2008-11-27

Lron alwaysธาตุเหล็กพลาดไม่ได้

Lron always
ธาตุเหล็กพลาดไม่ได้
คืออะไร


เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ได้จากอาหาร 2 แบบ คือจากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว ปลาและสัตว์ปีก และจากพืช คือจากผลไม้และผัก ดังนั้นชาวมังสวิรัติมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจาง เนื่องจากขาดธาตุเหล็กจากสัตว์ แต่วิตามินซีจะช่วยเพิ่มการดูดซึมได้ ดังน้นการดื่มน้ำส้มวันละแก้วในมื้ออาหารอาจช่วยได้ แหล่งธาตุเหล็กทีดีคือ เนื้อไม่ติดมัน ปลาซาร์ดีน ผักใบเขียวเข้ม เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ หอยนางรม ถั่ว จมูกข้าว


ทำไมถึงต้องการ

ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบินซึ่งนำออกซิเจนเข้าไปในเซลล์เม็ดโลหิตแดงทั่วร่างกาย ธาตุเหล็กยังเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลายชนิดที่ช่วยเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนให้เป็นวิตามินเอธาตุเหล็กยังนำไปใช้ผลิตคอลลาเจนซึ่ง ทำให้เหงือก ฟัน และกระดูกแข็งแรง อีกทั้งเพิ่มความต้านทานต่อโรคภัย และเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพผมและเล็บอันดี

ถ้าขาดธาตุเหล็กร่างกายจะผลิตฮีโมโกลบินไม่ได้ และมีอาการหายใจเหนื่อยหอบเนื่องจากหัวใจบีบตัว เนื่องจากหัวใจบีบตัวเร็วและปอดพยายามนำออกซิเจนสู่ร่างกายมากขึ้นทำให้เหนื่อยง่ายไม่มีแรง และตัวซีดหน้ามืด อาจติดเชื้อเรื้อรังในช่องหู เหงือกและผิวหนัง ทำให้ผมร่วงได้ ภาวะขาดธาตุเหล็ก คือ โรคโลหิตจางเป็นโรคที่พบบ่อยในสตรีซึ่งไม่ด้รับธาตุเหล็กในปริมาณประจำวันที่กำหนดไว้

ต้องกินประมาณเท่าไร

ปริมาณที่ควรได้รับต่อวันสำหรับสตรีวัยเจริญพันธุ์ คือวันละ 14 มิลลิกรัม ซึ่งได้รับจากการกินถั่วอบในกระป๋อง 200 กรัมโปะขนมปังโฮลวีตเป็นอาหารเช้า รวมทั้งเนื้อไก่ 75 กรัม ในสลัดหรือแซนด์วิชเป็นอาหารกลางวัน กินตับ เนื้อ 75 กรัม เป็นอาหารค่ำ และกินเมล็ดฟักทอง 1 กำ ของขบเคี้ยวตลอดวัน สตรีหลังคลอดควรได้รับธาตุเหล็กวันละ 8.6 มิลลิกรัม

ที่มา : ชีวจิต

2008-11-26

ฟักทองมีคุณค่าทางอาหารสูง

ฟักทอง

ฟักทองมีคุณค่าทางอาหารสูง เป็นผักสุขภาพที่ดีต่อร่างกาย ทำให้ทั้งอาหารคาวและหวาน มี
เบต้าแคโรทีนเยอะ ซึ่งสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ ได้เฉพาะในวัยสูงอายุ นอกจากนี้ยังให้ธาตุเหล็กและวิตามินซี ตลอดจนไนอะซิน วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ให้กากใยสูง ไขมันน้อย อีกทั้งแคลอรี่ต่ำ จึงเหมาะเป็นอาหารควบคุมน้ำหนัก ฟักทองที่ดีต้องเนื้อแน่นเหนียว มีถิ่นกำเนิดในประเทศสหรัฐอเมริกาก็จริงแต่ไม่ค่อยใช้ฟักทองอย่างแพร่หลายนัก นอกจากการทำพายฟักทองหรือไม่ก็ใช้กันในวันฮัลโลวีนเท่านั้น

ที่มา : Slimming

2008-11-24

Amazing Aloe

Amazing Aloe

อโลเวร่า หรือ ว่านหางจระเข้ที่รู้จักกันดีทั่วโลกมาแต่โบราณ ในเรื่องคุณสมบัติการเยียวยาผิว ส่วนของต้นที่ถูกนำมาใช้คือ ใบ ซึ่งมีอัลลันโทลิน (Allantoin) อันทำให้มันมีคุณสมบัติในการเยียวยารักษา ว่านหางจระเข้ยังมีแอนตี้ออกซิแดนท์ตามธรรมชาติ ในรูปของวิตามินบี คอมเพล็กซ์ วิตามินซี และ วิตามินอี รวมทั้งเบต้าแคโรทีนที่จะถูกร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอที่ผิวต้องการ

ว่านหางจระเข้ไม่เพียงแต่เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลความงามมากมาย มันยังสามารถนำมาใช้ทาลงบนผิวโดยตรง เพื่อรักษารอยมีดบาด รอยไหม้แดด หรืออาการผื่นคันบนผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย แต่ถ้าจะใช้ว่านหางจระเข้สด ๆ จำไว้ว่าให้ใช้แต่เพียงเจลใสข้างใจ ซึ่งจะคงคุณภาพดีอยู่ได้ไม่เกินสี่ชั่วโมงหลังจากผ่าออกมา ดังนั้น จึงต้องใช้ให้หมดโดยเร็ว

ที่มา : Lisa

2008-11-22

องุ่นเป็นซันบล็อคของใหม่

องุ่นเป็นซันบล็อคของใหม่

มะเร็งผิวหนังไม่ได้หยุดแค่การโปะยากันแดดเท่านั้น สิ่งที่คุณกินเข้าไปมีช่วยป้องกันตามธรรมชาติด้วย นักคันคว้าจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน พบว่าอาหารธรรมดามีเครื่องปรุงที่ทำหน้าที่กันแดด และลดความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง อาหารมีแอนตี้ออกซิแดนท์เพียบสามารถกระตุ้นความสามารถในการต่อสู้อนุมูลอิสระสารเคมีอันตรายที่กระจายโดยแสงยูวี ดังนั้นก่อนไปชายหาดให้กินแอนตี้ออกซิแดนท์เพียบเข้าไว้เป็นดี

แอปริคอต มีเบต้าแคโรทีนสูงซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยดูดซึมอนูมูลอิสระที่รังสียูวีแพร่กระจาย
ทับทิม มีตัวแอนตี้ออกซิแดนท์ฝาดฟันมะเร็งมากกว่าผลไม้อื่นการศึกษาล่าสุดพบว่ากระตุ้นเอสพีเอฟในตัวได้ถึง 23%
เมล็ดทานตะวัน เต็มไปด้วยแร่ธาตุทองแดงที่ร่างกายใช้เพื่อสร้างเมลานินอันเป็นพิกเมนท์ช่วยป้องกันการทำอันตรายจากยูวี
ขนมปังไรย์ มีกรดเฟรูลิค(ferulic) เพียบซึ่งเป็นส่วนผสมป้องกันต้นไม้จากแสงแดดและมีผลอันเดียวกันกับมนุษย์ด้วย

