2012-12-31

อัศจรรย์เคี้ยว “มะนาว” เลิกบุหรี่ใน 2 สัปดาห์

อัศจรรย์เคี้ยว “มะนาว” เลิกบุหรี่ใน 2 สัปดาห์


อัศจรรย์ “มะนาว” ช่วยลดสารนิโคติน เลิกบุหรี่ได้ใน 2 สัปดาห์ แนะ กินมะนาวพร้อมเปลือก เคี้ยวนานๆ 3-5 นาที ทุกครั้งที่อยากบุหรี่ ทำให้สูบรสบุหรี่ไม่อร่อย ขม เฝื่อน จนไม่อยากสูบอีก

ผศ.กรองจิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวในการประชุมวิชาการ “บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ” ครั้งที่ 7 เรื่อง “เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจ ต้านภัยบุหรี่” โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ว่า จากผลการวิจัยพบว่า ในวิตามินซีจะมีสารที่ช่วยลดความอยากของนิโคตินได้ และช่วยฟื้นฟูร่างกายที่ทรุดโทรมให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า จึงมีการนำใช้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ โดยเทคนิคการรับประทานผลไม้รสเปรี้ยว ที่มีวิตามินซีสูง โดยเฉพาะมะนาว พบว่า เมื่อนำไปใช้แล้วมีประสิทธิภาพได้ผลดีมาก เนื่องจากมะนาวมีผลต่อการทำงานของต่อมรับรสขม ทำให้รสชาติของบุหรี่เปลี่ยนไป

ผศ.กรองจิต กล่าวต่อว่า วิธีการกินมะนาวช่วยเลิกบุหรี่ ต้องหันมะนาวเป็นชิ้นเล็กๆให้มีเปลือกติดมาด้วย ขนาดเท่าหัวแม่โป้ง หรือ พอคำ เมื่อมีความรู้สึกอยากสูบบุหรี่ ให้กินมะนาวแทน โดยอมแล้วค่อยดูดความเปรี้ยว จากนั้นเคี้ยวเปลือกอย่างช้าๆ นาน 3-5 นาที จะมีผลทำให้ลิ้นข่ม เฝื่อน จากนั้นดื่มน้ำ 1 อึก นอกจากช่วยลดความอยากนิโคตินแล้ว เมื่อสูบบุหรี่จะทำให้รสชาดบุหรี่เปลี่ยนขมจนไม่อยากสูบ และสามารถกินมะนาว หรือผลไม้ชนิดอื่นที่มีความเปรี้ยวมากๆ ได้ทุกครั้งที่เกิดความอยากบุหรี่ แต่เมื่อเทียบกัน พบว่ามะนาวจะได้ผลดีที่สุด

“การเลิกบุหรี่ ด้วยการกินมะนาวส่วนใหญ่จะสามารถเลิกบุหรี่ได้ภาย ใน 2 สัปดาห์ และไม่อยากบุหรี่อีก ถือว่าชนะนิโคตินได้ มีการนำไปทดลองกับนักเรียน หลายคนที่ได้ทดลองวิธีนี้ จะรู้สึกว่าสูบบุหรี่แล้วไม่อร่อย รสชาดไม่เหมือนเดิม ทำให้ไม่อยากสูบบุหรี่อีก อย่างไรก็ตาม แม้อาการทางกาย คือ ความอยากจะหมดไปแต่ อาการทางใจบางครั้งจะยังมีอยู่ เช่น เศร้า หงุดหงิดเหมือนคนอกหัก คนรอบข้างต้องให้กำลังใจ และตั้งใจเลิกอย่างเด็ดขาด จะสามารถเลิกได้อย่างแน่นอน”ผศ.กรองจิต กล่าว

ด้าน นางอนงค์ พัวตระกูล อาจารย์โรงเรียนบางมดวิทยา 'สีสุกหวาดจวนอุปถัมภ์' ซึ่งได้รับ รางวัลควบคุมยาสูบแห่งชาติ ประเภท สถานศึกษาปลอดบุหรี่ กล่าวว่า จากการทำค่ายลดละเลิกบุหรี่ โดยนำนักเรียนที่สูบบุหรี่จำนวน 75 คน มาทำกิจกรรมโดยให้ความรู้ถึงพิษภัยของบุหรี่ และให้เด็กใช้เวลาในการเลิกบุหรี่อย่างจริงจัง ประมาณ 3-7 วัน รวมทั้งใช้วิธีการเคี้ยวมะนาวเพื่อช่วยลดความอยากสูบบุหรี่ พบว่า ร้อยละ 75 จะสูบไปครั้งคราว เมื่อผ่าน 2 สัปดาห์ จะมีเด็กที่เลิกสูบเด็ดขาด ร้อยละ 50 และภายใน 1 ปี มีเด็กเพียง ร้อยละ 30 ที่กลับไปสูบอีก โดยปัจจัยเสริมที่ทำให้เลิกได้พบว่า หากเป็นเด็กที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงก็จะเลิกง่ายกว่าเด็กที่หัวอ่อนตามเพื่อน


“ภายใน 2 สัปดาห์ พบว่าการติดตามพฤติกรรมร่วมกับ การใช้มะนาวช่วยเลิกบุหรี่ สามารถทำให้เด็กลด และเลิกบุหรี่ได้นอกจากนี้ ต้องมีคนให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ ซึ่งโรงเรียนต้องใช้ทั้งไม้อ่อน ไม้แข็งในการดูแลเด็ก มีการทำโทษ แจ้งผู้ปกครอง หรือแม้แต่การให้ไปเสียค่าปรับที่โรงพักก็เคยมี เนื่องจากการเลิกบุหรี่ในเด็กกับผู้ใหญ่มีความแตกต่างกัน ส่วนใหญ่ที่เลิกได้จริง ก็จะเกิดจากความตระหนักรู้เกี่ยวกับพิษภัย และไม่กลับมาสูบบุหรี่อีกตลอดไป”นางอนงค์ กล่าว


 

ที่มา : bangkok health

2012-12-29

5 สมุนไพรบำรุงกระดูกเพื่อผู้สูงอายุ

5 สมุนไพรบำรุงกระดูกเพื่อผู้สูงอายุ

วัยสูงอายุเป็นวัยที่ร่างกายเสื่อมโทรมในหลายด้าน โดยเฉพาะภาวะกระดูกพรุน เนื่องจากเซลล์ของกระดูกมีการสลายมากกว่าการสร้าง จึงทำให้กระดูกหักได้ง่าย

ในการป้องกันภาวะนี้สำหรับผู้สูงอายุ นอกจากยาแผนปัจจุบันซึ่งต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเป็นจำนวนเงินมากมายแล้ว สมุนไพรไทย ๆ ยังสามารถใช้ทดแทนได้ดีและใช้กัน


1. ยอ ใบยอมีแคลเซียมสูง (469 – 841 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) ใบใช้ประกอบอาหาร เช่น ห่อหมก แกงอ่อม นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางยา เช่น ใบอ่อนใช้เป็นยาลดความร้อนในร่างกาย แก้ไข บำรุงธาตุ แก้ท้องร่วงในเด็ก แก้เหงือกบวม และปวดข้อ
2. ช้าพลูหรือชะพลู ใบช้าพลูนิยมใช้เป็นผักรับประทานกับเมี่ยงคำ ส้มตำ ข้าวยำ และใช้ทำแกงเลียง ใบประกอบด้วยแคลเซียมในปริมาณสูง (601 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) และยังพบธาตุฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามินต่าง ๆ
3. มะขาม ฝักมะขามอ่อนมีแคลเซียมสูง (429 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) ทางด้านอาหารใช้ยอดปรุงแกง ดอกใช้ยำ ส่วนฝักอ่อนใช้ตำน้ำพริก เนื้อในผักแก่รับประทานเป็นผลไม้หรือใช้ปรุงแต่งรสเปรี้ยวให้อาหาร นอกจากนี้มะขามเปียกยังใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ แก้ไอและขับปัสสาวะ
4. แค ยอดแคมีแคลเซียมสูง (395 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) นิยมนำมาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใช้รับประทานแก้ไข้หัวลม (ใช้ที่เกิดขึ้นเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง) ส่วนดอกแคยังนิยมใช้ปรุงอาหาร เช่น แกงส้ม และใช้ลวกเป็นผักจิ้ม
5. ผักกระเฉด ใบและลำต้นที่แกะนวมออกแล้วใช้ปรุงเป็นอาหาร เช่น แกงส้ม

ที่มา : ชีวจิต

2012-12-18

เคล็ดลับผมเงางามด้วยดอกอัญชัน

เคล็ดลับผมเงางามด้วยดอกอัญชัน


ช่วงไหนที่รู้สึกว่าผมขาดความเงางาม ลองหมักผมด้วยน้ำมันมะพร้าว 5 ช้อนโต๊ะ น้ำจากดอกอัญชันประมาณ 8 – 10 ดอก และไข่แดง 1 ฟอง ชโลมทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก ผมคุณจะเงางามอย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ อ้อ สูตรนี้สงวนสิทธิ์สำหรับสาวผมดำเท่านั้นนะคะ


สาว ๆ คนไทยที่ต้องการย้อนผมเอง ต้องระวังน้ำยาเลอะติดผิวสวยด้วยนะคะ โดยเฉพาะบริเวณต้นคอ ใบหู และผิวบริเวณไรผม ให้ป้องกันปัญหานี้ได้ด้วยการทาวาสลีนหรือยาสีฟันไว้บริเวณผิวส่วนนี้ค่ะ

รักษาความสะอาดให้เส้นผมแล้วก็อย่าลืมหมั่นทำความสะอาดหวีของเราด้วยนะคะ ควรล้างหวีอย่างน้อย 2 สัปดาห์ / ครั้ง ด้วยน้ำสบู่หรือแชมพูอ่อน ๆ และ ใช้แปรงสีฟันแปรงคราบฝุ่นละอองที่ติดอยู่บนหวีให้หมดจด ซับด้วยผ้าขนหนูแล้วทิ้งไว้ให้แห้ง แค่นี้หวีของคุณก็น่าใช้มากขึ้นแล้วล่ะค่ะ

ที่มา : Spicy

2012-12-14

ฟักทองลดไขมันในเลือด (จบ)

เมล็ดฟักทอง บรรเทาต่อมลูกหมากโต

น้ำมันเมล็ดฟักทองเป็นส่วนประกอบของยาพื้นบ้านที่ใช้ดูแลสุขภาพต่อมลูกหมาก มีงานวิจัยสนับสนุนประสิทธิภาพการใช้เมล็ดฟักทองรักษาอาการต่อมขึ้นไปอาจมีต่อมลูกหมากโต (benign prostatic hyperplacia) ชายวัย 55 ปี และกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะไม่แข็งแรงพอจะบีบต้านแรงกดของต่อมลูกหมาก จึงทำให้เกิดมีอาการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ โรคนี้อาจพบได้ประมาณร้อยละ 10 ของผู้ชายสูงอายุ

งานวิจัยสารสกัดเมล็ดฟักทองกับการทำงานของแอนโดรเจน รีเซปเตอร์ซึ่งมีผลควบคุมการเจริญของลูกหมาก จากใช้สารสกัดเมล็ดฟักทองกับชุดตรวจวัดแอนโดรเจน รีเซปเตอร์ รีพอร์ตเตอร์ยีน พบว่าสารสกัดจากเมล็ดฟักทองมีผลต้านฤทธิ์แอนโดรจีนิก (antiandrogenic effect) จริง การบริโภคเมล็ดฟักทองจึงอาจมีผลดีต่อผู้ที่มีอาการต่อมลูกหมากโตได้

