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง มิโสะ เต้าหู้ ฟองเต้าหู้อีกทั้งยังนำมาปรุงอาหารได้หลายรูปแบบและยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

สารอาหารจากข้าวต่าง ๆ

ข้าว

ข้าวป็นอาหารหลักของชาวตะวันออกหลาย ๆ ชาติ เข่น ไทย ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น ข้าวเป็นอาหารที่มีประโยชน์มาก แต่ปัจจุบันได้ถูกขัดสีจนขาว ซึ่งทำให้ผู้คนเป็นโรคเหน็บชากันมาก เพราะวิตามินบีหรือไธอามีน ซึ่งมีอยู่ในข้าวกล้องได้ถูกขัดสีออกไปจนหมด ข้าวกล้องจึงมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าข้าวผัดขาว ข้าวต้มข้าวกล้องเปล่า ๆ รับประทานบรรเทาอาการท้องเสีย น้ำข้าวช่วยลดไข้ เมล็ดธัญพืชที่ไม่ขัด สีจะทำให้ร่างกายหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยและเพิ่มพลังกากใยที่มีอยู่ในเมล็ดพืชจะลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้และมะเร็งที่อื่น

ข้าวบาร์เลย์
ในสมัยโบราณชาวตะวันตกนิยมขนมปังจากข้างบาร์เลย์โดยเฉพาะในสมัยกลาง ทางการแพทย์
ข้าวบาร์เลย์เป็นอาหารที่มีคุณสมบัติบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ช่วยบรรเทาอาการลำไส้อักเสบ
ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น แพทย์แผนโบราณใช้น้ำข้าวบาร์เลย์บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบและท้องผูก ข้าวบาร์เลย์อุดมไปด้วยแคลเซียม โพแทสเซียม ไวตามินบีรวม ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย และคนป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้

ข้าวสาลี
ข้าวสาลีก็เช่นเดียวกับข้าวที่ปัจจุบันถูกขัดสีจนขาว ขัดเอาวิตามินและเกลือแร่ออกไปหมด อย่างเช่น สังกะสี แมกนีเซียม วิตามินบี 6 ไวตามินอี และแทบจะไม่มีกากใยเหลืออยู่ แป้งสาลีชนิดไม่ขัดขาวมี
คุณค่าอาหารอย่างมาก อุดมไปด้วยโปรตีน ขนมปังโฮลวีตจึงเป็นอา หารที่มีประโยชน์ มาก ข้าวสาลีนำไปเพาะเป็นกล้าอ่อน นำมาปรุงเป็น อาหารจะให้คุณค่าทางอาหารอย่างมาก เหมาะกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

ข้าวโอ๊ต
ข้าวโอ๊ตเป็นอาหารที่ชาวยุโรปบริโภคกันเป็นประจำ ข้าวโอ๊ตอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ต่อร่างกาย ข้าวโอ๊ต 100 กรัมมีโปรตีน 12 กรัม วิตามินอี เล็กน้อย วิตามินบีรวม มีแคลเซียมสูง โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ข้าวโอ๊ตมีประโยชน์ต่อระบบประสาท ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ข้าวโอ๊ตช่วยบรรเทาอาการเจ็บและระคายเคืองของลำไส้ได้เป็นอย่างดีและเหมาะสำหรับผู้ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานด้วย


2008-10-16

เรื่องมัน.. มันส์

มันเทศ

หัวมันเทศชนิดสีเหลืองเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดี ช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบถูมิคุ้มกันของร่างกาย มีสารต้านมะเร็งที่มี สรรพคุณสูงมาก นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี 2 สูง มีโฟเลตสูงรองจากผักใบเขียว มันเทศยังมีแคลเซียมสูง ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง หญิงวัยหมดประจำเดือนเป็นกุ่มที่ต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติ เพราะมีปัญหาเรื่องกระดูกพรุน ที่ทำให้กระดูกเปราะและหักง่าย จึงควรรับประทานมันเทศเป็นประจำ

มันฝรั่ง

มันฝรั่งอุดมไปด้วยกากใย วิตามินซี วิตามินบีรวม และเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มันฝรั่งอบ หรือต้มมีโพแทสเซียม เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก มันฝรั่งอบหรือต้ม 100 กรัม ให้พลังงานต่ำกว่า 100 แคลอรี เสียอีก มันฝรั่งอบหรือต้มและแครอตรับปะทาน กับคอตเตจชีสชนิดพร่องมันเนยจัดเป็นอาหารสุขภาพที่มีแคลอรีต่ำ น้ำมันฝรั่งคั้นสดๆช่วยบรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหารและไขข้ออักเสบ โดยดื่มน้ำมันฝรั่งสดครึ่งแก้วเล็กๆ วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 1 เดือน อาจเพิ่มรสชาติด้วยการเติมน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวลงไป

ประโยชน์ของผลไม้

กล้วย
กล้วยเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง และยังมีสังกะสี เหล็ก กรดโฟลิก แคลเซียม และสารอาหารอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย กล้วย ยังมีเพกติน ซึ่งช่วยให้ร่างกายชับของเสียออกได้เช่นเดียวกับแอปเปิล กล้วยมีปริมาณวิตามินบี6 เท่ากับตับ ( ในปริมาณน้ำหนักที่เท่ากัน ) กล้วยช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น