ที่มา : Slimming

2008-11-21

เดินสบายไม่ปวดเข่า


เดินสบายไม่ปวดเข่า


วิตามินซีสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้คุณได้ เมื่อเร็ว ๆ นี้นักวิทยาศาสตร์ออกเตรเลียได้ค้นพบว่าแอนตี้ออกซิแดนท์ที่มีอยู่ในพริกหวาน ผลกีวี มะเขือเทศ และ ส้ม พืชเหล่านี้ช่วยป้องกันโรคข้อเข่าอักเสบ นักวิจัยได้สึกษาจากประชาชนวัยกลางคน 293 คน พบว่าเป็นผู้ที่ไม่มีอาการปวดเข่า สิบปีหลังจากนั้นเมื่อตรวจหัวเขาด้วยเครื่อง MRI จึงพบว่าพวกเขากินวิตามินซีช่วยลดความเสื่อมของเข่าและลดอาการเจ็บปวดจากกระดูกข้อเข่าเสื่อม นักวิจัยพบว่าแอนตี้อ๊อกซิเแดน์อื่น รวมถึง ลูทีน (Lutein คือ สารสีเหลืองที่ ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสีหรือแสงสีของเรตินาดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนแก่มองไม่เห็น) ซีแซนทิน (พบในพืชสีเขียว เช่น ผักขม) ที่ช่วยป้องกันความเสื่อมลงของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับอาหารเสื่อมและสึกหรอของอวัยวะในร่างกาย

ที่มา : Slimming

2008-11-20

แตงกวาช่วยลดน้ำตาลในเลือด

แตงกวาช่วยลดน้ำตาลในเลือด

แตงกวาลูกเล็กสีเขียวอมขาว มีประโยชน์ต่อสุขภาพเหลือหลาย เพราะมีวิตามิน A B และ C รวมทั้งสารที่คล้ายอินซูลินซึ่งจะช่วยลดน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ในแตงกวายังมีแคลอรี่ต่ำมาก ทั้งยังช่วยขจัดสารพิษ จึงไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะแต่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานเท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์ต่อสุขภาพโดยทั่ว ๆ ไปอีกด้วย
ข้อแนะนำ ปอกเปลือกแตงกวา ปั่นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำมะนาวและใส่น้ำแข็งลงไป ดื่มแล้วเย็นชื่นในดี

ที่มา : Lisa

2008-11-19

ดื่ม ชา..เขียว ดำ ขาวหรือแดงดี?

ดื่ม ชา..เขียว ดำ ขาวหรือแดงดี?

ปัจจุบันนี้คนไทยเรามีการนิยมดื่มชากันมากขึ้นเพราะเชื่อว่า จะเป็นผลดี และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ จนกระทั่งมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชาหลายชนิดให้เลือกจนเลือกกันไม่ถูกทั้งที่เป็นเครื่องดื่ม หรือการนำชาเขียวเป็นส่วนผสมใส่ในอาหารต่างๆ เช่น เค้ก ไอศกรีมชาเขียว นมชาเขียว ขนมปังชาเขียว ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจเรื่องชาจนมีหลายคนถามถึงว่า การใส่ชาเขียวลงในเครื่องสำอางต่างๆ เช่น สบู่, แชมพู, ครีมบำรุงผิวต่างๆ นั้นได้ประโยชน์จริงๆ หรือ วันนี้เราลองมาดูกันเกี่ยวกับเรื่องชาว่าเป็นอย่างไรกัน

ชาวจีนเป็นชนชาติแรกที่มีการดื่มชากันและต่อมาก็มีการแพร่หลายไปสู่ประเทศทางตะวันตกมากขึ้น และมีประวัติศาสตร์บางส่วนที่ชาทำให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างจีนกับอังกฤษ และสงครามอิสรภาพระหว่างอังกฤษ และอเมริกาชาทุกชนิดจะทำมาจากต้นชาที่มีชื่อว่า Camellia sinensis ส่วนชื่อที่เรียกต่างกันนั้นเนื่องจากขบวนการผลิตภัณฑ์ใบชาที่ต่างกัน การทำชาเขียว (green tea) นั้นจะเอาใบชามาอบ (steam) และทำให้แห้ง (dry) ซึ่งเป็นขบวนการที่ยังทำให้ใบชามีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) พวก โพลีฟีนอลส์ (polyphenols) อยู่ ส่วนชาดำ (black tea) นั้นจะผ่านขบวนการอ็อกซิเดชั่น (oxidation) ต่อไปทำให้มีการลดลงของสารต้านอนุมูลอิสระ ส่วนชาอูหลง (Oolong) จะผ่านขบวนการผลิตที่อยู่ระหว่างชาเขียว และชาดำทำให้รสชาติ กลิ่น

สารต้านอนุมูลอิสระอยู่ระหว่างชาเขียว และชาดำด้วยส่วนชาขาว (white tea) นั้นผลิตจากประเทศจีน ที่มีขบวนการผลิตภัณฑ์ที่น้อยลงทำให้มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียว เวลาชงจะได้สีออกจางๆ และรสชาติที่นุ่มนวลส่วนที่ได้ยินคำว่า "ชาแดง" (red tea) นั้นก็มีความหมายหลายอย่างเหมือนกันเป็นภาษาที่มาจากภาษาจีน ซึ่งตรงกับความหมายทางตะวันตกว่า ชาดำ (black tea) หมายถึง ชาอูหลง ดังที่ผมกล่าวข้างต้น หมายถึง "ชา" ที่ได้จากพืช Aspalanthus linearis ในอเมริกาตอนใต้ ซึ่งจะเห็นว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ชาเพราะชาที่แท้จริง (real tea ) ต้องได้จากพืช Camellia sinesis ซึ่งชาแดงชนิดนี้จะไม่มีคาเฟอีนและ แทนนิน (tannins) ปัจจุบันมีคนพยายามอ้างว่าเป็นน้ำดื่มสุขภาพ (health beverage) แต่ยังมีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับชาเขียว มีสารอะไรบ้างในชาสารคาเฟอีน (caffeine)

สารตัวนี้เป็นที่ถกเถียงกันในวงการแพทย์ว่ามีประโยชน์ หรือ โทษกันแน่ แต่โดยทั่วไปยอมรับกันว่าถ้าดื่มไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม ก็ไม่มีผลเสียอะไร ซึ่งในปริมาณนี้จะเท่ากับการดื่มกาแฟประมาณวันละ 2 ถ้วย (ถ้วยละประมาณ 8 ออนซ์) เท่ากับชาวันละประมาณ 5 ถ้วย (ใบชาจะมีคาเฟอีนประมาณ 30-40% ของกาแฟ)สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของต่างๆ ตัวที่สำคัญคือ กลุ่มโพลีฟีนอลส์ (polyphenols) ที่เด่นๆ คือ epigallocatechin-3-gallate (EGCG หรือ catechins) ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระนั้นมีมากมายตั้งแต่การป้องกันการเกิดโรคต่างๆ จนถึงมะเร็ง (รายละเอียดอ่านได้จากเรื่อง antioxidant *****tail ที่ผมเขียนไว้ในเล่มพฤษภาคมมาแล้ว)สารแทนนิน (tannin) ซึ่งช่วยในการบรรเทาอาการท้องเสีย