ฟักทองกับความงามผิวพรรณ

เอนไซม์จากเนื้อฟักทองบด (รวมเมล็ด) มีความสามารถในการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ มีสารต้านออกซิเดชั่น วิตามิน และแร่ธาตุจำเป็นที่ผิวต้องการ เมล็ดฟักทองมีวิตามินอี กรดไขมันไม่อิ่มตัว และสเตอรอล จึงช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นและซ่อมแซมผิว

พืชสามัญเช่นฟักทองนี้ดีอยู่ในตัวพอดู ลองชวนคุณพ่อบ้านบริโภคเมล็ดฟักทองขณะดูโทรทัศน์ เพื่อสุขภาพที่ดีในวันหน้าไหมคะ

2012-12-13

ฟักทองลดน้ำตาลในเลือด (2)

คุณค่าทางโภชนาการของฟักทองดิบ
ฟักทองดิบคุณค่าทางอาหารต่อ 100 กรัม
พลังงาน 10 กิโลแคลอรี่

คาร์โบไฮเดรต 6.4 กรัม
· น้ำตาล 1.36 กรัม
· เส้นใย 0.5 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
· อิ่มตัว 0.05 กรัม
· Monounsaturated 0.01 กรัม
· Polyunsaturated 0.01 กรัม

โปรตีน 1.0 กรัม
บีตาแคโรทีน 369 ไมโครกรัม ร้อยละ 41
วิตามีนบี 1 3,100 ไมโครกรัม ร้อยละ 29
วิตามีนบี 2 0.05 มิลลิกรัม ร้อยละ 4
วิตามีนบี 3 0.110 มิลลิกรัม ร้อยละ 7
วิตามีนบี 4 0.6 มิลลิกรัม ร้อยละ 4
วิตามีนบี 5 0.298 มิลลิกรัม ร้อยละ 6
วิตามีนบี 6 0.061 มิลลิกรัม ร้อยละ 5
โฟเลต 16 ไมโครกรัม ร้อยละ 4
วิตามีนซี 9 มิลลิกรัม ร้อยละ 15
วิตามินอี 1.06 มิลลิกรัม ร้อยละ 7
แคลเซียม 21 มิลลิกรัม ร้อยละ 2
เหล็ก 0.8 มิลลิกรัม ร้อยละ 6
แมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม ร้อยละ 3
ฟอสฟอรัส 44 มิลลิกรัม ร้อยละ 6
โพแทสเซียม 340 มิลลิกรัม ร้อยละ 7
โซเดียม 1 มิลลิกรัม ร้อยละ 0
สังกะสี 0.32 มิลลิกรัม ร้อยละ 3
ร้อยละ ตามคำแนะนำของ USDA

“น้ำตาลโพลีแซ็กคาไรด์ที่ตรึงกับโปรตีนในเนื้อฟักทอง มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด”

น้ำมันเมล็ดฟักทอง

ใช้ปรุงอาหารได้ ใช้ในประเทศแถบยุโรปตะวันออกและตอนกลาง น้ำมันเมล็ดฟักทอง (ร้อยละ 42.2 ตามน้ำหนัก) มีวิตามินอี กรดไขมันไม่อิ่มตัว มีการใช้น้ำมันเมล็ดฟักทองในการป้องกันต่อมลูกหมากโต ลดความดันเลือด ลดอาการคลอเลสเตอรอลสูง โรคปวดข้อเข่าช่วยสมรรถภาพกระเพาปัสสาวะ ลดปริมาณน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน และใช้ในผู้ป่วยมะเร็ง กระเพาะอาหาร เต้านม ปอด และลำไส้ใหญ่

ปริมาณน้ำมันมีร้อยละ 11 -13 ปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัวมีร้อยละ 73 -81 ที่พบมากคือกรดไบโนเลอิกโอเลอิก ปาล็มมิติก และสเตอริก พบอัลฟ่า – แกมม่า – และเดลต้า – โทโคฟีรอลในปริมาณ 27.1 – 75.1 , 74.9 – 492.8 และ 35.3 – 1,109.7 มิลลิกรัมต่อกรัม น้ำมันตามลำดับซึ่งเป็นปริมาณที่สูง ปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัวและวิตามินอีทำให้เมล็ดฟักทองเป็นอาหารที่เสริมคุณค่าโภชนาการอาหารประจำวันได้ดีมากชนิดหนึ่ง

2012-12-12

ฟักทองลดน้ำตาลในเลือด

ฟักทองลดน้ำตาลในเลือด

“ฟักทองมีคุณค่าทางอาหารสูง แต่ให้พลังงานต่ำ
จึงเหมาะแก่ผู้ที่ต้องควบคุมอาหาร”

ชื่อวิทยาศาสตร์ Cucurbita moschata Duchesne
ชื่อสามัญ Winter squash, Buttercup squash หรือ Pumpkin
วงศ์ Cucurbitaceae

ใบฟักทอง

ประเทศไทยและประเทศในทวีปแอฟริกามีการกินใบอ่อนของฟักทองและฟักทอง ฮัลโลวีน

ใบฟักทองฮัลโลวีนมีธาตุสังกะสี (0.8 มก.) เหล็ก (10.1 มก.) แคลเซียม (0.07 มก.) กรัมต่อ 100 กรัม ผัดกับน้ำมันจะดูดซึมได้ดีในร่างกายมนุษย์ เพราะวิตามินเอละลายในน้ำมัน

ผลฟักทอง

มีลักษณะทรงแบนสีเขียวเข้ม หนัก 1 -2 กิโลกรัม เนื้อในสีเหลืองส้ม
ประเทศสหรัฐอเมริกาประกอบอาหารจากผลสุกฟักทองนี้หลายชนิด โดยอบ ย่าง และบดใส่ซุปเหมือนกับฟักทองฮัลโลวีน
ประเทศบราซิลและแอฟริกานิยมปรุงเป็นซุป
ประเทศญี่ปุ่นนำมาชุบแป้งทอดเป็นเทมปุระ
ประเทศไทยนำมาประไทยนำมาประกอบอาหารไทยผัดใส่ไข่ ทำแกงเผ็ดฟักทองน้ำข้นมีรสดี ฝานบางอบแห้งทำข้าวเกรียบ หรือบรรจุด้วยสังขยานึ่งขนมหวาน สามารถนำเนื้อไปทำขนมพายได้เหมือนฟักทองฮัลโลวีน

เนื่องจากฟักทองมีคุณค่าทางอาหารสูงแต่ให้พลังงานต่ำจึงเหมาะแก่ผู้ที่ต้องควบคุมอาหาร

น้ำจากเนื้อฟักทองลดน้ำตาลในเลือด

งานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนพบว่า น้ำตาลโพลีแซ็กคาไรด์ที่ตรึงกับโปรตีนในเนื้อฟักทองมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด น้ำตาลดังกล่าวละลายได้ในน้ำคั้นผลฟักทอง เมื่อทดสอบกับหนูที่เป็นเบาหวานจากสารอัลล็อกซาน พบว่า น้ำตาล – โปรตีนดังกล่าวเพิ่มระดับอินซูลินในซีรั่ม ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มการทนกลูโคส (glucose tolerance) สารสกัดน้ำตาลดังกล่าวในปริมาณ 1,000 มก. / กก. น้ำหนัก ให้ผลดีกว่าการให้ปริมาณต่ำ ๆ และดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาเบาหวาน จึงสามารถนำผลการศึกษาไปใช้กับผู้ป่วยเบาหวานได้

เมล็ดฟักทอง

คั่วและกินเป็นอาหารขบเคี้ยวได้ มีธาตุเหล็กสังกะสี โพแทสเซียม แมกนีเซียม และกรดไขมันจำเป็น
เมล็ดฟักทอง 1 กรัม มีกรดอะมิโนทริปโทเฟนมากเท่ากับที่มีในนมสดหนึ่งแก้ว
เมล็ดฟักทองมีน้ำมันที่อุดมไปด้วยสารแกมม่าโทโคฟีรอล (รูปหนึ่งของวิตามินอี) สารนี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุมูลอิสระที่มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบ จึงสามารถชะลอความแก่ได้เป็นอย่างดี
“เมล็ดฟักทอง 1 กรัม มีกรดอะมิโนทริปโทเฟนมากเท่ากับที่มีในนมสดหนึ่งแก้ว”

2012-11-30

สวนครัวแก้กรน

สวนครัวแก้กรน


การนอนกรนเกิดจากระบบหายใจขาดความชุ่มชื้น และกล้ามเนื้อคอไม่แข็งแรง ทำให้ระบบการหายใจไม่ดี เวลานอนคงมีเสียงน่ารำคาญออกมาจนพลอยทำให้คนข้าง ๆ นอนฝันไปด้วย ใครที่นอนกรนให้ลองเดินเข้าไปดูในสวนว่ามีพืชผักสวนครัวพวกนี้หรือเปล่า.. ถ้ามีอย่ารอช้า รีบ
เด็ดมาเลย

1. หอมเล็กแก่จัด หอมแก่จัดมีสรรพคุณแก้หวัด คัดจมูก ลดไขมันอุดตันในหลอดเลือด นอกจากนี้กลิ่นฉุนของหอมเล็กยังช่วยให้เกิดความชุ่มชื้นในลำคอ และช่วยให้ระบบหายใจทำงานได้ดีขึ้นด้วย
2. พริกขี้หนู ความเผ็ดของพริกจะช่วยให้จมูกโล่ง และสารแคปไซซินยังมีฤทธิ์ในการลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อรอบหลอดลม จึงเป็นสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์อย่างมากกับคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบหายใจ
3. ขิง เลือกเอาเหง้าขิงที่แก่จัด ๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือหรือประมาณ 5 กรัม เอามาทุบให้แตก ต้มเอาแต่น้ำมาดื่ม จะช่วยให้ระบบหายใจทำงานดีขึ้น
4. ใบแมลงลัก มีสรรพคุณในการแก้โรคหวัดและหลอดลม ทำให้หายใจสะดวก

ที่มา : Spicy

2012-11-03

กะหล่ำปลีพกพาสารเคมีวิเศษ ป้องกันมะเร็งปอด

กะหล่ำปลีพกพาสารเคมีวิเศษ ป้องกันมะเร็งปอด

นิตยสารการแพทย์ ?แลนเซต? มาตรฐานของอังกฤษ รายงานว่านักวิจัยของสำนักวิจัยโรคมะเร็งระหว่างประเทศที่เมืองลิยง ฝรั่งเศส ได้พบในการศึกษาคนไข้โรคมะเร็งปอด 2,141 คน เปรียบเทียบกับผู้ที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีอีก 2,168 คนว่า ผู้ที่ชอบกินผักพวกกะหล่ำปลี เช่น กะหล่ำปลี บรอคโคลี และกะหล่ำปมบางคน จะแคล้วคลาดจากโรคได้ห่างไกล แม้ว่าจะยังไม่อาจรู้สาเหตุได้ รู้แต่ว่าพวกผักเหล่านี้มีสารเคมีที่มีชื่อว่า

ไอโสทิ? โอไซยาเนตส์ ที่มีสรรพคุณป้องกันปอดจากมะเร็งได้อยู่อย่างอุดม

นักวิจัยเชื่อว่าอาจเป็นเพราะยีนในร่างกาย 2 ตัวเป็นเหตุ ยีนคู่นี้จะสร้างเอนไซม์กำจัดสารเคมีจากผักเหล่านั้นลงไปหมด จึงเป็นเฉพาะแต่ผู้ที่มียีน 2 ตัวนี้ตายด้านแล้วเท่านั้น จึงจะได้คุณประโยชน์ของผักในการป้องกันโรคมะเร็ง

