2012-01-30

กินสลัดและผักดิบเลือดข้นทันตาเห็น

กินสลัดและผักดิบเลือดข้นทันตาเห็น


นักวิจัยของศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยหลุยเซียนา สเตท ผู้ทำการศึกษายังได้พบว่า แม้แต่การบริโภคผักดิบวันละ 1 มื้อ ก็ยังได้ปริมาณของวิตามิน เอ อี บี 6 และกรดโฟลิกสูงเกือบเท่าคำแนะนำ ยิ่งผู้ที่กินสลัดและผักดิบมากขึ้น ก็จะยิ่งมีระดับของวิตามินซีและอี กรดโฟลิกและสารคาโรทีนอยด์ อันเป็นสารป้องกันความเสื่อมของร่างกาย ที่ทำให้ผักและผลไม้หลายชนิดมีสีเหลือง สีส้ม และสีแดงสูงขึ้น

การศึกษาได้ทำโดยสำรวจจากคนอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่เกือบ 18,000 คน พบว่าเป็นผู้ชอบกินสลัดมากระหว่าง 18-38% เท่านั้น แต่เมื่อคิดโดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่นิยมกินสลัดและผักดิบ จะมีระดับของสารอาหารในเลือดสูงกว่าผู้ที่ไม่ชอบกินผักดิบถึง 15%

ที่มา : สยามดารา

 

2012-01-23

ปรุงผักอย่างไร ให้เสียคุณค่าน้อยที่สุด

ปรุงผักอย่างไร ให้เสียคุณค่าน้อยที่สุด


ผักสลัดสดเป็นเมนูอาหารที่สูญเสียคุณค่าสารอาหารน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการปรุงอาหารที่ต้องผ่านความร้อนซึ่งจะทำให้สูญเสียวิตามินบางชนิด มากหรือน้อยขึ้นกับวิธีการปรุงอาหาร ซึ่งโดยทั่วไปจะมีทั้งวิธีการ ต้ม นึ่ง ผัด ย่างหรือการใช้ตู้อบไมโครเวฟ

ตู้อบไมโครเวฟได้กลายมาเป็นเครื่องครัวที่เพิ่มความสะดวกสบายที่สุดใน ยุคไฮเทค นอกจากนี้ยังทำให้วิธีการปรุงอาหารที่ยุ่งยากใช้เวลานานกลายเป็นสิ่งที่ง่ายขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเมื่อต้องการอุ่นอาหารอย่างเร่งด่วน

ก่อนหน้านี้นักวิจัยพบว่าการใช้ตู้อบไมโครเวฟปรุงอาหารโดยเฉพาะผัก ช่วยทำให้สูญเสียวิตามินที่ละลายน้ำน้อยกว่าวิธีการผัด ต้ม และนึ่ง เช่นวิตามินบี และซี ซึ่งไวต่อความร้อน และละลายน้ำได้ ทั้งนี้ขึ้นกับระยะเวลาและปริมาณน้ำที่ใช้ แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตามยิ่งใช้น้ำน้อยก็จะยิ่งป้องกันการสูญเสียวิตามินที่ละลายในน้ำได้มากขึ้น

คำถามที่ผู้เขียนมักได้รับเป็นประจำก็คือ นอกจากวิตามินบี และซีแล้ว สารอาหารอื่นๆ ล่ะจะหายไปไหม ก่อนหน้านี้เราเชื่อกันว่าสารอาหารอื่นๆ จะถูกกระทบกระเทือนน้อย แต่ เมื่อไม่นานมานี้นักวิจัยชาวสเปนเปิดเผยข้อมูลที่ค้นพบจากการทดลองของเขา ซึ่งขัดกับข้อมูลเดิม เพราะปรากฏว่าการปรุงบร็อกโกลีด้วยการใช้ตู้อบไมโครเวฟทำให้สูญเสียสารเฟลโวนอยด์มากทีเดียว

สารเฟลโวนอยด์เป็นสารเคมีที่เกิดในธรรมชาติซึ่งละลายในน้ำและมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันมะเร็ง ปริมาณสารเฟลโวนอยด์ที่เสียไปสูงถึง 97% และสารพฤกษเคมีอื่นอีก 2 ชนิดซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ก็พลอยเสียไปถึง 74% และ 87% ตามลำดับ

แต่ถ้าเอาบร็อกโกลีไปต้มจะเสียสารเฟลโวนอยด์น้อยลงคือ เสียไปเพียง 66 % โดยเฉลี่ย และปรากฏว่าการนึ่งป้องกันการสูญเสียได้มากที่สุดคือ เสียไปเพียง 11%

ในการทดลองครั้งนี้นักวิจัยใช้น้ำในปริมาณมากกว่าที่แนะนำ คือ ใช้น้ำ 2 ถ้วยตวงต่อบร็อกโกลีครึ่งหัว ซึ่งที่ถูกแล้วในการต้มผักด้วยไมโครเวฟจะใช้เพียงน้ำที่เกาะติดผักในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะเท่านั้น นักวิจัยท่านอื่นๆ จึงยังไม่เชื่อกับข้อมูลที่รายงานจากนักวิจัยสเปน และยังคงต้องมีการทำวิจัยซ้ำ

นอกจากนี้นักวิจัยยังพบว่าถ้าไม่นับการใช้ไมโครเวฟ การนึ่งผักจะเป็นวิธีที่คงคุณค่าทางโภชนาการของผักได้มากกว่าวิธีอื่นๆ เพราะสารอาหารจะไม่ละลายไปกับน้ำ แต่จะมีเพียงสารอาหารส่วนที่เสียไปกับความร้อนเป็นส่วนใหญ่

หากต้องการความรวดเร็วในการต้มผัก เราสามารถลดการสูญเสียสารอาหารได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
•ล้างผักให้สะอาด ถ้าใช้ตู้อบไมโครเวฟ ไม่ต้องเติมน้ำเพราะปริมาณน้ำที่เกาะอยู่กับผักเพียงพอสำหรับการใช้ไมโครเวฟ ภาชนะที่ใช้ควรเป็นภาชนะที่ใช้กับไมโครเวฟเท่านั้น และมีฝาปิดได้ แต่ภาชนะแก้วจะดีที่สุด
•ถ้าใช้วิธีนึ่ง ชั้นนึ่งที่วางผักไม่ควรห่างจากระดับน้ำมากนัก ผักจะได้สัมผัสกับไอน้ำมากขึ้น
•ไม่ว่าจะใช้วิธีนึ่งหรือใช้ตู้อบไมโครเวฟไม่ควรใช้เวลานานเกินไป เอาแค่พอสุก นอกจากจะสูญเสียสารอาหารน้อยแล้ว ยังได้รสผักที่กรอบอร่อย แต่ถ้าเป็นผู้สูงอายุที่ฟันไม่ดี อาจจะต้องปรุงนานหน่อยเพื่อให้เคี้ยวง่ายขึ้น


ที่มา : ศัลยา คงสมบูรณ์เวช / Registered dietitian