ควรต้มหรือแช่ชานานๆ เพื่อให้ได้สารแทนนินแร่ธาตุอื่นๆ เช่น ฟลูออไรด์ วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และอื่นๆ อีกหลายชนิดนอกจากนี้ก็ยังมีการใส่ชาเขียวลงในเครื่องสำอางต่างๆ เช่น สบู่, แชมพู, ครีมบำรุงผม นั้นยังไม่มีการทดสอบที่ดีพอทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ในคนที่จะบอกว่าได้ผลจริงใครบ้างที่ควรระวังในการดื่มชาโดยปกติแล้วถือว่าชาเป็นเครื่องดื่มที่มีความปลอดภัยสูง ยกเว้นในบางคนที่อาจโดนกระตุ้นด้วยสารคาเฟอีนง่าย (เช่นเดียวกับกาแฟ) ได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ไทรอยด์ โรคกระเพาะ หรือคนที่นอนหลับยาก ก็ไม่ควรดื่มชา กาแฟ หลัง 18.00 (หรือ12.00) ด้วยสำหรับผมตอนนี้ได้เริ่มดื่มชาเขียวสลับกับกาแฟแล้ว (ยังไงก็ยังดื่มกาแฟอยู่เพราะกลิ่นหอมมากครับ) เดี๋ยวนี้เขามีมีชาเขียวขายเป็นแบบถุงเล็กๆ สำหรับแช่และราคาไม่แพงมากเหมือนสมัยก่อน ยกเว้นวันหยุดก็จะต้มชาเขียวดื่มเองบ้าง เพราะบางคนบอกว่าการดื่มชาก็คล้ายๆ กับดื่มไวน์ในใบชาแต่ชนิดแม้จะพันธุ์เดียวกันแต่ปลูกในที่ต่างกันหรือเก็บเกี่ยวในฤดูกาลที่ต่างกันก็จะให้รสที่ต่างกันด้วยครับ


ที่มา : samunpri.com

2008-11-17

ผลวิจัยชี้ พริก กาแฟ พริกไทย ...ลดไขมัน

ผลวิจัยชี้ พริก กาแฟ พริกไทย ...ลดไขมัน

การใช้ สารสกัดจากธรรมชาติ ในรูปอาหารเสริม ผลิตภัณฑ์ทาภายนอกร่างกายให้ รูปร่างได้สัดส่วน ขณะนี้กำลังได้รับความนิยมทั้งในกลุ่มหญิง ชาย ที่ต้องการ ลดไขมันส่วนเกิน และ...เพื่อให้เป็นอีกทางเลือก ภญ.รศ.ดร. อรัญญา มโนสร้อย และ ภก.ศ.ดร.จีรเดช มโนสร้อย พร้อมด้วย นศ.ภ.จามร รุ่งโรจน์นวกุล และ นศ.ภ.ศุภลักษณ์ นันตา นักศึกษาปริญญาตรีผู้ช่วยวิจัย สายวิชาวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงคิดค้นพัฒนา ตำรับสมุนไพรเพื่อลดสัดส่วนในรูปแบบเจลใช้ทา ขึ้น โดยได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการ IRPUS ปี พ.ศ. 2550 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)

ภญ.รศ.ดร.อรัญญา หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า สมุนไพรที่นำมาใช้ได้แก่ พริก บริเวณส่วน “รก” ที่มีเมล็ดติดอยู่จะมีสาร capsaicin ทำให้เผ็ด ส่งผลให้ร่างกายขับเหงื่อ กำจัดสารพิษออกอันเป็นการลดน้ำหนัก น้ำมันจาก พริกไทย ซึ่งเป็นสารประเภท monoterpenes ร้อยละ 60-80 sesquiterpenes ร้อยละ 20-40 ที่สำคัญได้แก่ limonene, caryophyllene และ pinene

นอกจากนี้ โอลิโอเรซิน ในพริกไทย หากนำมาสกัดด้วยตัวทำละลาย จะได้สารประเภท อัลคาลอยด์ ที่สำคัญคือ piperine piperidine และ piperanine มีสรรพคุณใช้เป็นยาขับลม ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ ฯลฯ ส่วนคาเฟอีนใน กาแฟ ที่นอกจากจะช่วย กระตุ้นหัวใจ และ ระบบประสาทส่วนกลาง อย่างอ่อน ยังมีฤทธิ์ในการเพิ่ม fat oxidation และ mobilize fat

จากสรรพคุณดังกล่าว จึงน่าจะมีผลช่วยลดไขมันส่วนเกิน ทีมวิจัยจึงทำการสกัดด้วยวิธี continuous extraction, soxhlets extraction และ liquid-liquid extraction ตามลำดับ แล้วจัดทำ specification ของสารสกัดที่ได้ศึกษาความคงตัว พบว่า มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ทำให้เกิดปัญหาการดูดซึมไม่สามารถสารออกฤทธิ์ผ่านไปยังเซลล์ไขมัน

ดังนั้น จึงพัฒนาตำรับเจลที่เก็บกัก ในรูปของ “อนุภาคขนาดนาโน นีโอโซม” (อนุภาคขนาดเล็กระดับนาโนเมตร) ซึ่งมีส่วนประกอบของสารลดแรงตึงผิวชนิดไม่มีประจุ เช่น Tween และ Span ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารสกัดฯเข้าสู่ผิว ทำหน้าที่ช่วยออกฤทธิ์ที่เซลล์ไขมันได้ตามต้องการ อีกทั้งเป็นตัวพาสารเข้าชั้นผิวหนังได้ลึกและเพิ่มความคงตัว

จากนั้นนำมาผสมในเจลเบส จะได้เจลที่มีลักษณะสีส้มขุ่น มีกลิ่นของสมุนไพร นำมาศึกษาลักษณะความคงตัวทางเคมีและกายภาพที่อุณหภูมิ 4 ํC 25 ํC และ 45 ํC เป็นเวลา 30 วัน พบว่าตำรับเจลที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 25 ํC และ 45 ํC มีสีที่จางลงเมื่อเทียบกับตำรับที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 4 ํC นำเจลไปทดสอบในอาสาสมัคร

โดยใช้ทาที่บริเวณต้นแขนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในลักษณะเนื้อเจล การซึมซาบ และความหนืด ส่วนการลดไขมันส่วนเกินพบว่า อาสาสมัคร 26.67 เปอร์เซ็นต์ มีขนาดรอบต้นแขนลดลง แต่ไม่มีนัยสำคัญซึ่งจะต้องทำการศึกษาวิจัยเพื่อยืนยันในจำนวนอาสาสมัครที่เพิ่มมากขึ้นและใช้เวลาที่นานกว่า 2 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลที่ชัดเจนขึ้น ผลงานวิจัยนี้ น่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยยกระดับสมุนไพรไทยให้ก้าวไกลไปต่างแดน ในอนาคตอันใกล้นี้ได้อย่างแน่นอน.


ที่มา : samunpri.com

2008-11-14

เห็ด อาหารมหัศจรรย์

เห็ด อาหารมหัศจรรย์

ว่าเห็ดเป็นอาหารมหัศจรรย์นั้น จากฤดูการเกิดก็ไม่เหมือนกับพืชผักชนิดอื่นๆ ใช้เวลาเพาะเพียงสั้นๆ แต่ได้จำนวนมากมายดาษดื่น ถึงเวลางอกงามแต่ละทีก็ผุดขึ้นราวกับตั้งนาฬิกาปลุกธรรมชาติ พอใกล้เวลาก็มุดหายลงดิน เก็บตัวเงียบรอเวลาอีกครั้ง คนเก็บจะต้องมีความชำนาญ รู้ลักษณะ รู้ชนิด รู้ต้นตอแหล่งกำเนิด เพราะเห็ดบางชนิดเห็นหน้าตาสวยงาม อาจกลายเป็นเห็ดมีพิษ ใครไม่รู้จริงเผลอนำไปรับประทานเป็นได้เดือดร้อนกันแน่

ปัจจุบันเห็ดที่เรานิยมรับประทานกันมีอยู่มากมายหลายชนิด มีทั้งแบบสด บรรจุกระป๋อง หรือแม้แต่เห็ดตากแห้ง ความนิยมในการรับประทานมีมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยรูปแบบ และรสชาติเฉพาะตัวที่แตกต่างจากอาหารประเภทพืชผักด้วยกัน รวมทั้งการที่คนหันมานิยมรับประทานอาหารแบบมังสวิรัติกันมากขึ้นก็ทำให้เห็ดถูกนำมาใช้ปรุงอาหารแทนเนื้อสัตว์มากขึ้นตามไปด้วย มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่าเห็ดมีคุณสมบัติป้องกันโรคได้