รายงานการศึกษาได้สรุปว่า ผู้ที่ยังมียีนคู่นี้ตัวใดตัวหนึ่งที่ยังปกติอยู่จะได้คุณจากการบริโภคผักเหล่านั้น ช่วยคุ้มโรคได้มากระหว่าง 33-37% เท่านั้น แต่หากเป็นผู้ที่มียีนทั้งคู่ตายด้านลงหมดจะได้รับการคุ้มโรคสูงถึง 72%

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์

2012-10-27

หัวหอมสดยาชั้นเลิศในการเพิ่ม HDL

หัวหอมสดยาชั้นเลิศในการเพิ่ม HDL


ดร.วิคเตอร์ เกอร์วิช คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเกี่ยวกับหัวใจ และศาสตราจารย์แห่ง Harvard Medical School กล่าวว่า หัวหอมสดถือเป็นยาชั้นเลิศในการเพิ่ม HDL คอเลสเตอรอลชนิดดี หอมหัวใหญ่ครึ่งหัวหรือน้ำที่สกัดจากน้ำในหอมหัวใหญ่ปริมาณเดียวกันช่วยเพิ่ม HDL ได้ถึงร้อยละ 30 ในคนที่เป็นโรคหัวใจหรือมีปัญหาคอเลสเตอรอล

ความคิดบรรเจิดเกี่ยวกับหัวหอมนี้ คุณหมอได้จากการแพทย์แบบหมอชาวบ้าน และได้ทำการทดสอบกับคนไข้ที่คลินิก ซึ่งประสบความสำเร็จดีมาก จนคุณหมอแนะนำให้คนไข้ทั้งหมดรับประทานหัวหอม แต่ควรกินสด ๆ นะคะ เพราะหัวหอมยิ่งโดนความร้อนจากการปรุงมากเท่าไร พลังในการเพิ่ม HDL คอเลสเตอรอลตัวดีก็ลดลงไปมากเท่านั้น แต่หัวหอมสุกก็ยังมีประโยชน์ต่อหัวใจในด้านอื่น ๆ นะคะ

คุณหมอเกอร์วิชยังไม่แน่ใจว่าสารอะไรในหัวหอมกันแน่ที่เพิ่ม HDL อาจมีสารเดียวหรือมีเป็นร้อยก็ได้ การรักษาด้วยหัวหอมของคุณหมอประสบความสำเร็จกับคนไข้ถึงร้อยละ 70 ค่ะ ถ้าคุณไม่สามารถกินหัวหอมได้ถึงครึ่งหัวต่อวัน ก็กินเท่าที่กินได้ก็แล้วกัน กินน้อยก็ยังช่วยได้ หรือลองทำยำหรือลาบ โดยใส่หัวหอมสดซอยเยอะ ๆ ซิคะ ทั้งแซบทั้งดีกับหัวใจ

*ลาบเต้าหู้
ส่วนผสม


เห็ดหูหนูขาวแช่น้ำและสับหยาบ ๆ 1 ถ้วย
เต้าหู้ขาวชนิดแข็งยีละเอียด 1 ถ้วย
หอมใหญ่ซอย 1 ถ้วย
หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย
ต้นหอมซอย 1 ถ้วย
ผักชีใบยาวซอย 1 ถ้วย
ใบสะระแหน่ 1 ถ้วย
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ
ข้าวคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายแดงเล็กน้อยเพื่อปรุงรส

วิธีทำ
1.นำข้าวกล้องมาคั่วไฟพอหอม แล้วใส่เครื่องปั่นให้ละเอียด
2.นำเต้าหู้มายีโดยใช้ส้อม อย่าให้เละมาก ต้องยังป็นชิ้น นำไปคั่วในกระทะให้แห้ง ตักพักไว้
3.ลวกเห็ดหูหนูขาวที่หั่นแล้ว พอสุกตักใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำ
4.นำเต้าหู้และเห็ดหูหนูขาวมาคลุกรวมกัน ใส่หอมใหญ่และหอมแดงซอย น้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาว พริกป่น ข้าวคั่ว ต้นหอมซอยและผักชี คลุกให้เข้ากัน ชิมรสให้ถูกใจ ตักใส่จาน โรยด้วยใบสะระแหน่.

ที่มา : เดลินิวส์ (ออนไลน์)

เปลือกมังคุดแก้ร้อนใน


เจ้าอาการร้อนในมีแผลในปากนั้น ทฤษฎีตะวันออกอย่างของไทยหรืออายุรเวทของอินเดียบอกว่า เป็นได้ง่ายมากกับคนที่มีธรรมชาติที่ค่อนข้างร้อน ซึ่งมักจะเรียกกันว่ามีธาตุไฟเป็นเจ้าเรือน และความที่มีธาตุไฟอยู่มาก ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ธาตุไฟที่ว่าจะกำเริบเอาได้ง่ายๆ ถ้ากินอาหารหรือมีพฤติกรรมที่ไปเพิ่มธาตุไฟในตัวเข้าไปอีก

คนที่ธาตุไฟกำเริบมักมีอาการ เช่น ปวดแสบปวดร้อนในท้อง รุ่มร้อนตามเนื้อตัว ปากคอแห้ง กระหายน้ำบ่อย เป็นแผลพุพองอักเสบ ตามผิวหนัง คล้ายๆ กับว่าไฟที่มันกำเริบนั้นมาเผาผลาญเนื้อตัวเรายังไงยังงั้น แผลที่ผุดขึ้นตามริมฝีปากด้านในหรือตามกระพุ้งแก้ม ในทางแผนไทยเราก็ถือว่าเป็นอาการธาตุไฟกำเริบเหมือนกัน ที่มักจะเรียกกันคุ้นปากคุ้นหูว่าร้อนในนั่นเอง

มานั่งไตร่ตรองดูแล้วคิดได้ว่า การที่เลี่ยงของร้อนมากินอาหารหรือมีพฤติกรรมที่ช่วยให้ร่างกายเย็นนั้น เป็นการระงับดับธาตุไฟโดยรวมๆ ในตัวเท่านั้น แต่แผลในปากนั้นมันคล้ายๆ กับว่าธาตุไฟมันกำลังไปเผาผลาญอยู่ตรงนั้นแล้ว น่าจะต้องไปดับไฟตรงนั้นด้วย แล้วก็ให้บังเอิญว่าเย็นวันนั้นเพื่อนอีกคนซื้อมังคุดติดมือมา จึงได้คิดว่าเปลือกมังคุดนั้นมีรสฝาดซึ่งตามตำราบอกว่าช่วยสมานแผลได้ดี อีกทั้งตำรายาไทยยังบอกอีกว่าเปลือกมังคุดใช้ทารักษาแผลเปื่อยพุพอง ต้มชะล้างบาดแผลได้

ก็เลยจัดแจง ดังนี้
1.เอาเปลือกมังคุดที่ผ่าครึ่งแล้ว 4 ซีก ต้มกับน้ำ 4 แก้ว ปล่อยให้เดือดนานอยู่ราว 10 นาที
2.ทิ้งให้เย็น แล้วก็เอาน้ำมาอมและกลั้วปากไปมา อมไว้สักพักแล้วก็บ้วนทิ้ง
เนื่องจากเปลือกมังคุดมีรสฝาดจัด พออมครั้งเดียวเท่านั้นรู้สึกว่าหลุมนรกในปากนั้นมันหดรัดทันตาเห็น ก็อม กลั้ว บ้วน จนกระทั่งน้ำเปลือกมังคุดที่ต้มไว้หมด พอวันรุ่งขึ้นแผลในปากที่ทำให้ทรมานมาหลายวันก็ดีขึ้น ปากที่ห้อยย้อยกลับเข้าที่ พออีกวันก็ยิ้มออก แผลหายสนิท


น้ำใบเตยหอม


วันนี้ขอเสนอสมุนไพรใบเตย ที่มีสรรพคุณในการบำรุงหัวใจ แก้เบาหวาน ขับปัสสาวะ ซึ่งทำให้ความดันโลหิตสูงลดลงได้ ที่สำคัญสามารถหาได้ง่ายๆในทุกที่

น้ำใบเตยหอม
ส่วนผสม
1. ใบเตยสด 3 ถ้วย
2. น้ำสะอาด 8 ถ้วย
3. น้ำตาลทราย 2 ถ้วย(สามารถลดปริมาณของน้ำตาลลงได้)
4. น้ำแข็ง


วิธีทำ
ใบเตยสดที่ไม่แก่มากเก็บใหม่ๆ ล้างทีละใบให้สะอาด แช่น้ำด่างทับทิมหรือน้ำเกลือ 10-15 นาที นำมาหันตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งใส่ลงในหม้อต้มที่มีน้ำกำลังเดือด ต้มเคี่ยว 5-10 นาที เติมน้ำตาลทรายให้รสหวานจัด กรองเอากากออก ใบเตยที่หั่นแล้วส่วนที่สองปั่นให้ละเอียด โดยเติมน้ำ กรองเอากากออก เติมน้ำที่คั้นได้ซึ่งมีสีเขียวและกลิ่นหอมลงในหม้อที่เติมน้ำตาลและกำลังเดือด ชิมให้มีรสหวาน พอเดือดรีบยกลง เมื่อดื่มใส่น้ำแข็งบดละเอียด
คุณค่าทางโภชนาการ
ใบเตยสดมีน้ำมันหอมระเหย รสหวาน หอม มัน และมีสีเขียวที่นิยมใช้แต่งสีอาหาร เป็นสารคลอโรฟิลล์


สรรพคุณ

ใบสด : ต้มกับน้ำดื่ม ลดอาการกระหายน้ำ ทำให้ชุ่มชื่น บำรุงหัวใจ
ต้นและราก : เป็นยาขับปัสสาวะ รักษาโรคเบาหวาน และแก้กษัยน้ำเบาพิการ

 

ครีมหัวไชเท้าแก้ฝ้า

ฝ้า เป็นสิ่งที่ทำลายความสวยงามของใบหน้าได้อย่างโหดร้ายที่สุด ผู้หญิงคนไหนก็ไม่อยากเผชิญกับมัน ทั้งกลุ้ม ทั้งกังวล จริงไหมค่ะ เรามีสูตรสมุนไพรช่วยรักษาฝ้าที่เห็นผลมาแนะนำให้ทำใช้กันค่ะ

ครีมหัวไชเท้า
สรรพคุณ รักษาฝ้า จุดด่างดำบนใบหน้า
ตัวยาประกอบด้วย
1. หัวไชเท้า 1/2 หัว
2. รำข้าว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1.   ปอกเปลือกหัวไชเท้า ล้างน้ำให้สะอาด

2.   หั่นหัวไชเท้าเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปปั่น

3.   ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำมาผสมกับรำข้าว ก็จะได้ครีมหัวไชเท้า

วิธีใช้ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วใช้ครีมหัวไชเท้า พอกให้ทั่วบริเวณใบหน้า หรือบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก ทำติดต่อกันทุกวัน ฝ้าจะค่อยๆ หายไป

