ยาธาตุเปลือกอบเชย ภูมิปัญญาไทยเพื่อสุขภาพอันยั่งยืน
ในทางการแพทย์แผนไทยมีทฤษฎีวินิจฉัยโรคที่สามารถเข้าใจได้ง่ายไม่ซับซ้อน คือ ทฤษฎีธาตุสมุฏฐานวินิจฉัย ซึ่งเป็นวิธีวิเคราะห์ธาตุอันเป็นที่ตั้งของการเกิดโรคต่างๆ เมื่อเอ่ยถึงธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ คนไทยทั่วไป แม้ไม่ใช่หมอย่อมรู้จักกันดีว่าเป็นองค์ประกอบของร่างกาย ตรงนี้ถือเป็นพื้นฐานภูมิปัญญาไทยแบบองค์รวมที่สำคัญ
ถ้าถามว่า “ ธาตุ ” คืออะไร ก็ตอบได้เบื้องต้นตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาว่า “ สิ่งที่ทรงสภาวะของตนอยู่เอง อันเป็นส่วนสำคัญที่คุมกันเป็นรูปร่างของสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ”ในทางแพทย์แผนไทยถือว่าคนเป็นธาตุ 4 ที่มีชีวิตจึงมีชื่อเรียกเป็นพิเศษว่า “ มหาภูตรูป ” ตามรูปศัพท์นั้น “ ภูติ ” หมายถึง ภูตผี ภาพมายาหลอกหลอน หรือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
ในที่นี้คำว่า “ มหาภูตรูป ” น่าจะมีความหมายว่า รูปอันยิ่งใหญ่ที่บังเกิดขึ้นแล้วโดยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาคุมกันเข้าเป็นรูปมนุษย์ ซึ่งมีความละเอียดซับซ้อนพิสดารกว่าธาตุ 4 ของสิ่งไม่มีชีวิต ตามทฤษฎีธาตุสมุฏฐานนั้น หากธาตุทั้ง 4 ตั้งอยู่ในสมดุลย์ สุขภาพของเราก็จะเป็นปกติ ไม่เจ็บไม่ไข้แต่หากธาตุตัวใดตัวหนึ่งหรือมากกว่าสองตัวเกิดแปรปรวนเสียสมดุลย์ ร่างกายของเราก็จะเกิดอาการเจ็บป่วยมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับภาวะการเสียสมดุลย์ธาตุว่ารุนแรงแค่ไหน
ในบรรดาธาตุทั้ง 4 นั้น ท่านว่าธาตุดินสำคัญที่สุด เพราะเป็นธาตุที่เป็นพื้นฐานโครงสร้างของร่างกาย เปรียบเหมือนตัวถังรถยนต์ โดยปกติธาตุดินจะมั่นคงไม่แปรปรวนง่ายๆ เหมือนธาตุอื่นๆที่เป็นของไหลและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามแม้ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ จะเคลื่อนไหวแปรปรวนอย่างไร หากธาตุดินยังหนักแน่นมั่นคงอยู่ ชีวิตก็ยังดำเนินอยู่ต่อไปได้ แต่ถ้าหากธาตุดินเกิดขยับแปรปรวนมากเมื่อใด ธาตุอื่นๆ ก็จะตั้งอยู่ไม่ได้และจะมาประชุมกันให้โทษเรียกว่า “ มหาสันนิบาต ” เมื่อธาตุทั้ง 4 เสียสมดุลย์พร้อมกันอย่างรุนแรง ก็หมายความว่าชีวิตจะดำเนินอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้น ในทฤษฎีการแพทย์แผนไทย การคุมธาตุดินจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นการคุมฐานที่มั่นของร่างกายนั่นเอง หากคุมธาตุดินได้ก็เท่ากับคุมธาตุอื่นได้ทั้งหมดด้วย
แม้ธาตุดินจะหนักแน่นมั่นคงเพียงใด แต่ก็มีจุดอ่อน คือ อาหารที่นำสู่ร่างกายนั่นเอง อาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการหล่อเลี้ยงชีวิต ในขณะเดียวกันก็อาจกลายเป็นปัจจัยบั่นทอนความมั่นคงของชีวิตด้วย ในบรรดาธาตุดินทั้ง 20 ประการ นั้น อาหารใหม่ (อุทริยัง) และ อาหารเก่า (อุจจาระ) ก็นับเป็นธาตุดินด้วยเช่นกัน ทั้งยังเป็นธาตุดินที่ชี้เป็นชี้ตายต่อชีวิตสำคัญเท่ากับหัวใจเลยทีเดียว ดังข้อความในพระคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัยที่ว่า “ สมุฏฐานปถวีธาตุพิกัด เป็นที่ตั้งแห่งวีสติปถวี (ธาตุดิน 20 ประการ) ซึ่งวิปริต (ผิดปกติ) เป็นชาติ (เกิดขึ้น) จลนะ (แปรปรวน) ภินนะ (แตกสลาย) ก็อาศัย หทัยวัตถุ (หัวใจ) อุทริยะ (อาหารใหม่ ในกระเพาะอาหาร) และ กรีสะ (อุจจาระในลำไส้ใหญ่) ”