ในประเทศจีน และญี่ปุ่น นิยมนำเห็ดมาปรุงเป็นน้ำแกง น้ำชา ยาบำรุงร่างกาย และยารักษาโรคต่างๆ มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดมากว่า 30 ปียืนยันว่าในเห็ดมีสารบางอย่างที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยในการต้านมะเร็งหลายๆ ชนิดด้วย ในสหรัฐอเมริกาก็มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดเช่นกันได้ผลออกมายืนยันการค้นพบแบบเดียวกับชาวเอเชีย แต่สำหรับการวิจัยถึงผลการใช้เห็ดเป็นยารักษาโรคนั้นยังคงอยู่ในขั้นแรกๆ เท่านั้น เห็ดที่นักวิทยาศาสตร์นิยมเอามาวิเคราะห์เพื่อการวิจัยนั้นส่วนใหญ่เป็นเห็ดชนิดที่คนมักนำมาปรุงอาหาร และหาได้ง่าย เช่น เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เห็ดกระดุมหรือแชมปิญอง เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดโคน เห็ดหูหนู หรือ เห็ดหลินจือ อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าเห็ดแชมปิญอง (White mushroom) มีบทบาทช่วยในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด เมื่อเทียบกับเห็ดรับประทานได้ชนิดอื่นๆ โดยสารบางอย่างในเห็ดชนิดนี้ไปช่วยยับยั้งเอ็นไซม์ aromatase ทำให้เกิดการยับยั้งการแปรฮอร์โมนแอนโดรเจนให้กลายเป็นเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมด ประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย

ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการทดลองนำเห็ดหอมมาสกัด พบว่าในเห็ดหอม ให้น้ำตาลโมเลกุลขนาดใหญ่ (mega-sugar) ที่เรียกว่า เบต้ากลูแคนส์ (beta-glucans) ถึง 2 ชนิด ได้แก่ lentinan และ LEM (Lentinula edodes mycelium) ซึ่งช่วยทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับการติดเชื้อ และชะลอการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งในการทดลองให้สาร lentinan กับผู้ป่วยมะเร็งร่วมกับการทำเคมีบำบัดก็พบว่าก้อนมะเร็งมีขนาดลดลง และอาการข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดก็เกิดขึ้นน้อยลงด้วย ขณะนี้ทีมวิจัยในญี่ปุ่นกำลังมองหาความเป็นไปได้ในการใช้ LEM ที่ได้จากเห็ดหอมมาบำบัดผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และยังพบอีกว่า สารสกัดจากเห็ดหอมอีกตัวหนึ่ง ชื่อ eritadenine เป็นตัวช่วยลดปริมาณไขมันในเลือดและระดับโคเลสเตอรอลให้กับร่างกายได้อีกด้วย หลากหลายพันธุ์เห็ดรสอร่อย เห็ดนำมาปรุงอาหารให้อร่อยได้หลากหลายวิธี ทั้งต้มน้ำแกง ผัด ยำ ย่าง หรือทอด ที่เห็นมากในบ้านเรา ได้แก่

- เห็ดหอม มีทั้งแบบเนื้อบางและหนา คนนิยมนำเห็ดหอมตากแห้งมาปรุงอาหารเพราะให้กลิ่นหอมมากกว่าแบบสด ซึ่งก่อนปรุงต้องลวกในน้ำเดือดประมาณครึ่งชั่วโมง หรือแช่น้ำอุ่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือข้ามคืน ช่วยให้เนื้อเห็ดนุ่มขึ้น น้ำแช่เห็ดหอมนี้ยังเก็บเอาไปทำเป็นน้ำสต๊อกปรุงรสอาหารได้ด้วย คนนิยมนำมาปรุงอาหารเจ เพราะเนื้อนุ่มเหนียวและกลิ่นหอมชวนกิน ชาวจีนยกให้เห็ดหอมเป็นอาหารตำรับ “อมตะ” เพราะคุณสมบัติความเป็นยาบำรุงกำลัง และบรรเทาอาการไข้หวัด การไหลเวียนเลือดไม่ดี ปวดกระเพาะอาหาร รวมทั้งอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย ซึ่งเห็ดหอมนี้จะให้โปรตีนได้มากกว่าเห็ดแชมปิญองถึง 2 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินบี ซีลีเนียม และธาตุอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยบำรุงกระดูกแข็งแรง ลดไขมันในเลือด และต้านโคเลสเตอรอล

- เห็ดหูหนูดำ นอกจากเห็ดหูหนูดำแล้วยังมีเห็ดหูหนูขาว เนื้อกรุบกรอบคล้ายๆ กัน แถมยังมีสีขาวน่ารับประทานมากกว่า ตามร้านเย็นตาโฟนิยมนำมาใช้แทนแมงกะพรุน หรือต้มเป็นสุกี้หรือทำยำรวมมิตรก็อร่อยไม่น้อย- เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า และเห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดสามอย่างนี้อยู่ในตระกูลเดียวกัน เจริญเติบโตเป็นช่อๆ คล้ายพัด เห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้าจะมีสีขาวอมน้ำตาล ขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำและเนื้อเหนียวหนา และนุ่มอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์มากกว่า จึงมักถูกจัดเป็นอาหารจานหรูเมนูจักรพรรดิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือด และโรคกระเพาะอาหาร เห็ดนางฟ้าและเห็ดนางรมผิวเรียบนุ่ม รสชาติก็นุ่ม นำมาปรุงได้หลายแบบทั้งผัด ชุบแป้งทอด หรือแม้แต่ย่างก็ให้รสชาติดี แต่ไม่ควรใช้ไฟแรงเพราะจะทำให้เนื้อสัมผัสหมดไป

- เห็ดฟาง เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาว ส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดตลอดทั้งปี ให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด เชื่อว่าหากรับประทานประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดการติดเชื้อต่างๆ แต่ก็ไม่ควรรับประทานสด ๆ เพราะมีสารที่คอยยับยั้งการดูดซึมอาหาร ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการผื่นคันต่าง ๆ

- เห็ดหลินจือ นอกจากใช้รับประทานแล้ว ปัจจุบันยังมีการนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางอีกด้วย เพราะมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย และกระตุ้นภูมิคุ้มกันไวรัส แถมยังมีฤทธิ์แก้อักเสบ ลดความดันเลือด แก้ปวดศีรษะ รวมทั้งลดไขมันในเส้นเลือดด้วย

- เห็ดเข็มทอง เป็นเห็ดสีขาวหัวเล็กๆ ขึ้นติดกันเป็นแพ รสชาติเหนียวนุ่ม นำมารับประทานแบบสดๆ ใส่กับสลัดผักก็ได้ ถ้าชอบสุกก็นำไปย่าง ผัดหรือลวกแบบสุกี้

- เห็ดกระดุม หรือเห็ดแชมปิญอง รูปร่างกลมมน ผิวเนื้อนุ่มนวล มีให้เลือกทั้งแบบสด หรือบรรจุกระป๋อง

นานาสารอาหารจากเห็ด
เห็ดเป็นอาหารที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาล และเกลือต่ำมาก แถมยังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี วิตามินบีรวม ซีลีเนียม โปแตสเซียม และทองแดง จึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงที่ควรเลือกรับประทานเป็นประจำ