2012-10-26

8 อาหารธรรมชาติที่ช่วยรักษาสุขภาพ

8 อาหารธรรมชาติที่ช่วยรักษาสุขภาพ


1. บร็อคโคลี่ แชมป์เปี้ยนผักในตระกูลกะหล่ำที่เป็นที่นิยมของนักบริโภคทั่วโลก ประโยชน์
ของบร็อคโคลี่มีเยอะมาก ๆ
-ช่วยป้องกันมะเร็ง
- อุดมด้วยวิตามินซี สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย และยังช่วยให้ผนังเส้นเลือดแข็งแรงอีกด้วย
-ประกอบด้วยสารกลูตาทอน ซึ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดไขข้ออักเสบ เบาหวาน และ โรคหัวใจ และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยลดความดันโลหิตสูง
-ป้องกันการเกิดต้อกระจก เนื่องจากบร็อคโคลี่จะมีสารเบต้าแคโรทีนสูง
-ขนาดรับประทาน บร็อคโคลี่ ½ ถ้วย ต่อสัปดาห์ ก็จะดีต่อสุขภาพของคุณแล้วละค่ะ

2. กระเทียม ช่วยลดคลอเลตเตอรอล มีฤทธิ์คล้ายกับยาแอสไพรินในการช่วยป้องกันในการช่วยป้องกันการแข็งตัวและการอุดตันของหลอดเลือด มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้เหมือนกับยาเพนนิซิลิน และยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็งลำไล้ใหญ่ และมะเร็งเต้านมอีกด้วย
v ขนาดรับประทาน การป้องกันโรคหัวใจรับประทานวันละ 1 กลีบ โดยทั่วไปให้ทานทุกวันปริมาณเท่าไรก็ได้

3. ถั่วแดง เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารสูงมาก ดังนั้น จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ อุดมด้วยกรดโฟลิค ที่ช่วยบำรุงโลหิต ป้องกันความผิดปกติของทารกในครรภ์ป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ดีอีกด้วย
v ขนาดรับประทาน ควรรับประทาน 1 ถ้วย / วัน

4. นมพร่อมมันเนย เป็นแหล่งของแคลเซียมสูงที่ปลอดไขมัน ซึ่งป้องกันภาวะกระดูกพรุน และยังประกอบด้วยสารโปตัสเซียมและแมกนีเซียมที่ออกฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิตสูง
ขนาดรับประทาน คนวัยหนุ่มสาวต้องการแคลเซียมวัยละ 1,000 mg ส่วนวัยสูงอายุจะต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 mg
5. ส้ม ยอดผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินสูง เส้นใยอาหารสูง รวมทั้งสารอาหารชนิดอื่น ๆ ซึ่งช่วยป้องกันหวัด ลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยในการสร้างกระดูก ป้องกันการเกิดนิ่วในไต ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตลอดจนช่วยฟื้นฟูอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ นอกจากนี้ สาร phytochemicals ในส้มยังช่วยต่อต้านมะเร็งเต้านมด้วย
v ขนาดรับประทาน ควรรับประทานวันละ 1 -2 ผล เป็นประจำทุกวัน
6. ปลาแซลมอน มีปริมาณน้ำมันปลาที่เรียกว่า โอเมก้า 3 ค่อนข้างสูง ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจ และช่วยควบคุมอาการไขข้ออักเสบ ยังช่วยลดอาการปวดรอบเดือน รวมทั้งช่วระงับอาการซึมเศร้าได้ด้วย
v ขนาดรับประทาน รับประทานสัปดาห์ละ 3 ออนซ์

7. เต้าหู้ ช่วยลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล อุดมด้วยสารเอสโตรเจนธรรมชาติจากพืชป้องกันกระดูกพรุน มะเร็งเต้านม และยังช่วยให้ไตทำงานได้ดีด้วย
v ขนาดรับประทาน 30 -50 mg / วัน หรือเท่ากับปริมาณ เต้าหู้ ½ ถ้วย

8. ซอสมะเขือเทศ ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหาร สาร lycopene ในมะเขือเทศเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้ดี
ขนาดรับประทาน รับประทานได้ปริมาณตามใจชอบเป็นประจำทุกวัน

ที่มา : Spicy




2012-10-25

สะระแหน่...คุณค่าที่คนมักมองข้าม

สะระแหน่...คุณค่าที่คนมักมองข้าม


หอมด่วน หอมเตือน มักเงาะ สะแน่...

พูดชื่อเหล่านี้ขึ้นมา หลายคนอาจจะถาม ?108 เคล็ดกิน? ว่ากำลังพูดภาษาอะไรอยู่กันแน่ ไม่ต้องแปลกใจไป เพราะนี่เป็นชื่อเรียก ผักสวนครัว อย่าง ?สะระแหน่? โดยหอมด่วน และหอมเตือน เป็นภาษาของภาคเหนือ ทางภาคใต้เรียกว่ามักเงาะ สะแน่ ส่วนฝรั่งก็เรียกสะระแหน่ว่ามินท์

คราวนี้ ?108 เคล็ดกิน? เอาเรื่องสะระแหน่มานำเสนอ เพราะเห็นว่า ผักชนิดนี้มักจะถูกนำมา ประดับในอาหาร ประเภทลาบ ยำ อยู่บ่อยๆ แต่หลายคน ก็เห็นสะระแหน่ เป็นแค่ไม้ประดับจริงๆ เพราะมันมักจะถูกวางทิ้งขว้างไว้ข้างจาน อย่างน่าเสียดาย คุณประโยชน์ของมัน

ประโยชน์ที่ว่าก็คือ สะระแหน่ใช้เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการ หวัดได้ และยังสามารถแก้อาการ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ และหากนำน้ำ ที่คั้นจากต้น และใบมาใช้ดื่ม ก็จะช่วยขับลมในกระเพาะได้ หรือใครจะกินสดๆ เพื่อดับกลิ่นปากก็ยังได้ นอกจากนี้ การบริโภคสะระแหน่ ยังช่วยให้สมองปลอดโปร่ง โล่งคอ ป้องกัน ไข้หวัด บำรุงสายตา และช่วยให้หัวใจแข็งแรง

หากใครมีอาการปวดศีรษะ ปวดฟัน เจ็บคอ เจ็บปาก เจ็บลิ้น ก็ให้ดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง น้ำต้มใบสะระแหน่ ยังสามารถรักษา อาการบิดท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด ส่วนการแก้พิษ แมลงสัตว์กัดต่อย ทำได้โดยตำใบ สะระแหน่ให้ละเอียด แล้วพอกบริเวณ ที่โดนกัด อย่าลืมว่า ใบสะระแหน่ ที่สดและอ่อน จะมีคุณค่ามากกว่าใบสะระแหน่แห้ง

คราวนี้ก็อย่าปล่อยให้สะระแหน่เป็นเพียงไม้ประดับจานหรือเครื่องแต่งกลิ่นเท่านั้น แต่จงจัดการให้เรียบ อย่าให้เหลือ ไม่อย่างนั้น น่าเสียดายแย่เลย

ที่มา : ผู้จัดการ

2012-10-19

โสน ผักพื้นบ้าน อาหารแบบไทยๆ

 

โสน ผักพื้นบ้าน อาหารแบบไทยๆ


วงศ์ : PAPILIONACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sesbania javanica Miq.
ชื่ออังกฤษ : Sesbania flowers
ชื่อพื้นเมือง : โสนหิน(กลาง) ผักฮองแฮง(เหนือ) สีปรีหลา(กระเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) โสนกินดอก(กลาง)


เพลงพื้นบ้านของคนไทยแถบลุ่มน้ำภาคกลาง ที่ว่า "เจ้าดอกโสนบานเช้า ดอกคัดเค้าบ้านเย็น ดอกประดู่เป็นคู่เล่น ค่ำแล้วไม่เห็นมาเลย" บ่งบอกธรรมชาติของดอกโสนได้เป็นอย่างดีว่าเป็นดอกไม้บานตอนเช้า กลิ่นหอมอ่อนๆ ในปลายฤดูฝนเรามักเห็นต้นโสนออกดอกเป็นช่อสีเหลืองละลานตา แถบลุ่มน้ำหรือริมทางในภาคกลาง หรือภาคเหนือบางท้องที่


โสนในเมืองไทยมีหลายพันธุ์ คือโสนหิน โสนคางคก โสนหางไก่ใหญ่ โสนหางไก่เล็ก เนื้อไม้ของโสนใช้ประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรมเบาของภาคกลาง ไม้โสนใช้ทำเป็นของเล่นเด็ก ในปัจจุบันคนอยุธยาใช้เนื้อไม้จากต้นโสนประดิษฐ์เป็นดอกไม้หลายรูปแบบ เช่น ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ดอกจำปา เป็นต้น เนื่องจากเยื่อไม้ของต้นโสนเป็นไม้เนื้อบาง เบาเหนียว สามารถนำมาประดิษฐ์เป็นดอกไม้ได้อย่างปราณีต และงดงาม ชาวบ้านเล่าว่า การใช้ไม้โสนมาประดิษฐ์เป็นดอกไม้ นำมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา นับเป็นการใช้วัสดุธรรมชาติได้อย่างแยบยล และเป็นรายได้เสริมกับชาวบ้านในท้องถิ่น (โสนที่นำมาทำเป็นดอกไม้ประดิษฐ์เป็นโสนชนิดที่มีลำต้นใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. และต่างชนิดกับโสนกินดอก) และไม้โสนยังใช้เป็นทุ่นหรือเชื้อติดไฟได้

สำหรับโสนที่ใช้รับประทานเป็นอาหาร คือ โสนหิน หรือโสนกินดอก ท่านผู้รู้กล่าวว่า ยังมีโสนชนิดหนึ่ง ต้นใหญ่กว่าโสนหิน สามารถรับประทานใบอ่อน และดอกได้เช่นกัน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
โสนเป็นไม้สกุลเดียวกับแค และเป็นไม้ล้มลุกปีเดียว พบในพื้นที่ที่มีน้ำขังสูงประมาณ 1-4 เมตร ใบเป็นใบประกอบมีใบย่อย 10-30 คู่ ใบสีเขียว ใบรูปร่างรีและกลม ปลายใบมน ใบยาว 1.2-2.5 ซม. กว้าง 2-4 มม. ดอกเป็นดอกช่อกลีบดอกสีเหลือง แต่ละช่อมีดอกย่อย 5-12 ดอก ช่อดอกยาวประมาณ 10 ซม. ดอกย่อยยาว 2.5 ซม. บางครั้งกลีบนอกมีจุดกระสีน้ำตาล หรือสีม่วงแดง กระจายอยู่ทั่วไป ฝักผอมและยาว ยาวประมาณ 18-20 ซม. กว้าง 4 มม. ฝักอ่อนสีเขียวเมื่อแก่กลายเป็นสีม่วงและสีน้ำตาล เมล็ดเล็กเรียงอยู่ภายในฝัก

การปลูก
โสนขึ้นได้ในบริเวณที่มีน้ำขังเจริญได้ในดินแถบภาคกลาง และดินเหนียว โสนขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด

ประโยชน์ทางยา
โสนมีรสจืด เย็น สรรพคุณแก้พิษร้อน ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ปรุงเป็นยาพอกแผลได้

ประโยชน์ทางอาหาร
ส่วนที่เป็นผัก / ฤดูกาล ยอดอ่อนดอกตูมและดอกบานของโสนใช้เป็นผักได้ ดอกโสนออกในช่วงปลายฤดูฝนประมาณเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม ในช่วงที่โสนออกดอก ในตลาดสดภาคกลางและภาคเหนือบางจังหวัดจะมีดอกโสนจำหน่ายด้วยชาวบ้านมักเก็บดอกโสนในช่วงเย็น จะทำให้ได้ดอกตูม น่ารับประทาน