กีวีฟรุต
กีวีฟรุต มีวตามินซีมากกว่าส้มถึง 2 เท่า มีกากไยมากกว่าแอปเปิล และมีวิตามินอีเท่ากับอโวคาโด ยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ช่วยลดความดันโลหิต ลดความเครียด ความอ่อนเพลีย และช่วยระบบทางเดินอาหารทำงานดีขึ้น

แครนเบอร์รี
อุดมไปด้วยวิตามินซี เหล็ก โพแทสเซียม และ วิตามินเอ ในมลรัฐแมสซาซูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา จะไห้ตนไข้ที่ป่วยเป็นโรคทางปัสสาวะและนิ่วอดอาหาร ( fast ) ดื่มแต่น้ำแครนเบอร์รี ซึ่งจะช่วยลดแบคทีเรีย และบรรรเทาอาการป่วยลงได้โดยไม่มีผลข้างเคียง ใดๆ

แตงโม
แตงโมเป็นผลไม้ที่หวานฉ่ำแสนอร่อย หรือนำมาปั่นเป็นน้ำแตงโมดื่มดับกระหายก็ดี แตงโมเป็นผลไม้ที่กระตุ้นการทำงานของไต เป็นยาระบายอ่อนๆ มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเกาต์หรือท้องผูก เมล็ดแตงโมนำมาต้มไฟอ่อนๆ ประมาณ 30 นาที นำมาดื่มเป็นยาบรรเทาอาการป่วย เนื่องจากโรคไต หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แตงโมสามารถนำมารับประทานในวันที่อดอาหาร มีประโยชน์เช่นเดียวกับองุ่น คือจะช่วยชำระล้างอวัยวะภายในให้สะอาด

มารับประทานผลไม้กันนะค่ะ



ทายนิสัย : ผลไม้ทายนิสัย

ทายนิสัย : ผลไม้ทายนิสัย

ผลไม้ อาหารของทุกเพศทุกวัย ใครๆ ก็ชื่นชอบ เชื่อว่าแต่ละคนต้องมีผลไม้สุดโปรดเป็นของตัวเองแน่ๆ มาดูกันดีกว่าว่าผลไม้จะทายนิสัยของคุณได้แม่นแค่ไหน อย่างไร

> กระท้อน
คนชอบกินกระท้อน จะมีลักษณะแข็งนอกอ่อนใน ดูภายนอกเหมือนคนก้าวร้าวแต่จริง ๆ จิตใจดี อ่อนไหวง่าย ไม่ชอบความรุนแรง รักสงบ

> กล้วย
สำหรับคนที่ชอบทานกล้วย ภายนอกดูจะเป็นคนเงียบขรึม แต่นิสัยจริง ๆ คืออ่อนไหวง่าย ถ้าถูกใครพูดกระทบกระแทกหน่อยก็จะเก็บเอาไปคิดเสียใจ เป็นคนโอบอ้อมอารีย์ มีเหตุผล รอบคอบ มองการณ์ไกล ชอบวางแผน อนาคตให้ตัวเองและคนที่อยู่รอบข้างเสมอ เป็นคนนิสัยรักสันโดษ เป็นคนที่มีจิตเป็นกุศล ชอบทำบุญแก่คนทุกข์ยาก

> เงาะ
สำหรับสาว ๆ ที่ชอบกินเงาะจะเป็นคนค่อนข้างขี้เล่น สามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้ ถึงคุณจะขี้โม้ไปบ้างแต่เพื่อน ๆ ก็ชอบในความร่าเริงสนุกสนานของคุณ> ชมพู่สำหรับคนขี้เกรงใจ จะชอบกินชมพู่มากเป็นพิเศษ มีความอดทนสูง ยิ้มได้ในทุกสถานการณ์ แต่เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายและคิดมาก แต่ไม่ชอบที่จะทำร้ายจิตใจใครจริง ๆ ดังนั้นถ้าหนุ่มคนไหน ชอบกินชมพู่เป็นพิเศษหล่ะ ก็ควรจะเอาใจเค้าให้มาก เพราะเค้าจะคิดอะไร ๆ ไปในทางลบเสมอ

> แตงโม
เป็นของว่างจานโปรดสำหรับสาวใจกว้าง อ่อนโยน มีน้ำใจกับมิตรสหาย ซื่อสัตย์ไม่คิดคดทรยศ เป็นคนง่าย ๆ มองโลกในแง่ดี จะไม่ค่อยโวยวายหรือคิดมาก ตั้งอกตั้งใจทำงานดี แต่มักแพ้ภัยแก่เพศตรงข้าม และคนที่ชอบกินแตงโมจะเป็นคนที่รักใคร่เอ็นดูของเพื่อนฝูงอีกด้วย