ซีลีเนียม เป็นสารอาหารที่ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับวิตามินอี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและโรคภัยต่างๆ ที่มากับวัยสูงอายุ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การรับประทานเห็ดหอม (ชิ้นขนาดกลางๆ 5 ชิ้น) จะให้ซีลีเนียมประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน นอกจากในเห็ดแล้ว ยังมีอยู่ในธัญพืช และเนื้อสัตว์ด้วย

โปแตสเซียม เป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ความสมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาทต่างๆ ทาง FDA ของสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่าการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของโปแตสเซียมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความดันเลือดสูง และอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งในเห็ดนั้นมีโปแตสเซียมสูง และโซเดียมต่ำ การรับประทานอาหารที่ปรุงจากเห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง 1 จานจะให้โปแตสเซียมได้พอๆ กับส้มหรือมะเขือเทศลูกโตๆ เลยทีเดียว

วิตามินบีรวม ในเห็ดขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีรวม ไม่ว่าจะเป็น ไรโบฟลาวิน (ที่นอกจากจะได้จากเห็ดแล้ว ยังมีมากในเครื่องในสัตว์ นม ไข่ และเต้าหู้) ช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณและการมองเห็น ขณะที่ไนอาซิน (ยังพบมากในปลาทูน่า เนื้อแดง ถั่วลิสง และอะโวคาโด) จะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบประสาท สถาบันอาหารแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประมาณไว้ว่า การรับประทานเห็ดแชมปิญองขนาดกลางๆ 5 ชิ้น จะได้ปริมาณไรโบฟลาวินมากพอๆ กับการดื่มนมสดถึง 8 ออนซ์

ทองแดง เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกันเพื่อมาช่วยเสริมการทำงานของธาตุเหล็กเห็ดโคลน เป็นเห็ดหายาก รสอร่อย ที่จะมีให้รับประทานเฉพาะในหน้าฝน บางคนจึงนิยมนำมาทำเป็นเห็ดดองเพื่อเก็บไว้รับประทานตลอดปี

ที่มา : หนังสือ สยามดารา

2008-11-12

ปวยเล้ง ผักเพิ่มพลังของป๊อบอาย

ปวยเล้ง ผักเพิ่มพลังของป๊อบอาย

ตอนเด็กๆ การ์ตูนเรื่องโปรดที่ "108 เคล็ดกิน" ชอบดูอยู่บ่อยๆ ก็คือเรื่องป๊อบอาย กะลาสีเรือผอมแห้งแรงน้อย แต่จะมีพลังแข็งแรงขึ้นมาทุกครั้งเวลาที่ได้กินผัก Spinach ของโปรด เจ้าผักชนิดนี้หลายๆคนเข้าใจว่าคือผักโขม แต่จริงๆแล้ว Spinach ที่ป๊อบอายกินนั้นคือผัก "ปวยเล้ง" ต่างหาก

ทำไมป๊อบอายกินผักปวยเล้งแล้วจึงมีพลังขึ้นมาทันที? นั่นก็เพราะผักปวยเล้งนั้นมีประโยชน์มากมาย ตั้งแต่เเร่ธาตุอย่างธาตุเหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียม และวิตามินซี วิตามินบี 2 อีกทั้งยังมีกรดโฟลิกที่เป็นส่วนประกอบที่จำเป็นในการสร้างสารซีโรโทนินในระบบเซลล์ประสาท ซึ่งสารซีโรโทนินที่ว่านี้ก็มีความสำคัญคือจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย

หากขาดสารตัวนี้ก็จะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย นอกจากนั้นแล้ว ปวยเล้งยังมีคลอโรฟิลล์สูง จึงเหมาะกับผู้ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลีย และมีอาการเครียด ทั้งยังมีมีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ และช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย

แต่ในผักปวยเล้งมีกรดยูริกมาก คนที่ป่วยเป็นโรคเกาต์หรือไขข้ออักเสบจึงไม่ควรกินมากนัก และยังมีกรดออกซาลิกอยู่มากเช่นกัน ซึ่งกรดนี้ถ้ารวมตัวกับแคลเซียมจะก่อให้เกิดนิ่วได้ ก่อนจะปรุงอาหารจึงควรลวกผักปวยเล้งครั้งหนึ่งก่อนแล้วเทน้ำที่ลวกทิ้งไป แล้วจึงนำผักมาปรุงอาหาร

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

สารพัดคุณค่าจาก "ผักโขม"

สารพัดคุณค่าจาก "ผักโขม"

ผักโขมนั้นเป็นผักที่หลายๆประเทศทั่วโลกรู้จักกันมายาวนานแล้ว สำหรับในประเทศไทยเองก็นิยมกินผักโขมมานานเช่นกัน โดยผักโขมนั้นก็แบ่งออกเป็นหลายชนิดด้วยกัน เช่น ผักโขมบ้าน ผักโขมสวน และผักโขมจีน ซึ่งชนิดที่คนนิยมกินและมีวางขายทั่วไปก็คือผักโขมจีนนั่นเอง

สำหรับประโยชน์ของผักโขมนั้นก็มีมากมายไม่แพ้ผักชนิดไหนๆ

เริ่มตั้งแต่เป็นแหล่งวิตามินเอ วิตามินซี กรดอะมิโน และสารอาหารอื่นๆ เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม และฟอสฟอรัสสูง เป็นผักบำรุงน้ำนมสำหรับคุณแม่ลูกอ่อน และแม้ผักโขมจะเป็นผักใบเขียว แต่ก็มีเบต้าแคโรทีนสูง โดยมีสารลูทีนและสารเซอักแซนทิน ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอนด์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสารทั้งสองนี้มีสรรพคุณช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา ลดความเสี่ยงจากโรคดวงตาเสื่อมได้ถึงร้อยละ 43 ทั้งยังมีผลในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และมีสารซาโปนินที่ช่วยลดคอลเลสเทอรอลในเลือดได้อีกด้วย

นอกจากนั้นผักโขมยังมีเส้นใยอาหารมาก จึงช่วยระบบขับถ่าย และลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้

ผักโขมยังสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลาย ทั้งอาหารแบบไทยๆ อย่างแกงจืด แกงเลียง ผัดน้ำมัน หรือจะเป็นอาหารอิตาเลียนยอดฮิตอย่างผักโขมอบชีส ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูเด็ดของหลายๆ คนเช่นกัน

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

คุณรู้จักแตงกวาดีแค่ไหน

คุณรู้จักแตงกวาดีแค่ไหน

เชื่อว่าสาว ๆ คงรู้จักแตงกวามานานแล้ว แต่แน่ใจหรือว่าคุณรู้จักประโยชน์ที่แตงกวาสามารถเนตมิตให้ได้ครบทุกด้านแล้ว รู้กันหรือเปล่าว่าเนื้อของแตงกวาเป็นสารอาหารชั้นยอด มีทั้งโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบีและซี และเอนไซม์สำคัญ ๆ อีกหลายชนิด นอกจากนี้เมล็ดแตงกวาอ่อน ๆ ยังใช้เป็นยาแก้ไขและยาขับปัสสาวะที่คนโบราณนิยมกันมาก ส่วนเนื้อมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยบำรุงธาตุและถ้าผิวหนังอักเสบก็สามารถเอาแตงกวาไปตำแล้วเอามาพอกแผลแก้อักเสบได้ด้วย สำหรับเรื่องความสวยความงาม แตงกวาก็ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าช่วยกระชับรูขุมขน บำรุงผิวหน้า และลบรอยฝ้าได้ดี โดยเอาแตงกวาไปล้างให้สะอาด ฝานบาง ๆ แล้วเอาวางบนหน้าสัก 20 นาที แล้วล้างออก หรือจะเอาแตงกวาไปปั่นแล้วเอาน้ำที่ได้มาชโลมหน้าไว้ประมาณ 15 -20 นาที แล้วล้างออกก็ได้ ถ้าทำบ่อย ๆ รับรองหน้าจะเด็กลงไปหลายปีแน่นอน