การปรุงอาหาร ดอกโสนปรุงเป็นอาหารได้หลายชนิด

วิธีแรกคือ นำมารับประทานร่วมกับน้ำพริก โดยรับประทานยอดอ่อนและดอกแบบผักสด หรือนำมาลวกให้สุกก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำดอกโสนมาผัดน้ำมันและพรมน้ำปลาเล็กน้อย เป็นโสนผักน้ำมัน หรืออาจนำมาลวกและลาดด้วยกะทิ นำมา เป็นผักจิ้มรับประทานกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกกะปิ หรือน้ำพริกมะขาม

วิธีที่สองคือนำดอกโสนมาทอดผสมกับไข่ (ทำคล้ายกับชะอมชุบไข่) นำไปรับประทานกับข้าวหรือรับประทานร่วมกับน้ำพริกก็ได้วิธีที่สาม คือ นำดอกโสนมาแกงส้มกับปลาช่อน

ในช่วงปลายหน้าฝน ดอกโสนออกเป็นจำนวนมาก บางบ้านจะนำดอกโสนมาดองเก็บไว้รับประทานนานๆ การดองดอกโสนทำได้โดย นำดอกโสนล้างให้สะอาด และใส่ไว้ในขวดโหลแก้ว หรือภาชนะกระเบื้อง จากนั้นปรุงน้ำที่ใช้ดองโดยนำเกลือป่นผสมในน้ำซาวข้าวให้ออกรสเค็มเล็กน้อย เติมน้ำตาลทรายเล็กน้อย และนำน้ำที่เตรียมไว้เทลงในภาชนะที่ใส่ดอกโสนพอท่วมพอดี ปิดฝาทิ้งไว้ 1 วัน รับประทานได้ถ้าทิ้งไว้นาน จะเปรี้ยวมากขึ้น ดอกโสนดองมักรับประทานร่วมกับน้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาร้า หรือน้ำพริกปลาทูก็ได้

นอกจากปรุงเป็นอาหาร ดอกโสนยังปรุงเป็นขนมดอกโสนได้ โดยนำดอกโสนมานึ่งให้สุก นำมาคลุกรวมกับแป้งข้าวเหนียว แป้งสาลี มะพร้าว และน้ำตาลดอกโสนยังให้สีเหลือง สามารถคั้นน้ำจากดอกมาทำเป็นขนมบัวลอย และขนมตาลได้อีกด้วย

รส และประโยชน์ต่อสุขภาพ
ดอกโสนมีรสจืด มัน อมขมเล็กน้อย ดอกโสน 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 40 กิโลแคลอรี่ มีเส้นใย 3.9 กรัม แคลเซียม 51 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 56 มิลลิกรัม เหล็ก 8.2 มิลลิกรัม วิตามินเอ 3336 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.26 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.40 มิลลิกรัม ไนอาซิน 2.8 มิลลิกรัม วิตามินซี 24 มิลลิกรัม

2012-10-18

ผักพื้นบ้านไทยสู้มะเร็งร้ายได้

ผักพื้นบ้านไทยสู้มะเร็งร้ายได้

อ. สุรัตน์วดี จิวะจินดา ศูนย์ปฏิบัติการและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์กำแพงแสน จ.นครปฐม ได้นำพืชผักพื้นบ้านไทยกว่า 100 ชนิด มาวิจัยทดลอง ผลปรากฏว่า มีผักไทยร่วม 90 ชนิดที่มีคุณสมบัติต้านเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งหมายถึงสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง ไม่ให้เซลล์มะเร็งร้ายลุกลามขยายตัวเร็วจนเกินไป ช่วยให้ร่างกายคนป่วยไม่โทรมเร็ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้หายขาดได้นะคะ อย่าเข้าใจผิดค่ะ

ผักไทยที่สู้กับมะเร็งร้ายได้ อ. สุรัตน์วดี จัดแบ่งไว้ 4 ประเภท ดังนี้ค่ะ

ประเภทแรก ผักที่มีฤทธิ์ต้านการลุกลามขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้มากกว่า 70 % เซลล์มะเร็งที่เคยขยายตัวได้ 100% เจอผักเหล่านี้เข้าไป เซลล์มะเร็งจะเพิ่มจำนวนได้ไม่เกิน 30 % ค่ะ
ผักประเภทนี้มีให้เลือกกินได้ตั้งแต่ ผักขี้ขวง(สะเดาดิน) ผักโขมหัด มะระขี้นก ใบมะม่วง เพกา(มะลิดไม้) ดอกแก้วเมืองจีน ตังโอ๋ แขนงกะหล่ำ ปีแซ ตะไคร้ ชะมวง โหระพา ใบยี่หร่า(กระเพราช้าง) แมงลัก ถั่วลันเตา แคบ้าน ผักแว่น ยอดสะเดา(ต้ม) พริกไทย มะกรูด มะแขว่น ชะพลู ใบพลู ผักไผ่(ผักแพว) ใบยอ ผักคาวทอง(พลูคาว) ผักขะแยงง ขึ้นช่าย ใบบัวบก ผักชี ผักชีฝรั่ง หอมแย้ กระชาย ข่า ขิงแก่

ประเภทที่ 2 หยุดเซลล์มะเร็งขยายตัวได้ 50 - 70% ได้แก่ หัวไชเท้า ฟัก สะระแหน่ ขี้เหล็ก(ดอก) แคบ้าน ยอดสะเดา(สด) หยวกกล้วย พริกหยวก ผีกชีลาว ขิงอ่อน

ประเภทที่ 3 มีฤทธิ์น้อยลงมาหน่อย หยุดเซลล์มะเร็งได้ 30 - 50% ได้แก่ ผักบุ้ง บวบหอม มะดัน ขี้เหล็ก เมล็ดกระถิน มะขาม มะขามเทศ มะเดื่อ มะเขือม่วง มะเขือเทศ มะเขือยาว มะเขือพวง มะอึก กระเจี๊ยบมอญ

ประเภทที่ 4 หยุดเซลล์มะเร็งได้เล็กน้อย ยับยั้งได้น้อยกว่า 30% ได้แก่ ผักกูด เห็ดลม เห็ดนางฟ้า มะกอก เผือก ยอดผักปลัง ดอกผักปลัง ผักกาดแก้ว กะหล่ำปลี กะหลำปลีม่วง บวบงู แตงโม มะระจีน สะตอ ลูกเหนียง ถั่วพู ดอกโสน หอมแดง หอมหัวใหญ่ ต้นกระเทียม กุยช่าย หน่อไม้ฝรั่ง ดอกกระเจี๊ยบ สายบัว เห็ดหอม พริก มันฝรั่ง แครอท

เห็นมั้ยคะ ผักพื้นบ้านไทย หาได้ง่ายๆ สรรพคุณเบาซะที่ไหน นิยมไทย เห่อของไทย ดีกว่าค่ะ

น้ำผัก ผลไม้ บำรุงผิวพรรณ เพื่อสุขภาพ

การดื่มน้ำ เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณมากค่ะ เพราะร่างกายเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด ปัจจุบันนักธรรมชาติบำบัดบางท่าน ยังเลือกใช้น้ำผักผลไม้ซึ่งอาจผสมสมุนไพรหรือสารอาหารบางชนิดลงในสูตรตำรับโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อบำรุงร่างกาย บำรุงผิวพรรณ

นอกจากการใช้น้ำดื่มเป็นเครื่องดื่มเพื่อบำรุงสุขภาพ และเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายนักธรรมชาติบำบัดบางท่านยังเลือกใช้น้ำผักผลไม้ซึ่งอาจผสมสมุนไพรหรือสารอาหารบางชนิดลงในสูตรตำรับโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อบำรุงร่างกาย เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ ความแข็งแกร่งของร่างกาย กระตุ้นจิตใจ หรือทำจิตใจให้สงบชะลอความชราบรรเทาโรคในช่องอก ทางเดินหายใจ รักษาโรคหลายชนิด ฯลฯ เพื่อคุณจะได้ทดลองเตรียมเครื่องดื่มบรรเทาโรค และบำรุงผิวพรรณตนเองให้ดูสุขภาพดีจากภายใน เสริมการรักษาได้ด้วยตนเอง ดังนี้ค่ะ

สูตรแนะนำ

1. น้ำแครอท 180 มิลลิกรัม
2. น้ำผักคะน้า 90 มิลลิกรัม
3. น้ำวีทกราส 30 มิลลิกรัม
4. หอมแดงหรือกระเทียม 1-2 กลีบ

สิวและโรคผิวหนังบางชนิด อาจเกิดจากสาเหตุภายนอกเช่นแบคทีเรีย เชื้อรา และสาเหตุภาย
ใน เช่นความเครียด และฮอร์โมนในร่างกายเสียสมดุล สิวอาจเกิดจากการที่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังทำงานมากเกินไป สารพิษหรือสารเคมีจากเครื่องสำอางก็สามารถกระตุ้นให้สิวเห่อได้ บางคนใช้เครื่องสำอางยี่ห้อนี้ได้ ยี่ห้อโน้นไม่ได้ สิวกำเริบทันที ต้องหมั่นสังเกตค้นหาสาเหตุด้วยตนเอง อย่ารอให้แพทย์ดูแลแทนคุณ เพราะคุณมีเวลาดูแลร่างกายวันละ 24 ชั่วโมง หมออาจมีเวลาให้คุณแค่ 10 นาที ระวังอย่าให้ขาดน้ำ ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำผักผลไม้ให้มากไว้ ระวังอย่าให้ท้องผูก ระวังของหวาน อาหารที่ปรุงด้วยแป้งสาลี (อาหารสำเร็จรูปจำพวกขนมขบเคี้ยวเกือบทุกชนิด เค้ก ขนมปัง) ช็อกโกแลตและความเครียดกระตุ้นสิวได้ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ น้ำผักและผลไม้ต่อไปนี้ช่วยคุณได้ สาหร่ายสไปรูลีน่าและสาหร่ายน้ำจืดอื่นๆ กระเทียม หอม น้ำผักผลไม้ที่สีเหลืองส้ม เขียวเข้ม มันฝรั่ง วีทกราส ยีสต์


ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ดูอ่อนกว่าวัย ดื่มน้ำผลไม้ น้ำผัก สด


สุขภาพที่ดี อายุยืนยาว ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ดูอ่อนกว่าวัย ดื่มน้ำผลไม้ น้ำผัก สด เป็นประจำ

การรักษาโดยไม่ใช้ยา หรือธรรมชาติบำบัดได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเเฉพาะอย่างยิ่งการดื่มน้ำผักผลไม้สด กลายมาเป็นส่วนสำคัญในการะบวนการธรรมชาติบำบัด
การรักษาโรคด้วยการดื่มน้ำ ผัก ผลไม้ สด เป็นแนวทางที่ชัดเจน และไม่นำเสนอทางเลือกอื่นให้เลือกปฏิบ้ติ ไม่ว่าเพื่อการรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ตลอดจนโรคเรื้อรัง หรือโรคที่รักษายาก น้ำ ผัก ผลไม้ สด ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณมีความสุขกับการมีสุขภาพดีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ร่างกายของคุณสดชื่นขึ้นอีกด้วยการดื่มน้ำ ผัก ผลไม้ สด และรับประทานอาหารสดได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพในหลายกรณีศึกษา ซึ่งการรักษาโดยวิธีการสมัยใหม่ประสบความล้มเหลว เพราะอนุภาคที่เป็นพิษในตัวยารักษาโรคเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย และบ่อยครั้งยาเหล่านั้นยืดเวลาเจ็บป่วยมากกว่าการรักษาให้หายขาด ยาอันตราย เช่น ยากล่อมประสาท (Thalidomide) ซึ่งปัจจุบันได้เลิกใช้ไปแล้วหลังจากที่มีการใช้ต่อเนื่องมาหลายปี ณ เวลานี้ ยาอันตรายเหล่านั้นได้รับการแทนที่ด้วยการรักษาที่ไม่ใช้ยา เช่น ธรรมชาติบำบัด โดยมีทั้งหมอและคนไข้จำนวนหนึ่งซึ่งมีแนวโน้มที่จะยอมรับการใช้อาหาร น้ำผักผลไม้ที่เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ในการบำรุงสุขภาพ และรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ (: ที่มาจากหนังสือ น้ำผักผลไม้รักษาโรค โดย ดร.ไดเรน กาลา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการรักษาสุขภาพแบบองค์รวม)

