2013-04-06

คุณค่าของผักพื้นบ้าน

คุณค่าของผักพื้นบ้าน


ผักพื้นบ้าน คือ พรรณพืชพื้นบ้านในท้องถิ่น ชาวบ้านนำมาบริโภคเป็นอาหาร เป็นยารักษาโรค หรือนำมาทำเป็นของใช้สอยในครัวเรือน ผักพื้นบ้านนอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ส่วนใหญ่ยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร เนื่องจากมีรสยาที่หลากหลายอยู่ในผักพื้นบ้าน ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ให้ความสำคัญกับรสอาหาร พื้นบ้าน ดังนี้

รสฝาด มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยสมานแผล แก้ท้องร่วง บำรุงธาตุในร่างกาย เช่น ยอดมะม่วง ยอดมะกอก ยอดจิก ยอดกระโดน ฯลฯ

รสหวาน มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยให้มีการดูดซึมได้ดีขึ้น ทำให้ชุ่มชื้น บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย เช่น เห็ด ผักหวานป่า ผักขี้หูด บวบ น้ำเต้า ฯลฯ

รสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณทางยา คือ แก้ท้องอืด แก้ลมจุกเสียด ขับลม บำรุงธาตุ เช่น ดอกกระทือ กระเทียม ตอกกระเจียวแดง ดีปลี พริกไทย ใบชะพลู ขิง ข่า ขมิ้น กระชาย ฯลฯ

รสเปรี้ยว มีสรรพคุณทางยา คือ ขับเสมหะ ช่วยระบาย เช่น ยอดมะขามอ่อน มะนาว ยอดชะมวง มะดัน ยอดมะกอก ยอดผักติ้วรสหอมเย็น มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย เช่น เตยหอม โสน ดอกขจร บัว ผักบุ้งไทย เป็นต้น

รสมัน มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ เช่น สะตอ เนียง ขนุนอ่อน ถั่วพู ฟักทอง กระถิน ชะอม รสขม มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงโลหิต เจริญอาหาร ช่วยระบาย เช่น มะระขี้นก ยอกหวาย ดอดขี้เหล็ก ใบยอ สะเดา เพกา ผักโขม

นอกจากคุณค่าทางยาแล้ว ผักพื้นบ้านยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน สร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย สารสำคัญในผักพื้นบ้าน ที่สามารถป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้แก่ สารเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบในผักใบเขียวจัดๆ เช่น ใบยอ ใบย่านาง ใบชะพลู ใบตำลึง ใบบัวบก ใบแมงลัก ผักชีลาว ผักแว่น ใบขี้เหล็ก ใบกระเพรา นอกจากนี้ผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น มะละกอสุก ฟักทอง มะปราง

นอกจากสารเบต้าแคโรทีนดังกล่าวแล้ว ในผักสด ยังพบว่ามีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีมีบทบาทในการสร้างภูมิต้านมะเร็ง คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถปกป้องเซลล์ในร่างกายจากการเป็นมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มประสิทธิภาพ ของการทำงานของเม็ดเลือดขาวได้

วัฒนธรรมพื้นบ้านของคนไทยตั้งแต่สมัยโบราณ มักจะเก็บผักพื้นบ้านจากริมรั้ว จากป่า ไร่นา หรือสวน เป็นผักสดๆ มาประกอบเป็นอาหาร ผักสดยิ่งสดเท่าไรก็ยิ่งมีวิตามินซีสูงเท่านั้น ดังนั้นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย ผักบางชนิดที่นำมารับประทานสด กับน้ำพริก คนไทยก็มักจะนำมารับประทานเลย ซึ่งได้วิตามินซี และเกลือแร่อื่นๆ สูง ในบางชนิดอาจจะเป็นอันตราย ถ้านำมารับประทานเลย ก็จะนำมาลวก ต้ม ตามภูมิปัญญาดั้งเดิม

การดูแลสุขภาพของตนเองด้วยวิธีธรรมชาติ การรับประทานผักพื้นบ้านที่ปลอดสารพิษ หรือปลูกผักไว้รับประทานกันเองในครัวเรือน นอกจากจะช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ แล้วยังช่วยประหยัด และช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชน ดังนั้นเราควรจะส่งเสริม ให้มีการปลูกผักริมรั้ว เพื่อนำมาประกอบเป็นอาหาร แทนการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีบริเวณที่จะปลูกต้นไม้ หรือผักไว้กินได้มากนัก