ที่มา : Spicy

2008-11-07

ผักผลไม้กับการลดน้ำหนัก

ผักผลไม้กับการลดน้ำหนัก

อาหารที่ให้พลังงานและสารอาหารสูง แถมยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วย จึงเหมาะที่นักไดเอทจะพกไว้เป็นเสบียงคู่ใจเพื่อต่อสู้กับความหิวที่จะมาเยือนเวลาเราลดน้ำหนัก

1. แอปเปิ้ล
จะไดเอทกี่ทีก็ต้องมีแอปเปิ้ล เพราะมันเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารมาก กินแล้วหนักท้องดีนัก แถมยังไม่หวานจัด แคลอรีต่ำ และมีคุณค่าอาหารเพียบ ดีขนาดนี้ แม้แต่เวลาที่ไม่ไดเอท ก็ไม่ควรมองข้ามแอปเปิ้ลหรอกนะ

2. ลูกเกด
ลูกเกดมีแมงกานีสที่ช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหารของเราทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้การลดความอ้วนได้ผลและระบบย่อยก็ทำงานเป็นปกติ ส่วนระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของสาวๆ ที่กำลังไดเอทนั้น เจ้าลูกเกดก็จะช่วยให้เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้ไม่หิวบ่อย จะได้ไม่ต้องกินอะไรเพิ่ม

3. ลูกพรุน
ลูกพรุนคือสุดยอดแหล่งรวมวิตามิน กินแล้วช่วยให้ผิวสวย เหมาะสำหรับนักไดเอทที่มักจะมีผิวพรรณเหี่ยวแห้ง หน้าตาซีดเซียว นอกจากนี้ลูกพรุนยังทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ หมดปัญหาเรื่องหน้ามืดตาลายและทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดี น้ำหนักจะได้ลดลงสมใจ

4. ข้าวกล้องและธัญพืชไม่ขัดขาว
ข้าวกล้องจะช่วยให้สาวๆ อิ่มนาน เพราะมันมีเส้นใยสูงมาก ทำให้หนักท้อง ตัดปัญหาเรื่องอยากกินของว่างหรือของจุกจิกทิ้งไปได้เลย ส่วนสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์มากๆ ในข้าวกล้องก็ดีต่อสุขภาพของเรา ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี หมดปัญหาอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

5. อาหารทะเล
อาหารทะเลในที่นี้ไม่ได้หมายถึง หอยนางรม หรือปลาหมึกที่มีโคเลสเตอรอลสูง แต่ควรจะกินปลาตัวเล็กๆ ปลาทูน่า แซลมอน ปลาซีดีนเท่านั้น สารซีลีเนียม แมกนีเซียม แคลเซียม และสังกะสี ในปลาพวกนี้จะช่วยรักษาความสมดุลของระบบประสาท คุณจะได้ไม่กลายเป็นน้องเอ๋อ สมองเสื่อม คิดอะไรไม่ออกระหว่างที่ลดความอ้วนไง

6. ถั่ว
คนที่ลดน้ำหนักมักจะอารมณ์ไม่ค่อยดี หงุดหงิดงุ่นง่านเห็นช้างเท่าหมูได้ทั้งวัน แต่ถ้าได้กินถั่วจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้ เพราะร่างกายจะได้รับวิตามินบีและแมกนีเซียม ซึ่งช่วยการทำงานของระบบประสาทให้เป็นปกติ แค่นี้ก็ไม่ต้องกลายเป็นแม่หญิงสวยประหารประจำกลุ่มแล้ว

ที่มา : spicy

2008-11-06

ดื่มน้ำผลไม้ประจำ ใช่จะดี เสี่ยงเบาหวาน

ดื่มน้ำผลไม้ประจำ ใช่จะดี เสี่ยงเบาหวาน

เดลิเมล์ - เตือนดื่มน้ำผลไม้คั้นแค่วันละแก้ว อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งทะยาน นำพาโรคเบาหวานมาให้สำหรับบางคนงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า น้ำผลไม้ที่หลายคนมองว่าเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสมและมีประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ กลับเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานและโรคอ้วนในทางกลับกัน หากกินผลไม้ทั้งน้ำทั้งเนื้อ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้นักวิจัยจากฮาร์วาร์ด เมดิคัล สกูล

สหรัฐฯ เชื่อว่าสาเหตุอาจมาจากการที่น้ำผลไม้ไม่มีไฟเบอร์ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นนักวิจัยค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างโรคเบาหวานประเภท 2 กับน้ำผลไม้ ด้วยการติดตามผลสุขภาพและพฤติกรรมของพยาบาลกว่า 70,000 คนในช่วงเวลา 18 ปีสิ่งที่พบคือ พยาบาลที่กินผลไม้สามมื้อต่อวัน มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานลดลง 18% ขณะที่พยาบาลที่ดื่มน้ำแอปเปิลเดือนละ 3 แก้วกลับมีความเสี่ยงโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มน้ำแอปเปิลเดือนละไม่ถึงหนึ่งแก้วรายงานที่อยู่ในวารสารไดอะบีตส์ แคร์ยังระบุว่า การดื่มน้ำส้มวันละแก้วเพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวานถึง 24%

นักวิจัยกล่าวว่า การค้นพบว่าน้ำผลไม้มีส่วนเกี่ยวพันกับความเสี่ยงโรคเบาหวาน บ่งชี้ว่าผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพควรเปลี่ยนไปดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่นแทนน้ำผลไม้ รวมถึงควรยกเลิกคำแนะนำที่ว่า การดื่มน้ำผลไม้ได้ประโยชน์เหมือนการกินผลไม้จริง


ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

2008-11-05

การกินยากับน้ำผลไม้

การกินยากับน้ำผลไม้

ตามปกติ ส่วนใหญ่ เวลาเราไม่สบาย เราก็มักจะรับประทานยา
เพื่อที่จะได้หายไวๆ แต่จนแล้วจนรอด เราก็ดันเผลอ ดื่มน้ำผลไม้ตามเข้าไปอีก และนั่นอาจเป็นการก่อให้เกิดอันตรายอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ทางคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียที่ซานฟานซิสโก ได้เปิดเผยผลการวิจัยซึ่งบ่งชี้ว่า น้ำผลไม้ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกาย ที่จะทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาของยาหมดไป เพระก่อนที่ยานั้นจะซึมเข้าสู่กระแสเลือดเลือด น้ำผลไม้จะต่อต้าน การดูดซึมของยา ที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว และโรคภูมิแพ้ต่างๆ รวมไปถึงยาที่ใช้กับผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายอวัยวะใหม่

ผลการวิจัยได้รับการเปิดเผยก่อนหน้านี้ บ่งบอกถึงอันตรายของน้ำผลไม้ในแง่ที่ส่งผลต่อการรับประทานยาเช่นกัน เพราะฤทธิ์ในการทำลายเอนไซม์ในร่างกาย ที่ทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ยาเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป เมื่อเอนไซม์ชนิดนี้ลดลง ทำให้ตัวยาบางชนิด รวมถึงยาที่ใช้ในการรักษา โรคความดันโลหิตและแอนติฮิสตามีน (Antihistamines) มีฤทธิ์ในการรักษารุนแรงขึ้น เพราะในบางกรณีที่ร่างกายได้รับตัวยามากเกินขนาด จะเป็นการก่อให้เกิดผลเสีย ต่อการรักษาและร่างกายผู้ป่วยได้