วิธีการทำน้ำ ผัก ผลไม้ ก็คือ ทำให้น้ำ และ กาก แยกออกจากกัน โดยที่เราเรียกวิธีการนี้ว่า "การคั้น" ประโยชน์ที่ได้จากการคั้นก็คือ กากใน ผัก ผลไม้ ที่ย่อยไม่ได้จะถูกแยกออกไป เหลือแต่สารอาหารล้วน ๆ จึงเข้มข้นกว่าการกิน ผัก หรือ ผลไม้สด ด้วยวิธีปกติ ตัวอย่างเช่น เมื่อรับประทานแคร์รอตสด ร่างการจะดูดซึมเบตาแคโรทีนไว้ได้เพียง 1% ขณะที่ 99% จับอยู่กับกากใย แต่การคั้นเป็นน้ำแคร์รอต กากใยจะถูกแยกออกไป คุณจะได้รับเบตาแคโรทีนใกล้เคียง 100% การคั้นน้ำพืช ผัก ผลไม้ ไว้ดื่มทุกวัน จึงเป็นวิธีง่าย ๆ ที่มั่นใจได้ว่า ร่างกายคุณจะได้รับวิตามิน เกลือแร่ และเอนไซม์ที่มีชีวิต อย่างเต็ม ๆ

นอกจากนี้ การดื่มน้ำ ผัก ผลไม้ ร่างกายยังได้รับ น้ำอันเป็นสารจำเป็นอย่างยิ่ง คนสมัยนี้ส่วนใหญ่ดื่มน้ำน้อยเกินไป บางคนดื่มแต่ของเหลวสังเคราะห์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำหวาน ซึ่งทำให้ร่างกายต้องใช้ น้ำมากขึ้นในการขับของเสีย และตามมาด้วยภาวะ ขาดน้ำซึ่งจะไม่เกิดขึ้นหลังการดื่มน้ำผักผลไม้การรับประทานผักสด และผลไม้มาก ๆ จะช่วยป้องกัน และรักษาความเจ็บไข้ได้ การวิจัยใหม่ ๆ พบว่า สารประกอบในพืชที่เรียกว่า ไฟโทเคมิคอล (phytochemicals) เป็นกุญแจไขสู่วิธีป้องกันโรครุนแรง และโรคร้ายแรง อย่างเช่น มะเร็ง โรคหัวใจ หอบหืด ข้ออักเสบเรื้องรัง และโรคภูมิแพ้ นอกจากนี้สารดังกล่าวยังชะลอความเสื่อมของร่างกาย ทำให้ดูเป็นหมุ่มเป็นสาวอยู่เสมอ

อย่า รอช้าหันมาดื่มน้ำผลไม้ ผัก เพื่อสุขภาพกันดีกว่า เพราะเดี๋ยวนี้การทำน้ำ ผัก ผลไม้ หรือ ต้นข้าวสาลีอ่อน (Wheatgrass) ไม่ใช่สิ่งที่ยากอีกต่อไป เนื่องจากมีเครื่องคั้นแยกกากชั้นดี ที่สามารถตอบสนองต่อการทำน้ำผลไม้ ผัก ต้นข้าวสาลีอ่อน (Wheatgrass) ได้อย่าง ง่ายดาย รวดเร็ว และ คงค่ารสชาด ผัก ผลไม้ ไว้เกือบ 100% "กินอาหารเป็นยา ดีกว่า กินยาเป็นอาหาร"

 

ใบบัวบก-สมุนไพร


บัวบก (Centella asiatica (Linn.) Urban) เป็นทั้งพืชสมุนไพรและผักพื้นบ้าน ที่คนในแถบเอเชียคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คนพม่ารู้จักการกินยำใบบัวบก คนมาเลเซียนิยมใช้ใบบัวบกผสมลงในเมนูสลัด ส่วนคนไทยนิยมใช้บัวบกเป็นเครื่องเคียง นิยมกินเป็นผักแกล้มกับลาภ ส้มตำ ซุปหน่อไม้ น้ำพริก หมี่กรอบ หรือก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ส่วนคนจีนเน้นการใช้ใบบัวบกเป็นยา ด้วยมีสรรพคุณแก้ช้ำใน ช่วยลดการกระหายน้ำ บำรุงกำลัง ซึ่งก็คล้ายกับในตำรายาไทยที่บอกว่า บัวบกมีรสเฝื่อนขม เย็น มีสรรพคุณช่วยแก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ ขับโลหิตเสีย และแก้ช้ำใน

ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อ 31 สิงหาคม ถึง 4 กันยายน ที่ผ่านมา มีการพูดถึงสมุนไพรยอดนิยมแห่งปีที่ จะเป็น Herb of the year และได้ให้นักวิจัย รวมทั้งพ่อหมอแม่หมอพื้นบ้านจากภาคต่าง ๆ และประชาชนทั่วไปมาร่วมกันให้ข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้สมุนไพรและลงคะแนนเสียงคัดเลือกสมุนไพรเด่นในดวงใจ ผลปรากฏว่า บัวบกชนะคะแนนอย่างท่วมท้น ด้วยความเป็นพืชผักพื้นบ้านที่คนไทยรู้จักดี และมีสรรพคุณที่โดดเด่นด้านการรักษาแผล ต้านการอักเสบ แก้อ่อนเพลีย ช้ำใน แก้ร้อนในกระหายน้ำ เป็นต้น

บัวบก (Asiatic pennywort) เป็นพืชล้มลุก ขึ้นเป็นกอ ลำต้นเลื้อยไปตามพื้นดิน แตกราก และใบตามข้อ เป็นพืชทีมีอายุหลายปี เรามักคุ้นเคยกับใบบัวบก แต่หลายคนกลับไม่เคยรู้และเห็นว่าบัวบกก็มีดอกด้วย ดอกของบัวบกเป็นดอกเดี่ยว หรือเป็นช่อเล็กๆ ประมาณ 3-4 ดอก สีม่วงแดง ผลมีลักษณะแบน บัวบกยังมีชื่อเรียกหลายชื่อต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น เช่น ผักแว่น ผักหนอก ปะหนะ และเอขาเด๊า

ปัจจุบันบัวบกถือเป็นหนึ่งในสมุนไพรยอดนิยมของชาวตะวันตก โดยเฉพาะในด้านประสิทธิภาพการผ่อนคลาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของความทรงจำ เนื่องจากมีการศึกษาทางเภสัชวิทยา เพื่อค้นหาสาระสำคัญหรือสารออกฤทธิ์ต่างๆที่มีอยู่ในใบบัวบกและพบว่า ใบบัวบกมีสารไกลโคโซด์หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั้น ซึ่งจะส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์อวัยวะต่างๆของร่างกายได้ นอกจากนี้ยังพบว่า สารไกลโคโซด์ในใบบัวบกยังช่วยส่งเสริมการสร้างคลอลาเจน จึงถูกนำมาใช้ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น สารสำคัญที่ว่านี้คือกรดมาดีคาสสิก (madecassic acid) และกรดเอเชียติก (asiatic acid) ซึ่งมีฤทธิ์ในการสมานแผล ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดหนองใน ด้วยเหตุนี้พ่อหมอแม่หมอพื้นบ้านจึงต่างยืนยันประสบการณ์ที่ตรงกันว่า ใบบัวบกสามารถนำมาใช้รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง หรือแผลหลังผ่าตัดได้เป็นอย่างดีเพราะบัวบกช่วยลดอาการอักเสบ ทำให้แผลหายเร็ว และรอยแผลเป็นมีขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังนิยมใช้รักษาแผลไฟไหม้ และน้ำร้อนลวกด้วย โดยนำใบบัวบกสดทั้งต้นประมาณ 1 กำมือ มาล้างน้ำให้สะอาดและตำให้ละเอียด เอาน้ำคั้นทาบริเวณที่เป็นแผลเป็นบ่อยๆหรือจะใช้กากพอกด้วยก็ได้ จะช่วยลดอาการอักเสบและทำให้แผลหายเร็วขึ้น

ส่วนการใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกนั้นให้ใช้ใบบัวบกทั้งต้นสดปริมาณ 1 กำมือ ล้างแล้วตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทาบริเวณที่เป็นแผล ผสมกับน้ำมันมะพร้าวทาวันละ 3-4 ครั้งจนหาย นอกจากรักษาแผลสดแล้ว ใบบัวบกยังสามารถใช้รักษาแผลเก่า แผลเป็นและรักษาโรคเรื้อนกวางได้อีกด้วย โดยนำบัวบกมาดองเหล้าประมาณ 7 วัน แล้วเอายามาทาผิวหนังวันละ 3 ครั้ง สำหรับผู้ที่เป็นโรคตับ ตับโต ตับอักเสบ ให้ใช้ต้นสดน้ำหนักประมาณ 240-550 กรัม นำมาต้มคั้นเอาน้ำขนาดชามใหญ่ดื่มทุกวันจะช่วยให้อาการดีขึ้น ส่วนการแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ หรืออ่อนเพลีย ให้ใช้น้ำคั้นจากใบสด ทำให้เจือจาง แล้วปรุงรสด้วยน้ำตาล ใส่น้ำแข็งดื่มเป็นเครื่องดื่มดับร้อนแก้กระหายได้เป็นอย่างดี

อีกหนึ่งสรรพคุณเด่นของบัวบก ที่พ่อหมอแม่หมอพื้นบ้าน บอกเล่าด้วยความคุ้นเคยก็คือ การใช้แก้อาการฟกช้ำ เพราะบัวบกมีส่วนช่วยให้เลือดกระจายตัว อาการฟกช้ำจึงทุเลา และเนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาเย็นจึงช่วยแก้กระหายน้ำและบำรุงร่างกายได้ด้วย ในประเทศฝรั่งเศสมีการพัฒนายาจากบัวบก โดยผลิตในรูปของครีมทาแดด ยาผงโรยแผล ยาเม็ด รับประทาน พลาสเตอร์ปิดแผลและยาฉีด เพื่อใช้ในการรักษาแผลสดและแผลหลังผ่าตัด ในบ้านเราก็มีผู้การผลิตครีมจากสารสกัดบัวบก เพื่อใช้ทาแผลสดและบริเวณฟกช้ำซึ่งใช้ได้ผลดี

บัวบกยังเป็นสมุนไพรที่ดีสำหรับผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วย จากประสบการณ์ของหมอพื้นบ้านพบว่าเมื่อดื่มน้ำบัวบกทุกวันเป็นประจำเพียง 1 สัปดาห์ก็จะพบว่าความดันโลหิตลดลงได้ อีกทั้งยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ขับปัสสาวะ รักษาแผล แก้โรคปวดเมื่อย แก้โรคเรื้อน แก้กามโรค และตับอักเสบอีกด้วย ในขณะที่เมล็ดของบัวบกซึ่งมีรสขมเย็น ถูกใช้เพื่อรักษาอาการบิด แก้ไข้และปวดศีรษะ