เนื่องจากการถูกจำกัดเรื่องสถานที่ แต่เราสามารถปลูกผักสวนครัวไว้กิน โดยการปลูกไว้ในกระถาง เช่น พริก โหระพา กระเพรา แมงลัก ชะพลู ผักชี ผักแพว เป็นต้น ซึ่งปลูกง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อีกทั้งยังปลอดภัยจากสารพิษ สำหรับผู้ที่มีที่ดินพอปลูกผักริมรั้ว ที่เป็นไม้ยืนต้นที่เก็บไว้กินได้หลายๆ ปี เช่น แค กระถิน ชะอม สะเดา การนำพืชเหล่านั้นมาปลูกในที่ไม่ต้องการการดูแลมากนัก นอกจากจะเก็บมาเป็นอาหาร ที่มีคุณค่าแล้ว ยังช่วยเป็นรั้วบ้าน และให้ร่มเงาทำให้สดชื่น ถ้าเหลือกินในครอบครัวก็สามารถแบ่งให้เพื่อนบ้าน หรือเก็บไปขายได้

จากที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าภูมิปัญญาดั้งเดิม วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนไทย ในสมัยโบราณที่อยู่แบบอบอุ่นพึ่งตนเองได้ ปัจจุบันคนไทยกำลังหวนคืนสู่บรรยากาศนั้น เพื่อความเป็นอยู่ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย การช่วยเหลือจุนเจือกัน การช่วยเหลือตัวเองในระดับครอบครัว ชุมชน เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ที่คนไทยควรจะเห็นความสำคัญ เพื่อความอยู่รอดของเราคนไทย และเพื่อชาติไทย

ที่มา : samunpri.com

2013-02-28

มะขาม เป็นยาดีและเครื่องสำอางชั้นยอด

มะขาม เป็นยาดีและเครื่องสำอางชั้นยอด


มะขาม หรือ Tamarind เป็นพืชพื้นบ้านไทยที่ส่วนใหญ่ใช้ปรุงอาหาร ยกเว้นมะขามหวานที่ทานสด แต่มะขามเปรี้ยวถูกนำมาใช้ประโยชน์มากกว่า เพราะความเปี้ยวนั่นเองที่ทำกับข้าวได้อร่อยได้รสชาติต่างจากน้ำมะนาว

ในมะขามอุดมด้วยวิตามินบี 2 แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และยังมีกรดผลไม้หลายชนิดเช่น กรดซิตริก กรดทาทาริค เป็นต้น ที่สำคัญมีวิตามินเอ วิตามินซีสูง มะขามนอกจากจะใช้ปรุงอาหารแล้ว ยังมีฤทธิ์เป็นยา คนที่เป็นหวัดนานๆ ไม่หายสักทีลองรับประทานมะขามดูสัก 2-3 ฝัก หรือทำน้ำมะขามดื่ม รับรองหายไข้ เพราะมีสรรพคุณลดอุณหภูมิในร่างกายได้ดี หวัดหายเป็นปลิดทิ้ง แถมยังทำให้ชุ่มคอชื่นใจ หายเจ็บคอ ช่วยขับเสมหะอีกต่างหาก เหมาะมากกับช่วงฤดูฝนเช่นนี้ นอกจากนี้มะขามยังเป็นยาระบายที่ดีอีกด้วย