> ฝรั่ง
สาว ๆ ที่ชอบฝรั่งมักเป็นคนรักอิสระ ชอบที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ไม่ชอบทำอะไรซ้ำซากจำเจ> มะพร้าวเพื่อน ๆ ที่ชอบมะพร้าวมักเป็นคนใจบุญ มีจิตเป็นกุศล มองโลกในแง่ดี วาจาคมคาย พูดจาเหน็บคนให้เจ็บด้วยใบหน้าที่ใสซื่อเก่งนักแหละ

> มะละกอ
ผลไม้โปรดของคนที่มีน้ำอดน้ำทนสูง มีความคิดลุ่มลึก คิดเป็นเหตุเป็นผล วางแผนแยบยล โอบอ้อมอารีย์

> มังคุด
หมาะสำหรับคนที่เก็บเนื้อเก็บตัว ช่างฝันและมีอารมณ์โรแมนติก อ่อนไหวง่าย รักใครได้ง่าย ๆ และเก็บเอาไปนึกคิดคนเดียว แต่ไม่นานก็ลืมเอาดื้อ ๆ แล้วก็ไปหลงคนอื่นต่อไปเรื่อยเปื่อย พูดง่าย ๆ คือเป็นผลไม้สำหรับคนเจ้าชู้ไงจ๊ะ

> ลองกอง
พวกที่ยึดเอาลองกองเป็นอาหารหลัก เป็นคนรักสันโดษ ชอบเดินทาง ชอบการผจญภัยในที่ที่ตนเองไม่เคยไป อนุรักษ์นิยม

> ลางสาด
สำหรับเพื่อน ๆ ที่เลือกลางสาดเป็นผลไม้หลัก จะเป็นคนอนุรักษ์นิยม ยึดมั่นในแนวความคิดเก่า ๆ ชอบวิถีทางที่เคยทำมาแต่ก่อน แต่เป็นคนมีเหตุผล

> ลิ้นจี่
ผลไม้สำหรับคนชอบทำงานเบา ๆ ไม่ต้องใช้กำลังแรงงานมาก ๆ คนชอบทานลิ้นจี่กลัวเพื่อน ๆ จะลำบากน้อยกว่า เลยให้เพื่อน ๆ เอางานไปช่วยทำซะหมด ตัวเองคอยชักใยอยู่เบื้องหลังสบาย ๆ นี่เอง > ลำไยคนชอบทานผลไม้เม็ดเล็กชนิดนี้มักเป็นคนปากหวาน ชอบประจบประแจง ใช้คำพูดยกยอคนให้หลงปลื้ม แต่มักเป็นคนชอบนินทาว่าร้ายคนอื่นลับหลัง

> สตรอเบอร์รี่
ถ้าชอบทานสตรอเบอร์รี่ บอกได้เลยว่าคุณเป็นสาวคุยสนุก มีอารมณ์ขัน ทำให้คนอื่นหัวเราะได้ตลอดเวลา เป็นที่ต้องการของเพื่อนๆ ในกลุ่ม และเมื่อจะพูดคุยหรือทำอะไรก็ต้องมีคนดู คนฟัง และค่อนข้างมีรสนิยมทีเดียว

> สาลี่
ผลไม้คุณหนู ผู้ที่ชอบทานมักจะมีนิสัยอ่อนหวาน สุภาพ อ่อนโยน ไม่ชอบขัดใจใคร มองโลกในแง่ดี ไม่นินทาว่าร้ายใคร นอกจากนี้ยังเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี

> ส้มเขียวหวาน
เห็นชอบส้มอย่างนี้เป็นคนทันสมัย หัวก้าวหน้า แต่มักมีนิสัยหึงหวงเพศตรงข้ามอยู่เนืองๆ มัธยัสถ์ รู้จักใช้จ่าย
> ส้มโอ
คนที่ชอบส้มโอจะเป็นคนที่รักความสบาย ความหรูหรา โอ่อ่า ใจอ่อนง่าย ถ้ามีใครๆ มาตื๊อก็คงยอมให้กันทุกอย่างแบบเทกระเป๋าไปเลย

> สัปปะรด
ผู้ที่ชอบกินเป็นคนที่แคร์คนอื่นมากเกินไป มัวแต่ไปเอาใจคนอื่นเกินไป ทำให้เพื่อนๆ มักจะรำคาญและเบื่อหน่ายอยู่เสมอ

> องุ่น
ผลไม้ยอดฮิตของคนสวยมีเสน่ห์ เพื่อนๆ ที่ชอบทาน มักเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนง่าย นิสัยร่าเริง มีความคิดความอ่านสุขุมรอบคอบ ปากกับใจไม่ค่อยตรงกันนัก ไม่ค่อยชอบบอกเรื่องส่วนตัวให้ใครรู้ง่าย ๆ

> แอ๊ปเปิ้ล
ผลไม้ของคนขี้เหงา ขาดเพื่อนไม่ได้ เป็นคนไม่ค่อยแคร์เรื่องความรัก คือนึกจะรักใครก็รัก นึกจะเลิกก็เลิกขึ้นมาง่ายๆ แต่จะเป็นคนที่มีความอดทนในเรื่องของการทำงาน

ที่มา : horoscope.sanook.com