มีรายงานการทดลองและวิจัยที่พอน่าเชื่อถือได้ ระบุว่า บัวบกสามารถแก้อาการปวดเมื่อย เจ็บหน้าอก เจ็บหลัง เจ็บเอวได้ด้วย โดยใช้ต้นแห้งบดเป็นผงรับประทานวันละ 3-4 ครั้ง แบ่งรับประทาน 3 ครั้ง หากใช้แก้ตับอักเสบให้ใช้ต้นสด 120 กรัม ผสมน้ำ 500 มิลลิลิตร นำไปต้มให้เหลือ 250 มิลลิลิตร ปรุงด้วยน้ำตาลกรวด 60 กรัม รับประทานขณะที่ยังร้อน โดยแบ่งรับประทาน 2 ครั้ง ตอนท้องว่าง ติดต่อกัน 7 วัน เป็น 1 รอบของการรักษา

นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาวิจัยที่พบว่า สารสกัดใบบัวบกนั้นมีฤทธิ์ต่างๆกัน ได้แก่

 1.ฤทธิ์ลดการอักเสบ

 2.ฤทธิ์ต้านฮีสตามีน คือ สามารถต้านอาการแพ้ได้ จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด หรืออักเสบเนื่องจากแมลงกัดต่อย

 3.ฤทธิ์แก้ปวด

 4.ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย

 5.ฤทธิ์สมานแผล โดยทำให้การสร้างผิวหนังชั้นนอกเร็วขึ้น และบาดแผลขนาดเล็กลง

 6.ทำให้เลือดหยุดเร็ว

 7.ฤทธิ์ต้านเชื้อรา และ

 8.รักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้

จะเห็นได้ว่า บัวบกนอกจากจะเป็นยาธรรมชาติแล้ว ยังเป็นพืชผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูงด้วย เพราะใบและเถาบัวบกมีรสชาติกรอบมัน จึงใช้รับประทานเป็นเครื่องเคียงได้เป็นอย่างดี สารอาหารที่มีในใบบัวบก ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน กาก แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1วิตามินบี 2 ไนอาซีน และวิตามินซี

ด้วยเหตุนี้ บัวบกจึงถูกเลือกให้เป็นสมุนไพรแห่งปีที่น่าสนใจมาก เพราะมีทั้งประโยชน์ในทางยา และคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะมีวิตามินเอที่มีปริมาณสูงมาก จึงมีคุณค่าเหนือกว่าผลิตภัณฑ์บำรุงกำลังแพง ๆ เสียอีก บัวบกจึงเป็นพืชอาหารกินเป็นยาที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม (Alzbeimers Disease) เช่น ผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง หรือผู้ที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องใช้สมองมาก ผู้ที่มีความเครียดสูงจากการทำงานหนัก ผู้ที่มีความผิดปกติทางผิวหนังและกล้ามเนื้อ โดยมีอาการฟกช้ำ และมีผิวหนังอักเสบ และผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพราะจะช่วยเร่งการสมานแผลได้เป็นอย่างดี

 

2012-10-08

ต้นขจร...อาหารบำรุงฮอร์โมนหญิง

ต้นขจร...อาหารบำรุงฮอร์โมนหญิง

ว่าแล้วอย่ารอช้า เรามาทำความรู้จักกับ ต้นขจร หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า ต้นสลิด กันค่ะ

คุณค่าทางอาหาร

ทั้งยอดอ่อน ผลอ่อน และดอกของขจรสามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะใช้เป็นผักต้มหรือผักลวกจิ้มน้ำพริก หรือทำเป็นอาหารอื่นๆ เช่น แกงส้มดอกขจร ยำดอกขจร แกงจืดดอกขจร ข้าวต้มดอกขจร เป็นต้น และส่วนที่มีคุณค่าทางอาหารมากที่สุดคือส่วนยอดอ่อน ทั้งนี้ดอกขจรมีคุณค่าวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และฟอสฟอรัสสูง

 

สรรพคุณทางยาดอกขจร

มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน รักษาหวัดที่เกิดจากการตากลมหรืออากาศเย็น ช่วยบำรุงตับ บำรุงสายตา บำรุงเลือด บำรุงฮอร์โมนของสตรี ช่วยขับเสมหะ และแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ราก เป็นเครื่องยาสมุนไพรใช้หยอดรักษาตา อีกทั้งมีสรรพคุณทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมา ดับพิษได้อีกใครว่าต้นไม้ไทยๆ จะสวยแต่รูปใช่ไหมค่ะ

ฟักข้าว อาหารต้านมะเร็ง(2)


ผลอ่อนฟักข้าว / 100 กรัมน้ำหนักสัดส่วนที่กินได้
มวลแห้ง 7 กรัม
ใยอาหาร 1.03 กรัม
น้ำตาล 1.8 กรัม
โปรตีน 0.94 กรัม
วิตามินซี 0.04 มิลลิกรัม
บีตาแคโรทีน 91 มิลลิกรัม
แคลเซียม 23 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.34 มิลลิกรัม

“น้ำมันจากเยื่อเมล็ดฟักข้าวมีประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งตับ”

เยื่อเมล็ดของฟักข้าวมีปริมาณเบตาแคโรทีนมากกว่าแครอต 10 เท่า มีไลโคพีนมากกว่ามะเขือเทศ 12 เท่า และมีกรดไขมันขนาดยาวประมาณร้อยละ 10 ของมวง การกินบีตาแคโรทีนจากฟักข้าวพบว่าดูดซึมในร่างกายได้ดีเพราะละลายได้ในกรดไขมันดังกล่าว

เมื่อใช้เยื่อฟักข้าวเสริมอาหารให้กับเด็กก่อนวัยเรียนในงายวิจัยในประเทศเวียดนาม พบว่าเด็กในกลุ่มมีปริมาณบีตาแคโรทีนและไลโคพีนในพลาสมาสูงขึ้น และกลุ่มที่มีปริมาณความเข้มข้นของเฮโมโกลบินต่ำมีความเข้มข้น เพิ่มขึ้นด้วย จึงแนะนำให้ผู้มีเลือดจางกินข้าวหุงเยื่อเมล็ดฟักข้าวสุกด้วย

2012-10-06

ฟักข้าว อาหารต้านมะเร็ง(1)

ฟักข้าว อาหารต้านมะเร็ง

ฟักข้าว Momordica cochinchinnensis (Lour.) Spreng.

อยู่ในวงศ์แตงกวาและมะระคือวงศ์ Cucurbitaceae
ชื่อเรียกอื่น คือ ขี้กาเครือ (ปัตตานี) ผักข้าว (ตาก ภาคเหนือ) มะข้าว (แพร่) แก๊ก (Gac เวียดนาม) Baby Jackfruit, Spiny Bitter Gourd, Sweet Gourd, และ Cochinchin Gourd

ฟักข้าวมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน พม่า ไทย ลาว บังกลาเทศ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นพืชที่ชาวเวียดนามใช้ประกอบอาหารมาก ในชนบทมีปลูกกันเกือบทุกบ้านเรือน

ฟักข้าว เป็นไม้เถาเลื้อยพัน มีมือเกาะ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียบแบบสลับ ใบรูปหัวใจ หรือรูปไข่ กว้างยาวเท่ากันประมาณ 6 -15 เซนติเมตร ขอบใบหยักเว้าลึก เป็นแฉก 3 – 5 แฉก

ดอก เป็นดอกเดียวพบที่ซอกใบ ต้นแยกเพศอยู่คนละต้น กลีบดอกสีขาวแกมเหลือง ตรงกลางมีสีน้ำตาลแกมม่วง ใบประดับมีขน

ผล อ่อนมีสีเขียวอมเหลือง เจริญได้เองโดยไม่ต้องถูกผสม เมื่อผลสุกจะมีสีแดง ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดหรือแยกรากปลูก

ฟักข้าวเริ่มมีดอกหลังแยกรากปลูกประมาณ 2 เดือน เริ่มผลิตดอกราวเดือนพฤษภาคมและให้ดอกจนถึงราวเดือนสิงหาคม ผลสุกใช้เวลาประมาณ 20 วัน และใน 1 ฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลฟักข้าวได้ 30 -60 ผล โดยเก็บผลสุกได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์

ผลของฟักข้าวมี 2 ชนิด ผลยาวมีขนาดยาว 6 -10 เซนติเมตร ส่วนผลกลมยาว 4 -6 เซนติเมตร เปลือกผลอ่อนสีเขียวมีหนามถี่ เปลี่ยนเป็นสีส้มแก่หรือแดงเมื่อผลสุก แต่ละผลหนักตั้งแต่ 0.5 – 2 กิโลกรัม

ที่ประเทศเวียดนามมักปลูกฟักข้าวพาดพันไม้ระแนงข้างบ้าน และเก็บเฉพาะผลสุกมาประกอบอาหาร แต่เนื่องจากฟักข้าวให้ผลดีที่สุดในช่วงฤดูหนาว ชาวเวียดนามจึงนิยมใช้ประกอบอาหารในเทศกาลปีใหม่และงานมงคลสมรสเท่านั้น

ผลฟักข้าวมีเปลือกหนา ผลสุกเนื้อในหนามีสีส้มภายในมีเยื่อสีแดงให้เมล็ดเกาะ เนื้อผลสุกกินได้ ที่ประเทศเวียดนามใช้เยื่อสีแดงและเมล็ด (มีน้ำมัน) เป็นยา

ฟักข้าว 1 ผล จำเยื่อสีแดงราว 200 กรัม

ประโยชน์ทางโภชนาการ

ในประเทศไทยใช้ผลฟักข้าวอ่อนสีขาวเป็นอาหารรสชาติเนื้อฟักข้าวเหมือนมะละกอ ลวกหรือต้มให้สุกหรือต้มกะทิจิ้มน้ำพริกกะปิ หรือใส่แกง ยอดอ่อน ใบอ่อนนำมาเป็นผักได้ นำมานึ่งหรือลวกให้สุกกินกับน้ำพริก หรือนำไปปรุงเป็นแกง เช่น แกงแค

ประเทศเวียดนามกินข้าวเหนียวหุงกับเยื่อเมล็ดผลฟักข้าวสุก เนื่องจากชาวเวียดนามถือว่าสีขาวเป็นสีแห่งความตาย ข้าวสีส้มแดงจึงจัดเป็นมลคงต่องานเทศกาลต่าง ๆ

ชาวเวียดนามเอาเยื่อสีแดงจากผลฟักข้าวสุกพร้อมเมล็ดมาหุงกับข้าวเหนียว ได้ข้าวสีส้มแดงมีกลิ่นหอม ต้องมีเมล็ดฟักข้าวติดมาในข้าวด้วยจึงว่าเป็นของแท้ ถึงกับมีการหุงข้าวใส่สีผสมอาหารสีแดงเลียนแบบการใช้ฟักข้าวนอกฤดูกาลก็มี เชื่อว่าบำรุงสายตา

ตะไคร้แก้ปวดหลัง

ตะไคร้แก้ปวดหลัง


อาหารการกินที่ถูกต้องและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นการสร้างต้นทุนทางสุขภาพในระยะยาว
แต่หากขาดการดูแลก็อาจทำให้เกิดปัญหาได้ อาการปวดหลังก็เป็นอีกอาการหนึ่งที่ฟ้องให้เห็นว่านอกจากความเสื่อมตามวัยแล้วอาจเกิดจากการขาดการปฏิบัติตัวในเรื่องสุขภาพอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่ก่อนเข้าวัยสูงอายุ


การออกกำลังกายที่เหมาะสมก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ นอกจากนี้เรายังสามารถใช้สมุนไพรไทยบางชนิดเป็นตัวช่วยแก้อาการนี้ได้เช่นกัน

อย่างตะไคร้กลิ่นหอมที่เรานำมาปรุงอาหารก็มีสรรพคุณช่วยคลายเส้นเอ็น แก้ปวดเมื่อย แก้ฟกช้ำ กระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิต และแก้อาการบวมได้ ตะไคร้เป็นหนึ่งในสมุนไพรที่คนโบราณใช้แก้อาการปวดหลังอย่างแพร่หลาย เช่น ใช้ในการทำลูกประคบ

สำหรับวันนี้ท่านไหนกำลังมีอาการอยู่ เรามีสูตรชาตระไคร้มาให้ลองชงดื่มดูค่ะ
1. เลือกใช้ส่วนหัวของตะไคร้ ตัดใบออก นำมาล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปตากแดดให้แห้ง
2. นำมาคั่วพอให้หอม
3. ชงเป็นชา โดยใช้ตะไคร้แห้งสัก 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงในกาน้ำชาเติมน้ำร้อนลงไป 1 ถ้วย ทิ้งไว้สัก 5 นาที จากนั้นรินน้ำดื่มเหมือนกับน้ำชา

หากใช้วิธีต้มให้เพิ่มปริมาณตะไคร้และปริมาณน้ำตามสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น

ที่มา : ชีวจิต



2012-10-03

Eating fruits and vegetables makes you look more attractive within six weeks

            

Many of us already know that eating fruits and vegetables makes us healthy and energetic. We also know from experience that food and beauty are related. Now we have further evidence from research from University of St. Andrews in the UK that fruit and vegetable intake is also associated with healthy glowing skin.