มาถึงวันนี้ความลับอันทรงคุณค่าของมะขามเพิ่งถูกค้นพบและดึงออกมาเป็นจุดเด่นใหม่ คือมะขามอุดมด้วยสาร AHA (Alpha hydroxyl acids) คือกรดผลไม้ เหมือนที่มีในแอปเปิ้ล องุ่น กระทั่งในนมก็มี สรรพคุณของ AHA คือช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอกออกไปเร็วเผยผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิม ยิ่งในมะขามอุดมด้วยวิตามินซีมากก็จะช่วยบำรุงผิวด้วยอีกทางหนึ่ง คนไทยสมัยก่อนจึงนิยมนำน้ำมะขามเปียกคั้นแล้วมาทาใบหน้าทิ้งไว้สักพัก แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดก็จะได้ผิวหน้านุ่ม ใส ไร้สิว ปัจจุบันธุรกิจเครื่องสำอางที่กำลังเน้นไปที่การใช้สมุนไพรไทยเป็นจุดขาย จึงหันมาจับมะขามใส่หลอดแล้วจำหน่ายในรูปแบบของครีมล้างหน้า หรือครีมพอกหน้า บ้างก็ผสมไปกับขมิ้นชัน และน้ำผึงเพื่อเพิ่มสรรพคุณบำรุงผิว แต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับคนที่ใช้มะขามบำรุงผิวหน้าคือระวัง เข้าตา กรดในมะขามทำให้แสบตาได้แบบไม่ลืมเลย สำหรับบางคนอาจจะแพ้สารในมะขามได้บ้าง โดยจะรู้สึกผิวแสบร้อนแบบนี้ก็ไม่ควรใช้

มะขามพืชไทยราคาถูก เปี่ยมสรรพคุณทรงคุณค่า ใช้ได้ทั้งกินทั้งทา สารพัดประโยชน์เช่นนี้ คงต้องรีบซื้อหามาติดบ้านไว้ หรือไปหามาปลูกสักต้นก็ไม่เลว


 

ที่มา : Health Today

2013-02-26

ข้าวซ้อมมือ ส้ม ฝรั่ง แอปเปิ้ล อาหารคนชอบเครียด

ข้าวซ้อมมือ ส้ม ฝรั่ง แอปเปิ้ล อาหารคนชอบเครียด


เทรนด์รักสุขภาพของสาวๆ สมัยนี้ แรงไม่มีตกจริงๆ ในงาน ฉลองครบรอบ 32 ปี สถาบันความงาม "ฟิลิป เวน" ที่สุขุมวิทคลับ นอกจากสาวๆ ผู้รักสุขภาพจะสนุกสนานไปงานปาร์ตี้แบบเอ็กคลูซีฟแล้ว ยังได้ สุวรรณี หล่อบรรจงสุข ผู้จัดการฟิลิปเวน สาขาสุขุมวิท มาเล่าถึงเทรนด์ความสวยความงามว่า ผู้หญิงยุคใหม่ สนใจเรื่องสุขภาพตั้งแต่หัวจรดเท้า เน้นเรื่องสุขภาพเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกาย

เพื่อเอาใจสาวๆ เรื่องการรับประทานอาหาร รุ่งเรือง คลองบางลอ โภชนาการ และคอลัมน์นิสต์นิตยสารอาหารชื่อดังได้มาให้เคล็ดลับง่ายๆ ในการรับประทานอาหาร เริ่มจากสาวเจ้าเนื้อที่อยากผอม เธอแนะนำ สลัดน้ำโชยุ ทำง่ายๆ ด้วยการนำซอสคิคุแมน 1 ถ้วย ใส่น้ำตาลลงไปครึ่งถ้วย ใส่สาหร่ายอบแห่งบดละเอียด 1 แผ่น แล้วใส่งาขาวคั่ว 1 ส่วน 4 ถ้วย น้ำมันงา 1 ส่วน 4 ถ้วย ลงไป คนจนน้ำตาลละลาย พร้อมเสริฟกับผักสลัด

ส่วน "วัยรุ่น" รุ่งเรือง เตือนว่าอย่าอดอาหารมากเกินไป เพราะในอนาคตอาจมีปัญหาเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ควรหันมารับประทานให้ครบ 5 หมู่ ทุกมื้อ แต่ถ้าปฏิบัติไม่ได้ ใน 1 วัน ควรรักประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่างน้อย 1 มื้อ สำหรับ "วัยทำงาน" โภชนากร ชมว่าเป็นวัยที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพมากที่สุด พร้อมกับแนะนำ "อาหารบำรุงผิว" มีในอาหารประเภทผัก ผลไม้ ที่อุดมไปด้วยวิตามิน เอ และวิตามินซี และหากจะดื่มน้ำผลไม้ แนะนำให้ดื่มน้ำคั้นสดๆ เพราะจะได้ประโยชน์มากกว่าน้ำผลไม้ที่จำหน่ายตามท้องตลาด "อาหารบำรุงสมอง" มีในอาหารประเภทปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ถั่วเม็ดแห้งทุกชนิด