แปลความจากคัมภีร์ให้เข้าใจง่ายๆ ได้ว่า ในบรรดาธาตุดินทั้ง 20 ประการนั้นธาตุดินที่ก่อให้เกิดความแปรปรวนจนนำไปสู่การเสียสมดุลย์ธาตุได้ก็คือ หัวใจ อาหาร และ อุจจาระ นั่นเอง ดังนั้นอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว อาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องเสีย หรือกินอาหารไม่รู้รส จึงมิใช่อาการธรรมดาที่จะมองข้าม แต่เป็นการส่งสัญญาณของการเริ่มเสียสมดุลย์ของธาตุดิน อันเนื่องจากอาหารไม่ย่อย หรืออาหารผิดสำแดง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ให้แปรปรวนและเสียสมดุลย์ไปด้วย นับแต่โบราณกาลมา หมอไทยรู้จักใช้ตำรับยาขนานหนึ่งเพื่อใช้คุมธาตุดินมิให้กำเริบนั่นคือ ยาคุมธาตุหรือที่เรียกกันสั้นๆว่า “ ยาธาตุ ”
ตำรับยาธาตุแผนไทยนั้นมีหลายขนานด้วยกันในที่นี้ขอนำเสนอตำรับยาธาตุที่ได้ผ่านการท้าพิสูจน์มาแล้วจากกระบวนการวิจัยทางคลีนิกของการแพทย์แผนใหม่ นั่นคือ “ ยาธาตุอบเชย ” ซึ่งมีสูตรตำรับดัง
นี้
เปลือกอบเชย 50 กรัม
เปลือกสมุลแว้ง 50 กรัม
ชะเอมเทศ 50 กรัม
ดอกกานพลู 50 กรัม
การบูร 1 ช้อนชา
เมนทอล 1 ช้อนชา
น้ำ 7,000 ซีซี
วิธีเตรียม น้ำสมุนไพรทั้ง 4 อย่าง ต้มน้ำประมาณ 15 นาที จากนั้นตั้งทิ้งไว้พออุ่น จึงเติมการบูรและเมนทอล วิธีใช้ ผู้ใหญ่ ครั้งละ 2-3 ช้อนโต๊ะ เด็กลดลงตามส่วน รับประทานหลังอาหาร หรือทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่อมีอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อ
ภาษิตโบราณสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่าทำวิจัยเอง ดังนั้นเพื่อพิสูจน์ว่าสรรพคุณของยาธาตุอบเชยตำรับนี้ดีแค่ไหน คณะวิจัยกลุ่มใหญ่ประกอบด้วยทีมแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ เจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน เจ้าพนักงานเภสัชกรรม และแพทย์แผนไทยประยุกต์จากโรงพยาบาลชุมชนถึง 6 แห่ง รวมทั้งคณะแพทย์ศิริราชพยาบาล และกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกของกระทรวงสาธารณะสุขได้จับมือสามัคคีกันทำวิจัยทางคลีนิกในหัวข้อเรื่อง “ ประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาธาตุอบเชยในการรักษาภาวะอาหารไม่ย่อยที่ ไม่ทราบสาเหตุ (functional dyspepsia)”
ผลปรากฏว่า ผู้ป่วยร้อยละ 82.3 ที่ได้รับยาธาตุอบเชย พึงพอใจต่อผลการักษา และและผู้ป่วยร้อยละ 86 ที่ได้รับยาไซเมธิโคนก็พึงพอใจต่อผลการรักษาเช่นกัน แม้ว่าผลการรักษาของยาไทย ยาฝรั่ง ออกมา วิน-วิน สูสีกัน แต่ค่ารักษาด้วยยาไทยถูกกว่าเกือบ 3 เท่า ในยุคที่กำลังโปรโมทเศรษฐกิจพอเพียงอย่างนี้ คนไทยเราก็ต้องเลือกรักษาด้วยยาไทย ซึ่งถ้าหากไม่สามารถหาสมุนไพรได้ครบสูตร จะใช้เปลือกอบเชยเทศ เพียงอย่างเดียวก็ได้ โดยใช้ขนาด 15 กรัมต้มในน้ำ 1 ลิตร ให้ดือดนาน 5-10 นาที ใช้รับประทานแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยได้ผลดีเช่นกัน
รายละเอียดงานวิจัยข้างต้นนี้ รวมถึงหลักทฤษฎีธาตุ 4 และสรรพคุณสมุนไพรอบเชยอย่างละเอียดนี้ มูลนิธิสุขภาพไทยรวบรวมไว้ในหนังสือพ็อกเก็ตบุคเล่มใหม่ล่าสุด ออกตัวในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติที่ผ่านมา แฟนๆ ที่สนใจติดต่อได้ที่มูลนิธิสุขภาพไทย 0-2589-4243 และ0-2814-4013 ราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซิล 2 ลิตร (ค่าส่งฟรี)
นอกจากยาอบเชยแล้ว หากเรากินอาหารเช่น แกงพะโล้ ข้าวขาหมู เขาก็ปรุงด้วยน้ำเครื่องเทศ เปลือกอบเชย เพื่อช่วยย่อย แก้ท้องอืด ลดไขมันด้วย หรือถ้าหากต้องการคุมธาตุดินโดยไม่ต้องการใช้ยาเลย ก็คงต้องหันมาพึ่งพุทธวิธีตามหลัก “ อายุวัฒนธรรม ” (เคล็ดลับที่ช่วยให้อายุยืน) ข้อหนึ่งที่ว่าให้บริโภคสิ่งที่ย่อยง่ายและเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพียงเท่านี้ก็ช่วยคุมธาตุดินให้สมดุลย์โดยไม่ต้องใช้ยา
จะเลือกภูมิปัญญาไทยก็ได้หรือเลือกภูมิปัญญาพุทธก็ดี เพื่อก้าวสู่วิถีสุขภาพดีที่ยั่งยืนของคนไทยทั่วหน้า
ที่มา : มูลนิธิสุขภาพไทย