Carotenoids make your skin glow

According to the research published recently in the American Journal of Public Health, carotenoids in the fruits are responsible for the healthy skin glow. Carotenoids are the red, yellow and orange pigments found in fruits and vegetables.

Lycopene, which is a carotenoid in tomatoes and red peppers, provides the red pigment. Beta carotene, which is a carotenoid in carrot and green leafy vegetables, provides the yellow pigment. These carotenoids deposit under the skin and provide several health benefits.

Beauty is linked to fruit and vegetable consumption

In this study, the scientists followed the dietary patterns of 35 students over a period of six weeks. The group did not use any make-up. They also did not get any significant UV ray exposure from the sun or self-tanning machines recently.

These students filled out food frequency questionnaires which provided scientists data around fruit and vegetable consumption. Potatoes were not counted as vegetables in this study.

They recorded the change in skin color and compared perceived attractiveness among these students.

At the end of the study, they found that students who ate more fruits and
vegetables
had a healthy golden skin. On the contrary, students who reduced the amount looked less attractive by the end of the study.

Skin tone becomes attractive with as little as three additional portions a day

You do not have to gorge yourself with lots of fruits and vegetables for a long period of time. Adding just two extra portions had a noticeable effect on attractiveness within a period of six weeks.

To be precise, eating additional 2.91 portions per day would make you look healthy. Eating additional 3.3 portions of fruits and vegetables would make you look attractive.

On average, one portion of fruit or vegetable is equivalent to 80g. For example, one apple, banana or orange will count as one portion.

Although this study focused on the link between the change in skin tone from carotenoids and attractiveness, previous studies showed that fruits and vegetables have several vitamins and minerals which improve skin health and slow down the aging process.

This study has some limitations because all of the volunteers in the study were Caucasian. So the scientists suggested that another study may be needed to determine if the effect is the same for non-Caucasians as well.

2012-10-01

ความรู้เรื่องน้ำผึ้งRaw Organic Honey

ความรู้เรื่องน้ำผึ้งRaw Organic Honey

น้ำผึ้งเป็นอาหารของมนุษย์ยาวนาน และถือเป็นของมีค่าสูงในแต่ละยุค สรรพคุณของน้ำผึ้งเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในหลาย ๆ ประเทศ กว่าจะมาเป็นน้ำผึ้ง 1 กิโลกรัมนั้น ผึ้งงานจะต้องเก็บน้ำหวานจากดอกไม้กว่าล้านดอก คุณประโยชน์ของน้ำผึ้งจึงมีมากมากนัก

น้ำผึ้งป่าและน้ำผึ้งเลี้ยงต่างกันอย่างไร

น้ำผึ้งป่าเกิดจากการที่ผึ้งโบยบินไปตามทุ่งน่าป่าดงที่มีดอกไม้ เพื่อดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ต่าง ๆ มาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นน้ำผึ้งบริสุทธิ์ ซึ่งกระบวนการผลิตน้ำหวานของดอกไม้นั้น รากของต้นไม้จะดูดสารอาหารจากดินไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของลำต้นและใบ จนกลั่นออกมาเป็นน้ำหวานทางดอก จึงเรียกได้ว่า น้ำผึ้งเป็นยอดของอาหารจากธรรมชาติอันแสนวิเศษ ที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เพราะมีสารอาหารมากมาย อาทิ น้ำ ฟรุกโทส กลูโคส อีกทั้งยังมีกรดอะมิโน และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น เหล็ก ทองแดง แมงกานีส โพแทสเซียม และแมกนีเซียม แร่ธาตุในน้ำผึ้งและสีของน้ำผึ้ง จะแตกต่างกันไปตามแหล่งที่มาของพืชพันธุ์ และชนิดของน้ำผึ้ง สีของน้ำผึ้งตั้งแต่สีเหลืองเข้มถึงสีเหลืองอ่อน

ส่วนน้ำผึ้งจากผึ้งเลี้ยง นอกจากน้ำหวานที่ได้จากเกสรดอกไม้แล้ว ผู้เลี้ยงยังต้องเสริมน้ำหวานจากน้ำตาล และเกสรเทียมเมื่อเกิดการขาดแคลน ซึ่งส่งผลไม้แร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีอยู่ในน้ำผึ้งเลี้ยงด้อยคุณค่ากว่าน้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งที่ได้จากผึ้งป่า ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการเพราะมาจากธรรมชาติแท้ ๆ

น้ำผึ้งป่ามีลักษณะอย่างไร

เมื่อใส่น้ำผึ้งป่าไว้ในขวด แล้วทิ้งไว้สักพัก จะพบว่ามีเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน อันเป็นคุณลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่า เนื่องจากผึ้งป่าสามารถดันตัวเองให้ไหลออกจากขวดได้ ด้วยคุณประโยชน์หลากหลายนี้ น้ำผึ้งจึงเป็นสิ่งที่คุณค่าอย่างมากมายสำหรับมนุษย์

น้ำผึ้งที่ไม่ผ่านความร้อน (Raw Orgonic Honey) มีประโยชน์อย่างไร

น้ำผึ้งที่ไม่ผ่านความร้อน จะยังคงคุณของวิตามิน แร่ธาตุ เอนไซน์ และเกสรผึ้ง (Pollen) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความร้อนชื้นสูง น้ำผึ้งจึงความชื้นสูง โดยเฉพาะในฤดูฝน น้ำผึ้งที่เก็บในช่วงนี้มีความชื้นสูง จึงต้องนำไปอบความร้อน เพื่อไล่ความชื้น แต่น้ำผึ้งเดือน 5 ซึ่งมีความชื้นต่ำสุดในรอบปี จึงเป็นน้ำผึ้งที่คนไทยหลายยุคสมัยถือว่าเป็นน้ำผึ้งคุณภาพสูงสุดของประเทศ และน้ำผึ้งที่เก็บในช่วงนี้ไม่ต้องผ่านกระบวนการอบความร้อน จึงยังคุณค่าตามธรรมชาติ

2012-09-28

ดูแลรักษาหน้าใสด้วยสมุนไพร

ดูแลรักษาหน้าใสด้วยสมุนไพร

สูตรผสมจากพืชผัก (ว่านหางจระเข้)

สูตรผสม

ว่านหางจระเข้ 2 ใบสาหร่ายทะเล(พอสมควร)

วิธีผสม นำว่านหางจระเข้มาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเอาเฉพาะวุ้นใสๆข้างในจากนั้นเป็นชิ้นเล็กๆปั่นรวมกับสาหร่ายทะเลที่แช่น้ำจนนิ่มและหมดสิ่งสกปรกจนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียวใช้สำหรับนำมาพอกกับหน้าที่สะอาดแล้วก่อนเข้านอน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วยทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้งภายในเวลาไม่ถึงเดือน จะสังเกตเห็นว่าผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงจนสามารถสังเกตได้

ที่มา : samoonpai.com

2012-09-27

มาดื่มน้ำชาจากสมุนไพรกันเถอะ

มาดื่มน้ำชาจากสมุนไพรกันเถอะ


หลาย ๆ ท่านอาจชื่นชอบการดื่มน้ำชาเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว แต่บางท่าที่ไม่เคยดื่มน้ำชา หรือไม่ชอบการดื่มน้ำชา ควรฟังทางนี้คะ เนื่องจากการดื่มน้ำชานั้นสามารถช่วยรักษาโรคได้ แต่ต้องเป็นน้ำชาสมุนไพรด้วยนะคะ เรามาดูกันซิว่าน้ำชาสมุนไพรชนิดไหนสามารถช่วยรักษาโรคอะไรได้บ้าง
น้ำชาจากเถาวัลย์เปรียง

ให้คุณนำเถาวัลย์เปรียบมาหั่นเป็นแว่น ๆ จากนั้นนำมาคั่วให้หอมแล้วชงน้ำดื่ม ช่วยให้ปัสสาวะคล่องขึ้นกว่าเดิม

น้ำชาจากเตยหอม
นอกจากช่วยบำรุงหัวใจ และขับปัสสาวะแล้ว ยังมีกลิ่นหอมรับประทานอร่อยอีกด้วย โดยให้คุณนำเตยหอม หั่นไม่ต้องละเอียดมาก จากนั้นนำมาคั่ว แล้วชงน้ำดื่ม

น้ำชาจากเก็กฮวย
นำเก็กฮวย ตากแห้งชงในน้ำร้อนผสมกับมะลิแห้ง ช่วยให้มีกลิ่นหอม บำรุงประสาทและหัวใจ

นำชาจากรากบัว
นำรากบัวหั่นเป็นแว่น ๆ ต้มกับน้ำจนกระทั่งเดือด นำมาดื่มสามารถช่วยเรื่องระบบทางเดินหายใจ แก้ไซนัส

น้ำชาจากมะตูม
นำมะตูมดิบหั่นเป็นแว่น ๆ แล้วนำไปตากแดดจนกระทั่งแห้ง จากนั้นนำมาคั่วให้หอม ชงน้ำดื่ม ช่วยเจริญอาหาร แก้จุกเสียดแน่นท้อง ลดกรดในกระเพาะอาหาร

น้ำชาจากสระแหน่
น้ำชาชนิดนี้ใช้ผสมกับน้ำผลไม้อย่างน้ำส้ม หรือน้ำมะนาว โดยให้คุณเด็ดใบสะระแหน่เป็น ใบ ๆ โรยหน้าน้ำผลไม้ ช่วยให้มีกลิ่นหอม ช่วยขับลม แก้ท้องเฟ้อ หรือจะนำใบสะระแหน่ฝรั่งตากแห้ง ชงน้ำดื่มก็ได้คะ

น้ำชาจากดอกคำฝอย
ให้คุณนำดอกคำฝอยตากแห้งที่มีขายกันอยู่ทั่วไปนั่นแหละคะ มาชงน้ำดื่ม ดื่มเป็นประจำสามารถช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้คะ