และในภาวะที่หันไปทางไหนก็มีแต่ความเครียด รุ่งเรือง แนะนำอาหารที่รับประทานแล้วคลายเครียดมาด้วย ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ส้ม ฝรั่ง แอปเปิ้ล หลีกเลี่ยงอาหารที่รับประทานแล้วทำให้เครียดยิ่งขึ้นไปอีก เช่น ของหวานประเภทต่างๆ เช่น น้ำหวาน ลูกอม


 

ที่มา : มติชน

2013-02-15

กินวิตามิน..เกลือแร่แก้แพ้อากาศ

กินวิตามิน..เกลือแร่แก้แพ้อากาศ


คนไหนที่รู้ตัวว่ากำลังเป็นโรคแพ้อากาศ วันนี้มีทางออกที่ช่วยลดการแพ้อากาศมาบอก...
ลดอาการแพ้อากาศได้โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญควรกินผักผลไม้สด เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

- วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมากได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

- วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมากได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

- วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมากได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

- สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมากได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

- ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลี

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากลดอาการแพ้อากาศ ลองหาวิตามินและเกลือแร่ที่แนะนำมาทานกันดีกว่า.

2013-02-04

5 อาหารเติมพลังยาม Diet

5 อาหารเติมพลังยาม Diet


แม้ว่ากาแฟสักถ้วย จะช่วยให้คุณแจ่มใสขึ้นทันตา แต่ก็มีผลแค่ประเดี๋ยวประด๋าวแถมผลยังมีผลเสีย ต่อสุขภาพกระดูกของผู้หญิงเราน่ะ อาจจะไม่คุ้มกัน ถ้าต้องพึ่งกาแฟ วันละหลายแก้ว เพื่อช่วยให้อารมณ์แจ๋ม ๆไปตลอดวัน แต่อาหาร 5 ชนิดที่จะแนะให้รับประทานกันนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนการ เขารับประกันว่า ทำให้ คุณอารมณ์แช่มชื่นไปตลอดวัน และที่สำคัญยังไม่เป็นพิษเป็นภัยกับร่างกายอีกด้วยค่ะ

1. กล้วย
กล้วยสุกใบย่อม ๆ 1 ผลน่ะ เป็นอาหารที่เหมาะมากสำหรับสาว ๆ ที่กำลังรักษาเชพซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องสวมหัวใจของสาวสปอร์ตกันด้วย ซึ่งเคล็ดลับที่ช่วยเพิ่มพลังก่อนออกกำลังกาย ก็คือ กินกล้วยสุกสัก 1 ผล รับรองว่าจะช่วยให้คุณฟิตหุ่นได้ตลอด 1 ชั่วโมง แบบแรงไม่ตกทีเดียวค่ะนอกจากกล้วยจะเป็นอาหารทรงพลังแล้วยังอุดมด้วยเส้นใยอาหาร และอุดมไปด้วยเกลือแร่ คือเป็นแหล่งวิตามินเอ บี และซี อีกด้วยค่ะ โดยเฉพาะวิตามินซี และเอ ทำให้หน้าตาสดชื่น แจ่มใส ไม่อิดโรย แม้คุณจะออกแรงเสียเหงื่อมากแค่ไหนก็ตาม

2. มันฝรั่ง
ใครทีเคยคิดว่า ไม่อยากอ้วน ต้องทำเมินกับมันฝรั่งแล้วล่ะก้อ ขอบอกว่าเข้าใจผิดแล้วล่ะ เพราะมันฝรั่งน่ะจัดเป็นอาหารที่ให้พลังงานอย่างยอดเยี่ยมก็จริงอยู่ แต่หากเปรียบเทียบกับขนมขบเคี้ยวที่เคลือบความหวานด้วยแล้ว ควรหันมาคว้ามันฝรั่งจะดีกว่า แต่ควรเลือกกินเป็นมันฝรั่งบด ต้ม หรืออบ จะราดน้ำฝึ้งให้หวานฉ่ำ หรือเติมนมสดพร่องไขมัน ก็อร่อยอย่าบอกใคร แถมยังได้สารอาหารดี ๆ อีกเยอะ เพราะในมันฝรั่งนั้น อุดมด้วยธาตุเหล็ก วิตามินเอ บี1 บี2 บี 6 และโพแทสเซียม แต่ควรเลี่ยงมันฝรั่งทอด หรือเฟรนฟรายด์ สแน็กยอดนิยมของวัยรุ่นยุคนี้ เพราะมีแคลอรี่สูงถึง 500 กิโลแคลอรี่ ในปริมาณ 100 กรัม เมื่อเทียบกับมันฝรั่งบดในปริมาณ เท่ากัน ซึ่งให้แคลอรี่เพียง 85 กิโลแคลอรี่

3. แครอต
สำหรับมื้อว่างยามบ่าย ที่คุณกำลังรู้สีกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าจากภาระกิจยุ่งๆตลอดเช้าถ้าคุณเคยชินกับการดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆสักกระป๋อง ซึ่งอาจทำให้อารมณ์สดชื่นขึ้นได้ก็จริงอยู่ แต่มักทำให้คุณอ้วนไม่รู้ตัว แถมยังเป็นภัยกับสุขภาพของกระดูกเสียด้วยสิ ลองเปลี่ยนมาเป็นน้ำแครอต หากปั่นสด ๆ ก็คงจะยิ่งดี เพราะไม่เพียงทำให้คุณอารมณ์แจ่มใสขึ้น รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น แต่ยังมีคงคุณค่าของวิตามินเอ และซี ซึ่งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย และยังทำให้ผิวพรรณสดใสอีกด้วยค่ะ

4. คอร์นเฟลค หรือข้าวโอ๊ตอบ
คอร์นเฟลคหรือข้าวโอ๊ตอบแห้งนั้น แม้ว่าคุณจะเลือกชนิดที่ไม่เคลือบน้ำตาล ก็ยังจัดว่าเป็นอาหารเพิ่มพลังยามเช้าได้อย่างดี หากเพิ่มนมไขมันต้ำ หรือเติมโยเกิร์ต และตามด้วยผลไม้สด ๆ ที่คุณชอบ ก็จะเป็นอาหารเช้าที่เพอร์เฟ็คสุด ๆ เพราะ นอกจากจะให้พลังงานแก่กล้ามเนื้อแล้ว ยังได้รับโปรตีนและสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของสมองอีกด้วยค่ะ

5. น้ำ
น้ำเปล่านี่แหล่ะ ดีที่สุดค่ะ ยิ่งในยามที่คุณรู้สึกเหนื่อยล้า คุณควรดื่มน้ำให้มากขึ้น แต่ไม่ควรรอให้รู้สึกหิวน้ำแล้วค่อยตามหาแก้วน้ำนะคะ ควรจิบน้ำอยู่บ่อย ดื่มให้ได้ตลอดวัน ถ้าไม่สะดวกหรือกันลืมก็ต้องวางแก้วน้ำและขวดน้ำไว้ประจำโต๊ะทำงาน พักสายตาจากงานยุ่ง ๆ เมื่อไหร่ ก็จะได้คว้าแก้วน้ำดื่มได้ทันที เพราะประโยชน์ของการดื่มน้ำน่ะ ไม่เพียงช่วยดับร้อน ทำให้หายคอแห้งแล้ว ยังทำให้ผิวพรรณสดใสช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานสะดวกคล่องตัว หมดปัญหาท้องผูก ที่ทำให้คุณอึดอัดท้องอีกด้วยนะคะ