2008-11-04

น้ำผลไม้ ทำให้ร่างกาย ดูดซึมยาได้ไม่ดี

น้ำผลไม้ ทำให้ร่างกาย ดูดซึมยาได้ไม่ดี

ผลการศึกษาของแคนาดา พบว่า น้ำผลไม้บางชนิด เช่น น้ำส้ม น้ำแอปเปิล และน้ำเกรพฟรุต อาจไปขัดขวางกระบวนการดูดซึมยาในร่างกาย ทำให้ยาที่กินเข้าไปรักษาโรคได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะยาที่ใช้รักษาโรคหัวใจ มะเร็ง รวมถึงยาที่ใช้บำบัดอาการติดเชื้อ หรือ ควบคุมอาการต่อต้านที่เกิดกับร่างกาย หลังได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ

โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวสต์เทิร์น ออนแทรีโอ ในแคนาดา ทดลองให้อาสาสมัครสุขภาพดี ใช้ยาแก้แพ้เฟโซเฟอนาดีน ควบคู่ไปกับการดื่มน้ำเกรพฟรุต อีกกลุ่มให้ยาแก้แพ้ประเภทเดียวกันพร้อมดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของสารนารินจีน ซึ่งจะทำให้น้ำผลไม้มีรสขม และอีกกลุ่มรับยาพร้อมดื่มน้ำเปล่า

ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ดื่มน้ำเกรพฟรุต จะดูดซึมยาแก้แพ้ได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ดื่มน้ำเปล่า ส่วนกลุ่มที่ดื่มน้ำผสมสารนารินจีน ก็จะดูดซึมยาได้ไม่ดีเช่นกัน เพราะสารตัวนี้จะไปขัดขวางไม่ให้ลำไส้เล็กดูดซึมยาเข้าสู่กระแสเลือดได้สะดวก
ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยจึงแนะนำให้คนไข้ควรปรึกษาแพทย์ ก่อนจะกินยาพร้อมกับดื่มน้ำผลไม้ แต่ทางที่ดีควรกินยาพร้อมดื่มน้ำเปล่าตามลงไปจะดีที่สุด เพราะจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมยาได้ตามปกติ นักวิจัยยังคาดว่า น่าจะมียาอีกหลายประเภทที่ร่างกายดูดซึมได้ไม่ดี ถ้ารับประทานร่วมกับน้ำผล

ที่มา : ไอเอ็นเอ็น

2008-11-03

น้ำผักผลไม้-น้ำสมุนไพร ปนเปื้อน"น้ำใบบัวบก"ร้ายสุด

น้ำผักผลไม้-น้ำสมุนไพร ปนเปื้อน"น้ำใบบัวบก"ร้ายสุด

อย.สั่งอายัดนมผงนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 60 ตัน ส่งตรวจหาสารปนเปื้อน ชี้หากไม่ผ่านต้องส่งกลับต้นทาง-ทำลาย พร้อมเก็บตัวอย่างนม-ผลิตภัณฑ์ผสมนมจากจีน ตรวจ 97 ตัวอย่าง พบปนเปื้อนเมลามีนแค่ 2 ตัวอย่าง รอผลตรวจอีก 63 ตัวอย่าง ตะลึง "น้ำผักผลไม้-น้ำสมุนไพร" ทั่วกรุงเปื้อนจุลินทรีย์เพียบ "น้ำใบบัวบก" อันตรายสุดเผยในจำนวนนั้นเกิดจากเชื้อโรคที่ติดมากับมือคนตักขาย

เมื่อวันที่ 30 กันยายน นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รมช.สาธารณสุข แถลงว่าขณะนี้ได้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบนมผงจากจีน ได้แก่ ขนมปัง แคร็กเกอร์ (ไส้ครีม) ไอศกรีม เป็นต้น ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน จำนวน 97 ตัวอย่าง ผลการตรวจสอบจาก 34 ตัวอย่าง ไม่พบการปนเปื้อนสารเมลามีน 32 ตัวอย่าง ส่วน 2 ตัวอย่างมีการปนเปื้อนเมลามีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่นำเข้าจากจีน โดยบริษัทนมยี่ห้อดังแห่งหนึ่ง มีค่าเมลามีนที่ 0.38 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หรือ 0.38 พีพีเอ็ม และ 0.55 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม แต่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย ส่วนอีก 63 ตัวอย่าง กำลังรอผลตรวจวิเคราะห์

ผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ได้หนังสือรับรองจากอย.แล้ว ได้แก่ บริษัท ดีทแฮล์ม จำกัด มีผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด บริษัท มาร์ส ไทยแลนด์ อิงค์ จำกัด มีผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรอง 7 ชนิด บริษัท ซีโน-แปซิฟิก เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ได้รับการรับรอง 1 ชนิด และบริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ได้รับการรับรองไอศกรีม 4 ชนิด

นายวิชาญ เตือนให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากและเครื่องหมาย อย.มารับประทาน ไม่ควรเสี่ยงซื้อผลิตภัณฑ์ที่ลักลอบนำเข้า เพราะไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจาก อย. อาจมีการปนเปื้อนสารที่เป็นอันตรายได้ ดังนั้น จึงได้ตั้งวอร์รูมเพื่อติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที และเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้บริโภค อย.ได้นำข้อมูลและคำแนะนำสำหรับผู้บริโภคขึ้นเว็บไซต์ www.fda.moph.go.th รวมทั้งรายงานสถานการณ์ความคืบหน้าจากการประชุมวอร์รูมขึ้นเว็บไซต์ทุกวัน

นพ.ชาตรีบานชื่น เลขาธิการ อย. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา ได้เรียกประชุมหารือผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย โดยอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย จะต้องไม่พบการปนเปื้อนสารเมลามีน และสารในกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ กรดไซยานูริก แอมมีไลน์ แอมมีลีน โดยมีเกณฑ์ในการปฏิบัติเนื่องจากอาจมีการปนเปื้อนตามธรรมชาติ จึงกำหนดเกณฑ์ความปลอดภัยอาหารที่มีการปนเปื้อนสารเมลามีนและสารในกลุ่มเดียวกันไว้ว่า สำหรับนมผงทุกชนิด ต้องไม่เกิน 1 พีพีเอ็ม หรือ 1 ส่วนใน 1 ล้านส่วน หรือ 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารที่มีนมหรือองค์ประกอบของนมเป็นส่วนประกอบ ต้องไม่เกิน 2.5 พีพีเอ็ม หรือ 2.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

เลขาธิการอย. ชี้ว่า การนำเข้าอาหารเพื่อจำหน่าย จะต้องมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบของประเทศที่เป็นแหล่งผลิต หรือสถาบันเอกชนที่รับรองโดยหน่วยงานของรัฐที่รับรองประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดแล้ว ที่แสดงให้เห็นว่าไม่มีการปนเปื้อนสารเมลามีนและสารในกลุ่มเดียวกันเกินเกณฑ์ความปลอดภัยที่กำหนด ซึ่งประกาศฉบับนี้หากผู้ประกอบการรายใดฝ่าฝืนประกาศฉบับนี้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน-2 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท ทั้งนี้ จะนำเสนอ รมว.สาธารณสุข เพื่อลงนามในประกาศก่อนลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันถัดจากไป ก่อนประกาศจะมีผลบังคับใช้ จะใช้ พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 เกี่ยวกับอาหารที่น่าจะเป็นอันตรายเจือปนอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ภก.สาทิศตรีสัตยาเวทย์ ผอ.กองงานด่านอาหารและยา กล่าวถึงการนำเข้านมจากประเทศจีนของบริษัทนมชื่อดัง ว่า อย.ได้อายัดนมนำเข้าจากจีน ซึ่งบริษัทดังกล่าวนำเข้านมจากจีนเมื่อประมาณ 3 ปีมาแล้ว เดิมมีการนำเข้าจากนิวซีแลนด์ แต่เนื่องจากสภาพอากาศแห้งแล้ง นมขาดตลาด จึงได้นำเข้าจากจีน นอกจากนมผงที่อายัดไว้จำนวน 22 ตันเพื่อรอผลการตรวจวิเคราะห์ซ้ำแล้ว ขณะนี้ยังมีการอายัดนมผงอีกจำนวน 60 ตัน จาก 4 ลอตที่มีการนำเข้าที่ท่าเรือ หากผลการตรวจวิเคราะห์ออกมามีความปลอดภัยก็สามารถนำนมผงดังกล่าวเข้ามาเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้ แต่ถ้าไม่ผ่านมีการปนเปื้อนเมลามีน จะต้องส่งกลับไปยังประเทศต้นทางทันที หากไม่ส่งกลับ อย.จะนำไปทำลายต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการแถลงข่าวนพ.ชาตรี ได้สั่งการให้เก็บตัวอย่างนมผง 60 ตัน ส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ด้วย เพื่อเป็นการยืนยันผลการตรวจ