ที่มา : Womanplus

หุ่นดีกับวิธี.. Coconut Diet

หุ่นดีกับวิธี.. Coconut Diet


วิธีใหม่เอี่ยมสำหรับวงการไดเอท คิดค้นโดย "เชอรี่ คัลบอม" นักโภชนาการชื่อดัง วิธีนี้กำหนดว่าเราต้องไดเอทด้วยอาหารไขมันต่ำที่ปรุงจากน้ำมันมะพร้าวเท่านั้น ข้อดีของน้ำมันมะพร้าวถึงน้ำมันมะพร้าวอาจจะมีไขมันอิ่มตัวบ้าง แต่ก็มีข้อดีตรงที่สามารถกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญของร่างกายเราได้ดี ทำให้น้ำหนักลดเร็ว ยิ่งถ้าทานคู่ไปกับอาหารไขมันต่ำ หุ่นก็จะยิ่งเพรียวขึ้น สำหรับคนที่กลัวว่าไขมันอิ่มตัวในมะพร้าวจะมีโคเลสเตอรอลมากเกินก็อนุโลมให้ใช้น้ำมันมะกอกแทนได้ วิธี Coconut Diet แผนการนี้มีกำหนด 3 สัปดาห์ โดยให้เลือกทานอาหารจากรายการต่อไปนี้ หลังจาก 3 สัปดาห์นี้แล้ว สามารถทานคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้นได้ โดยเลือกจากรายการอาหารในสัปดาห์ที่ 4-5

สัปดาห์ที่ 1-3
อาหารเช้า - ไข่คน 2 ฟอง ใส่น้ำกะทิ 1 ช้อน กับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น หรือไข่ดาวทอดน้ำมันมะพร้าว 2 ใบกับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น
อาหารกลางวัน - ไก่ไร้หนังทอดด้วยน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ กินคู่กับสลัดผักสดเยอะๆ หรือปลาย่าง 1 ตัวกับผักสลัด และน้ำสลัดทำจากน้ำมันมะพร้าว หรือหมูสะเต๊ะ กับสลัดผัสด หรือสลัดกุ้งราดน้ำสลัดจากน้ำมันมะพร้าว
อาหารเย็น - สเต๊กปลา (ปลาทาน้ำมันมะพร้าวเอาไปอบหรือย่าง) ทานกับผักต้ม หรือยำวุ้นเส้นกินกับผักสดคลุกน้ำมันมะพร้าวเล็กน้อย หรือแกงจืดตามใจชอบ และอกไก่ทอดน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ หรือผัดถั่วงอกใส่กุ้งกับพริก ใช้น้ำมันมะพร้าวในการผัด

สัปดาห์ที่ 4-5
อาหารเช้า - ไข่คน 2 ฟอง ใส่น้ำกะทิ 1 ช้อน กับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น และขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น หรือไข่ดาวทอดน้ำมันมะพร้าว 2ใบกับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น และขนมปังโฮลวีต 1 แผ่นหรือฟรุตสลัด (ผลไม้ตามใจชอบหั่นเป็นลูกเต๋าคลุกกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ)
อาหารกลางวัน - ไข่ต้มกับปลา (ทากะทิ) ย่าง หรือปลาผัดพริก (ผัดด้วยน้ำมันมะพร้าว) กับผักต้ม หรือสเต็กอกไก่ทอดน้ำมันมะพร้าวกับสลัดผัก หรือสลัดกุ้งกับผักสด น้ำสลัดทำจากน้ำมันมะพร้าว
อาหารเย็น - กุ้งผัดพริกแกง (ใส่กะทิ) ทานกับผักสดหรือผักต้ม หรือแกงเผ็ดอกไก่ (ใส่กะทิ) จะใส่หน่อไม้หรือไม่ก็ได้กับข้าวกล้องหรือสลัดปลาทูน่ากับมันอบตามใจชอบ

..Tip..
-สามารถทานผักสลัดได้ทุกชนิด ยกเว้นข้าวโพดหวาน ถั่วลันเตา และมันฝรั่ง เพราะมีคาร์โบไฮเดรตสูง
- ถ้าไม่ชอบน้ำมันมะพร้าว จะใช้น้ำมันมะกอกแทนได้
- งดน้ำชา กาแฟ และน้ำอัดลม และควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

ที่มา : spicy

2013-01-30

สมุนไพรรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้

สมุนไพรรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้


โรคกระเพาะเป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง แต่อุบัติการของโรคนี้ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานจำนวนที่แน่นอน โรคนี้พบได้ประมาณ 10% ของประชากรทั่วไป และพบได้ทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่จะมีอาการเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง

โรคกระเพาะตามความหมายของแพทย์ หมายถึง แผลที่กระเพาะอาหาร (gastric ulcer) หรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenal ulcer) ซึ่งมีรายงานจากโรงพยาบาลศิริราชว่าแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นพบมากกว่าแผลที่กระเพาะอาหารประมาณ 2 เท่า

แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นพบบ่อยในวัยหนุ่มสาว โดยอายุเฉลี่ยของผู้เป็นโรคนี้คือ 35 ปี และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 4 เท่า ส่วนแผลที่กระเพาะอาหารมักพบในวัยกลางคนขึ้นไป โดยอายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคนี้คือ 42 ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 3 เท่า

สาเหตุของโรคดังกล่าวยังไม่ชัดเจน ปกติจะมีสารเมือก (mucin) หลั่งออกจากต่อมในส่วนล่างของหลอดอาหาร กระเพาะอาหารและส่วนบนของลำไส้เล็ก เพื่อป้องกันเยื่อบุกระเพาะจากฤทธิ์กัดของน้ำย่อยที่เป็นกรดอย่างแรง แต่มีปัจจัยบางอย่างที่คาดว่าจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง เกิดการอักเสบและเป็นแผลได้ง่าย เช่น ภาวะขาดอาหาร ภาวะเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ รับประทานยาหรือสารบางชนิดที่กัดกระเพาะ สูบบุหรี่จัด ดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนมากหรือเนื่องจากกรรมพันธุ์

อาการระยะแรก คือ ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ อาจมีความรู้สึกอิ่มแน่นหรือหิวร่วมด้วย แผลในกระเพาะอาหารมักปวดท้องหลังอาหารประมาณ 1-ชั่วโมงครึ่ง ส่วนแผลในลำไส้มักปวดท้องหลังอาหารประมาณ 2-4 ชั่วโมง และช่วงดึกหลังเที่ยงคืนด้วย

การรักษาจะไม่หายขาด ผู้ป่วยจะต้องดูแลตนเองคล้ายกับผู้ป่วยท้องอืด ท้องเฟ้อ ระยะที่ปวดท้องควรดื่มนมถั่วเหลืองทุก 3-4 ชั่วโมงพร้อมทั้งใช้สมุนไพรที่แนะนำ รับประทานอาหารอ่อน ทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่ทานบ่อยๆ งดอาหารรสจัดและสิ่งต้องห้ามข้างต้น และหาทางคลายเครียดด้วย จะมีสมุนไพรที่ช่วยรักษาเยื่อบุทางเดินอาหารให้แข็งแรงขึ้น และควรใช้สมุนไพรขับลมร่วมด้วย กล้วยน้ำว้ารับประทานผลดิบสดครั้งละครึ่งถึง 1 ผล อาจใช้ผลดิบหั่นบางๆตากแห้ง บดเป็นผงชงน้ำดื่ม ใช้ผงยาเท่ากับครึ่งถึง 1 ผล

ข้อควรระวัง อาจมีอาการท้องอืดหลังรับประทานยานี้ แก้ได้โดยดื่มน้ำต้มขิงหรือสมุนไพรขับลมอื่นๆขมิ้นชันผงขมิ้นครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอนหรือปั้นเป็นลูกกลอนขนาดปลายนิ้วก้อย รับประทานครั้งละ 2 เม็ด

ที่มา : samunpri.com

2013-01-05

สมุนไพรจำกัดกลิ่นห้องน้ำ

สมุนไพรจำกัดกลิ่นห้องน้ำ

กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ในห้องน้ำเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ความสุนทรีย์ในการทำธุระส่วนตัวของเราลดลง สามารถแก้ไขได้โดยการใช้สมุนไพรจากธรรมชาติดังต่อไปนี้
ใบเตย
มัดใบเตยสัก 4 -5 ใบรวมกัน นำไปแขวนไว้ห้องน้ำ หรือหากต้องการให้ได้กลิ่นหอมมากขึ้น แนะนำให้ตัดใบเตยออกเป็นท่อนเล็ก ๆ ใส่จานวางไว้ จะช่วยลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ค่ะ
รวมพลัง ขิง ข่า ตะไคร้
ตำขิง ข่า และตะไคร้ รวมกันให้เนื้อสมุนไพรพอแตก จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ห่อด้วยผ้าขาวบาง มัดด้วยเชือก นำไปแขวนไว้ในห้องน้ำที่มีกลิ่นอับชื้น ก็ช่วยลดกลิ่นได้เช่นกันค่ะ
ที่มา : ชีวจิต