ขณะที่อันตรายจากการบริโภคอาหารปนเปื้อนยังขยายเพิ่มอีกน.ส.ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผู้อำนวยการกองควบคุมอาหาร (อย.) กล่าวว่า จากกระแสความใส่ใจต่อสุขภาพ ทำให้คนไทยหันมาดื่มน้ำผักผลไม้หรือน้ำสมุนไพรกันมากขึ้น แต่น้ำผลไม้และน้ำสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านความร้อนเพียงเล็กน้อย จึงมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจุลินทรีย์ในทุกช่วงการผลิต โดยเฉพาะหลักการผลิตและการวางจำหน่ายจะมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์มาก เนื่องจากไม่มีกระบวนการฆ่าเชื้อ ดังนั้น อย.จึงได้ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการปนเปื้อนจุลินทรีย์ในเครื่องดื่มสมุนไพร โดยศึกษาการปนเปื้อนจุลินทรีย์ในเครื่องดื่มสมุนไพรในภาชนะที่บรรจุปิดสนิทและพร้อมบริโภคที่จำหน่ายในเขต กทม. 50 เขต

ทั้งนี้น้ำผักผลไม้และน้ำสมุนไพรที่ได้เก็บตัวอย่างสำรวจ 455 ตัวอย่าง ได้แก่ น้ำใบบัวบก น้ำสำรอง น้ำเฉาก๊วย น้ำบีทูรท น้ำกระเจี๊ยบ น้ำเสาวรส น้ำเก๊กฮวย และน้ำจับเลี้ยง ทั้งในแบบภาชนะบรรจุปิดสนิทและตักขาย ผลตรวจวิเคราะห์พบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์สูงมากถึง 316 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 69.45 โดยแบบบรรจุภัณฑ์ปิดสนิท พบปนเปื้อนจุลินทรีย์มากที่สุดในน้ำใบบัวบกที่พบการปนเปื้อนสูงถึงร้อยละ 97.83 รองมาคือน้ำจับเลี้ยงร้อยละ 90 น้ำเสาวรสร้อยละ 87.88 น้ำบีทรูทร้อยละ 84.61 น้ำเฉาก๊วยร้อยละ 67.35 น้ำสำรองร้อยละ 62.50 น้ำกระเจี๊ยบร้อยละ 55.36 และน้ำเก๊กฮวยร้อยละ 54.69

ส่วนผลการตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนในน้ำผักผลไม้และน้ำสมุนไพรชนิดตักขายพบว่าน้ำสำรองมีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ร้อยละ 100 รองลงมาคือน้ำใบบัวบกร้อยละ 85.71 น้ำเฉาก๊วยร้อยละ 78.51 น้ำเก๊กฮวยร้อยละ 71.05 น้ำกระเจี๊ยบร้อยละ 50 และน้ำจับเลี้ยงร้อยละ 46.15 ส่วนน้ำเสาวรสจากตัวอย่างไม่พบการปนเปื้อนเลย โดยลักษณะการวางจำหน่ายที่มีใช้ถุงพลาสติกบรรจุน้ำแข็งมัดปากถุงวางลงในโหลเพื่อรอตักขาย พบการปนเปื้อนถึงร้อยละ 77.41 ขณะที่น้ำสมุนไพรที่วางจำหน่ายแบบไม่แช่เย็นจะพบการปนเปื้อนเพียงร้อยละ 45.41

นอกจากนี้การปนเปื้อนที่พบดังกล่าว ยังเกิดจากมือของผู้จำหน่ายร้อยละ 65.22 รองมาเป็นภาชนะและอุปกรณ์ร้อยละ 31.25 สำหรับเชื้อจุลินทรีย์ปนเปื้อนที่พบ ได้แก่ ยีสต์, คอลิฟอร์ม, โมลด์, อีโคไล และสเตปฟิโลคอคคัส ออเรียส บ่งบอกว่ามีการปนเปื้อนอุจจาระ และอาจก่อให้เกิดภาวะท้องร่วงได้ ทั้งนี้ผลการสำรวจนี้ ชี้ว่าในการจำหน่ายน้ำผักผลไม้และน้ำสมุนไพร ควรมีการพัฒนารูปแบบสำหรับการวางจำหน่ายเพื่อให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากเชื้อจุลินทรีย์ โดย อย.จะทำการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

น.ส.ทิพย์วรรณ กล่าวต่อว่า จากผลการสำรวจดังกล่าว ชี้ชัดว่าผู้จำหน่ายส่วนใหญ่ขาดองค์ความรู้ ทำให้เกิดการปนเปื้อน ซึ่งการทำน้ำผักผลไม้และเครื่องดื่มสมุนไพรดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นการขายตรงผลิตหน้าร้าน ไม่ต้องขออนุญาต แต่ยังต้องคงในเรื่องความปลอดภัย โดยการปนเปื้อนที่พบชี้ว่า การผลิตยังขาดสุขลักษณะที่ดี เชื้อเหล่านั้นทำให้อาหารเน่าเสียง่าย และอาจก่อให้เกิดปัญหาท้องเสีย แต่ไม่ก่อความรุนแรง เชื้อยีสต์ และโมลด์มาจากอากาศทั่วไป

ส่วนคอลิฟอร์มชี้ว่าไม่ถูกสุขลักษณะ อย่างไรก็ตาม อย.กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหา ในปีหน้าจะมีโครงการพัฒนาการจำหน่ายและผลิตน้ำผักผลไม้และน้ำสมุนไพร เพื่อให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยจะนำร่องในบางพื้นที่ของ กทม. ซึ่งจะมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ พร้อมทั้งจัดทำคู่มือเพื่อให้ผู้ผลิตปฏิบัติตาม ส่วนที่พบว่าน้ำใบบัวบกมีการปนเปื้อนมากที่สุด เนื่องจากเป็นพืชที่อยู่ใต้น้ำ ผู้ผลิตล้างไม่สะอาดเพียงพอจึงเกิดปัญหา

2008-11-01

10 อันดับเครื่องดื่มมีประโยชน์ที่สุด

10 อันดับเครื่องดื่มมีประโยชน์ที่สุด

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส จัดอันดับ 10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก โดยดูที่ระดับสารแอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ

ปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ มีประ โยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง

สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ น้ำทับทิม ไวน์แดง น้ำองุ่นคอนคอร์ด น้ำบลูเบอร์รี่ น้ำแบล็กเชอร์รี่ น้ำอะซาอี น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำส้ม น้ำชา และน้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา