2015-12-03

เห็ด คุณค่าทางอาหาร สรรพคุณและประโยชน์ของเห็ดมีอะไรบ้าง

หากเอ่ยถึงเรื่องของอาหารเพื่อสุขภาพ แน่นอนว่าเมนูเห็ดย่อมเป็นหนึ่งในอาหารที่หลายๆ คนคิดถึงกันเป็นอันดับแรกๆ ด้วยความที่เห็ดนั้นเป็นอาหารที่มีรสชาติอร่อยถูกปาก ที่ปราศจากไขมัน แคลอรีต่ำ แถมยังมีปริมาณโซเดียมหรือเกลือน้อยมากๆ อีกด้วย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ร่างกายอ่อนแอหรือกำลังลดน้ำหนักกันอยู่ และสามารถนำมาประกอบอาหารรับประทานกันได้หลากหลายเมนูมากๆ จึงทำให้หลายๆคนต่างติดใจในเมนูเห็ดกันอย่างมากมาย





 
เห็ด (Mushroom) เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีมาช้านานและยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเห็ดสดหรือเห็ดตากแห้ง รวมทั้งชนิดบรรจุกระป๋องด้วย และเห็ดทั้งในประเทศและต่างประเทศมีอยู่มากมายหลากหลายสายพันธุ์เลยทีเดียว แต่หลักๆแล้วจะมีการจำแนกกลุ่มของเห็ดออกเป็น 3 กลุ่มคือ – เห็ดชนิดที่รับประทานได้นิยมนำมารับประทานเป็นอาหารเพื่อสุขภาพกัน อาทิ เห็ดนางฟ้า, เห็ดฟาง, เห็ดหูหนู, เห็ดนางรม, เห็ดโคน, เห็ดเข็มทอง ฯลฯ – เห็ดที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพร เนื่องจากมีสรรพคุณทางยา อาทิ เห็ดหอม หรือเห็ดหลินจือ ฯลฯ – เห็ดพิษที่ไม่สามารถรับประทานได้และอาจถึงแก่ชีวิตได้ อาทิ เห็ดระโงกหิน, เห็ดจิก, เห็ดจวักงู, เห็ดสน, เห็ดหมึก, เห็ดหิ่งห้อย ฯลฯ
 
เห็ดคืออะไร? สำหรับนักจุลชีววิทยานั้นจะถือว่าเห็ดนั้นจัดเป็นเชื้อราชั้นสูงชนิดหนึ่ง แต่สำหรับนักเกษตรแล้วกลับมองว่าเห็ดเป็นพืชชั้นต่ำ เพราะไม่สามารถสร้างอาหารขึ้นได้ด้วยตนเอง ซึ่งเห็ดนั้นจะมีการเพาะพันธุ์ด้วยการสร้างสปอร์ ทำให้เกิดเป็นกลุ่มใยราจนกระทั่งเจริญเติบโตขึ้นเป็นดอกเห็ด ซึ่งมีสีสันและรูปร่างของดอกเห็ดตามแต่ละชนิดของสายพันธุ์เห็ดต่างๆ ซึ่งเห็ดนั้นจะมีส่วนประกอบหรือโครงสร้างดังนี้ – หมวกเห็ด คือ ส่วนที่อยู่บนสุดของเห็ด ซึ่งมีรูปร่างและสีสันแตกต่างกันออกไป – ก้านเห็ด คือ บริเวณที่ติดเป็นเนื้อเดียวกับดอกเห็ด ซึ่งคอยรองรับดอกเห็ดให้ชูขึ้นด้านบน – ครีบเห็ด คือ บริเวณที่ทำให้เกิดสปอร์ มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ อยู่ตรงใต้หมวกเห็ด – วงแหวน คือ บริเวณที่เกิดจากเนื้อเยื่อบางๆ ที่ยึดระหว่างก้านดอกกับขอบหมวกเห็ดขาดออกจากหมวกเห็ดเมื่อบาน – เยื่อหุ้มดอกเห็ดหรือเปลือก คือ บริเวณส่วนที่อยู่ด้านนอกสุดที่ทำหน้าที่หุ้มหมวกเห็ดและก้านไว้ เมื่อยังเป็นดอกอ่อนอยู่ และจะเริ่มปริหรือแตกออกเมื่อดอกเห็ดเริ่มขยายหรือบานออก แต่ยังคงมีเยื่อหุ้มอยู่บริเวณโคนของเห็ด เพราะเป็นส่วนที่ไม่ได้มีการขยายตัวออก – เนื้อเห็ด คือ ส่วนที่อยู่ภายในของหมวกเห็ด ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นใย เปราะ เหนียว และนุ่ม
 
สรรพคุณและประโยชน์ของเห็ด เห็ดนั้นมีอยู่มากมายหลายประเภท ประโยชน์และสรรพคุณของเห็ด หรือคุณค่าทางอาหารจึงมีแตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ของเห็ด แต่โดยรวมแล้วเห็ดมีประโยชน์มากมาย เป็นได้ทั้งอาหารและสมุนไพรรักษาโรค บำรุงร่างกาย ดังนี้ – ช่วยต่อต้าน ป้องกัน และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติในร่างกายของเราที่จะก่อเกิดโรคมะเร็งต่างๆขึ้นได้ – ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และไขมันในเลือดได้ดี – ช่วยให้การทำงานของระบบตับ, ไต และหัวใจ ทำงานได้เป็นปกติอย่างมีประสิทธิภาพ – มีสารอนุมูลอิสระที่ช่วยให้ร่างกายเกิดการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายขึ้น ทำให้ร่างกายไม่อ่อนแอหรือเจ็บป่วยง่าย – ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และปรับสภาพความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ – มีไฟเบอร์และกากใยอาหารสูง ทำให้ระบบขับถ่ายสามารถทำงานได้ดี และไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคริดสีดวงทวาร, โรคกระเพาะ หรือมะเร็งลำไส้ – ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้ไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคธาลัสซีเมีย หรือโรคโลหิตจาง – ช่วยสมานแผล และลดอาการอักเสบของเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ – ช่วยให้ระบบสมองและประสาททำงานได้ดี – ช่วยทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดลมในร่างกายดี – ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน และโรคภูมิแพ้ – ช่วยให้ร่างกายไม่อิดโรย มีกำลัง กระปรี้กระเปร่า – ช่วยแก้อาการไอเรื้อรังได้ – ช่วยให้ผิวพรรณดูสดใส ไม่หมองคล้ำ และดูมีน้ำมีนวล – ช่วยขับสารพิษหรือสารเคมีต่างๆ ในตับออกจากร่างกาย – เป็นยาอายุวัฒนะ
 
คุณค่าทางอาหารของเห็ด สำหรับเห็ดนั้นเรียกได้ว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมากๆ และไม่มีไขมัน หรือคอเลสเตอรอล เรียกว่าเป็นได้ทั้งอาหารและยาในเวลาเดียวกันเลยก็ว่าได้ ซึ่งมีสารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นแก่ร่างกายเป็นอย่างมาก อาทิ – มีวิตามินซีสูง ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคต่างๆ – ซีลีเนียม เป็นตัวช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และยับยั้งการเกิดขึ้นของเซลล์มะเร็ง เรียกว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ใกล้เคียงกับวิตามินอีเลยทีเดียว – โพแทสเซียม เป็นตัวที่ช่วยให้ร่างกายเกิดความสมดุล เพราะจะเข้าไปทำให้กระบวนการในระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานอย่างประสานสอดคล้องกัน และควบคุมในเรื่องของจังหวะการเต้นของหัวใจด้วย – ไนอะซิน ก็จะเป็นตัวควบคุมการทำงานในระบบการย่อยอาหารในกระเพาะ รวมทั้งระบบประสาทต่างๆ ได้ดีด้วย – ไรโบฟลาวิน สารอาหารนี้ก็จะเป็นตัวช่วยในเรื่องของสายตาการมองเห็ด และบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ไม่อิดโรย – วิตามินบีรวม ซึ่งก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ระบบการทำงานต่างๆ ภายในร่างกายดีขึ้น และผ่อนคลายความตึงเครียดให้แก่ร่างกาย
 
ซึ่งนอกจากเห็ดโดยรวมแต่ละชนิดจะมีประโยชน์ในตัวเองอย่างมากมายแล้ว การนำเห็ด 3 อย่างขึ้นไป มาต้มรับประทานพร้อมกัน ก็จะยิ่งทำให้ได้ประโยชน์มากกว่าการรับประทานเห็ดเพียงชนิดเดียว เนื่องจากเมื่อนำเห็ด 3 อย่างมารวมกันจะทำให้เกิดค่าของกรดอะมิโนซึ่งอยู่ในระดับที่สามารถต้านทานหรือต่อสู้กับโรคมะเร็งร้ายได้ รวมทั้งขับสารพิษและสารเคมีต่างๆ ที่ตกค้างอยู่ภายในร่างกายของเราออกมาได้ ซึ่งเห็ด 3 อย่างนี้เราก็สามารถเลือกรับประทานกันได้ตามชอบใจ ขอเพียงให้ได้เป็นเห็ด 3 ชนิดมาประกอบอาหารด้วยกันเท่านั้น รายชื่อเห็ดที่สามารถนำมารับประทานได้
จะเห็นได้ว่าเห็ดนั้นจัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง แถมยังมีรสชาติที่อร่อย นุ่ม ลื่นลิ้น และยังเป็นอาหารที่หารับประทานกันได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป หรือซูเปอร์มาร์เก็ดต่างๆ แต่ทั้งนี้ การรับประทานเห็ดก็ควรจะรับประทานในปริมาณที่พอดี ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพราะหากรับประทานมากเกินไปจากที่จะได้ประโยชน์อาจกลายเป็นโทษแทนได้
 
 
ที่มา : เกร็ดความรู้ดอทเน็ท
 

ผิวใส สุขภาพดี แบบดับเบิ้ล ด้วยงาดำ – ข้าวสีนิล


ใครจะรู้บ้างว่าธัญพืชสีดำ ๆ อย่าง งาดำและข้าวสีนิล จะเต็มไปด้วยคุณค่ามากมายและมีสรรพคุณหลายอย่าง แถมยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมาก ๆ วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับธัญพืชทั้งสองชนิดนี้กัน เชื่อว่า… ใครได้รู้จักแล้ว เป็นต้องหลงเลิฟเลิฟเป็นแน่ เพราะนอกจากดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยให้ผิวสวยใส ด้วยนะ คอนเฟิร์ม!!



รู้จักกับ… ข้าวสีนิล
 

ข้าวสีนิล เป็นข้าวที่ได้รับการคัดเลือกจนได้ข้าวที่มีเมล็ดข้าวกล้อ งเรียวยาว สีม่วงเข้ม สารสกัดจากรำข้าวหอมนิล อุดมไปด้วย น้ำมันธรรมชาติ, วิตามินอี และบี คอมเพล็กซ์ และรงควัตถุแอนโทไซยานิน (anthocyanin) มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากว่าในเบอร์รี่ 3 เท่า และมากกว่าวิตามินอีถึง 5 เท่าซึ่ง ช่วยให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย เรียกว่าลืมเรื่องริ้วรอยก่อนวัยอันควรไปเลย เพราะสารต้านอนุมูลอิสระลดความเสียหายของผิวหนังที่เกิดจากขบวนการออกซิเดชั่น (oxidation) ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดขบวนการออกซิเดชั่น คือ แสงอัลตร้าไวโอเลต ทั้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ อาทิ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยทำให้เส้นผมดำ นุ่มสลวย ช่วยบำรุงรากผมให้ พร้อมกระตุ้นให้ผมมีสีเข้มขึ้นตามธรรมชาติ ชะลอการเกิดผมหงอกก่อนวัยอันควร
มารู้จักกับ งาดำ กันบ้าง…

งาดำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sesamum orientale L. อยู่ในวงศ์ Pedaliaceae จัดเป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์สูงมาก มีเซซามิน (Sesamin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงเป็นการรับมือโดยตรงกับอนุมูลอิสระตัวร้ายที่ทำลายคอลลาเจนในชั้นผิวนั่นเอง ช่วยให้นอนหลับ ช่วยให้ไม่โทรม ดูมีเลือดฝาด และดูดีได้
 

ว้าว… เรียกได้ว่าเป็นธัญพืชสีดำเมล็ดเล็ก ๆ ที่จิ๋วแต่แจ๋วจริง ๆ แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้เจ้าสองตัวนี้จะดูมีหน้าที่คล้าย ๆ กัน แต่การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากอาหารหลาย ๆ ประเภทจะให้ผลในการป้องกันมากกว่าการได้รับจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งเนื่องจากมีฤทธิ์สร้างเสริมกัน ทำให้ธัญพืชที่ให้สารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อได้รับร่วมกัน โดยฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระในงาดำ มาจากสารเซซามิน ส่วนข้าวสีนิลมาจากแอนโทไซยานิน ในส่วนของรำข้าว ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยทำหน้าที่เข้าไปจับอนุมูลอิสระ ไม่ให้มาทำร้ายเซลล์ในชั้นผิว ดังนั้นทั้งงาดำและข้าวสีนิลจึงถูกให้ฉายาว่าเป็นราชาและราชินีแห่งธัญพืชในการต้านอนุมูลอิสระ เมื่อรับประทานงาดำคู่กันกับข้าวสีนิลจึงเป็นการส่งผลแบบทวีคูณเป็น Super Antioxidant ซึ่งให้ประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากการเกิดริ้วรอย และ บำรุงให้ผิวดูอ่อนเยาว์ดูดีแบบดับเบิ้ลได้ง่าย ๆ ทุกวัน

ที่มา:kapook.com



ขมิ้นชัน คุณประโยชน์อเนกอนันต์ ทั้งต้านทั้งรักษาโรค




ขมิ้นชัน เป็นพืชสมุนไพรที่มีมาแต่โบราณ แพทย์แผนไทยโบราณได้นำขมิ้นชันมาทำเป็นยาหลายตำรับซึ่งเป็นต้นแบบของยาหลายชนิด ในปัจจุบันนักวิทยาศาตร์ได้ทำการศึกษาค้นคว้าและทดลองถึงคุณสมบัติทางเคมีของขมิ้นชัน (หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆคือ ศึกษาให้รู้ว่ามีสรรพคุณอย่างไรบ้าง) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ทางเลือกในการปรุงเป็นยาชนิดต่างๆ ซึ่งในประเทศไทยได้ศึกษาค้นคว้ามายาวนาน จนมั่นใจได้ว่าสมุนไพรขมิ้นชันเป็นพืชที่มีประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ จนกระทั่งนำขมิ้นชันขึ้นทะเบียนในบัญชียาหลักแห่งชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม การเผยแพร่สรรพคุณขมิ้นชันจะเป็นรูปแบบของสรรพคุณอย่างง่ายๆที่ทุกคนหาอ่านได้ทั่วไปตามหนังสือ แต่ในรูปแบบที่เป็นการทดลองจากห้องทดลองยังไม่สามารถหาอ่านได้จากที่ไหน ผมเองจึงได้พยายามสรุปสรรพคุณของขมิ้นชันจากการทดลองทางวิทยาศาตร์มาให้ได้ลองอ่านกันดู โดยใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย เพื่อเป็นกันขยายและเพิ่มองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไปให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น

ประโยชน์และสรรพคุณขมิ้นชันที่ควรรู้ (สรุปจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์)

1. ต้านการเกิดแผลและสมานแผลในกระเพาะอาหาร

ขมิ้นชันมันมีสรรพคุณในการสมานแผล ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น โดยเร่งการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อที่เป็นแผล น้ำมันหอมระเหยของขมิ้นชัน นอกจากช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารแล้ว ยังช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยการกระตุ้น mucin มาเคลือบกระเพาะอาหารและยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยชนิดต่างๆได้

2. ลดการอักเสบ

มีผลการทดลองว่า ผงแห้ง น้ำคั้นและสารสกัดชนิดต่างๆมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบในร่างกายทุกชนิด และสารสำคัญในการออกฤทธิ์ลดการอักเสบ คือ สารที่มีชื่อว่า curcumin และเมื่อนำไปเทียบเคียงกับยาแผนปัจจุบันที่ช่วยบรรเทาการอักเสบที่มีชื่อว่า ฟีนิลบิวทาโซน (ยาบรรเทาอาการอักเสบที่ข้อ เช่น รูมาตอยด์ เป็นต้น) พบว่า มีฤทธิ์ใกล้เคียงกันในการรักษาอาการอักเสบแบบเฉียบพลัน แต่จะมีฤทธิ์เพียงครึ่งเดียวในการรักษาอาการอักเสบแบบเรื้อรัง

มีการทดลองทางคลินิกในผู้ป่วยที่มีปัญหากระดูกและข้ออักเสบเรื้อรัง จำนวน 42 คน โดยใช้สมุนไพรที่มีส่วนประกอบของเหง้าขมิ้นพบว่า การได้รับสมุนไพรดังกล่าว สามารถลดความเจ็บปวดที่รุนแรงได้

3. ต้านการแพ้

ขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการต้านการแพ้ โดยการออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งของสาร histamine ของร่างกายเมื่อมีอาการแพ้

4. ลดการบีบตัวของลำไส้

จากการทดลองทางคลินิกกับคนไข้จำนวน 440 คน อายุเฉลี่ย 48.5 ปี โดยการให้ทานขมิ้นชันทุกวัน วันละ 162 มิลลิกรัม พบว่า ขมิ้นชันมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ และยังช่วยในการขับลมและแก้อาเจียนด้วย

5. ลดอาการแน่นจุกเสียด

มีการทดลองในผู้ป่วยโรคท้องอืดท้องเฟ้อในโรงพยาบาล 6 แห่ง จำนวน 160 คน โดยรับประทานครั้งละ 2 แคปซูลวันละ 4 ครั้ง พบว่าได้ผลดีกว่ายาขับลมและผู้ป่วยพอใจ ซึ่งน้ำมันหอมระเหยของขมิ้นเป็นสารออกฤทธิ์ในการขับลม

6. ขับน้ำดี

ขมิ้นชันสามารถออกฤทธิ์เพิ่มการขับและกระตุ้นการสร้างน้ำดีได้ ซึ่งน้ำดีเป็นสารสำคัญในกระบวนการช่วยย่อยและดูดซึมอาหารของร่างกาย

7. รักษาอาการท้องเสีย

ตามตำรายาพื้นบ้านของไทย มีการใช้ขมิ้นรักษาอาการท้องเสีย โดยนำผงขมิ้นชันผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทานหลังอาหารและก่อนนอน ครั้งละ 3-5 เม็ด วันละ 3 เวลา และในประเทศอินโดนีเซียก็มีการใช้ขมิ้นในการรักษาอาการอุจจาระร่วงเช่นกัน และขมิ้นชันขนาด 1000 มก./ครั้ง/วัน มีผลทำให้อาการท้องร่วงในลูกสุกรระยะดูดนมแม่หายไป

8. ต้านแบคทีเรีย

ทั้งสารสกัดขมิ้นชัน น้ำมันหอมระเหย สาร curcumin และอนุพันธ์มีฤทธิ์ในการต้านแบคทีเรียชนิดต่างๆ เช่น

แบคเรียที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
แบคทีเรียที่ทำให้เกิดเยื้อหุ้มฟันอักเสบ
แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคท้องเสีย
แบคทีเรียก่อโรคในกุ้ง
แบคทีเรียที่ให้เกิดหนอง

9. ต้านยีสต์และเชื้อรา

ทั้งสารสกัดขมิ้นชัน น้ำมันหอมระเหย สาร curcumin และอนุพันธ์ มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตและฆ่ายีสต์, เชื้อราชนิดต่างๆ เช่น

เชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง อย่างเช่น โรคกลาก
ยีสต์ที่มีชื่อว่า Candida albicans ซึ่งเป็นเชื้อโรคฉวยโอกาสของผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เบาหวาน เอดส์ เป็นต้น
10. ต้านปรสิต

สารสกัดจากขมิ้นสามารถที่จะฆ่าเชื้ออะมีบา ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคบิดมีตัวได้

11. ป้องกันตับอักเสบ

ขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการป้องกันตับอักเสบ

จากการทดลองในหนูขาวพบว่าขมิ้นชันสามารถป้องกันตับถูกทำลายจากใช้ยาพาราเซตามอล
จากการทดลองในหนูขาวพบว่า สาร curcumin จากขมิ้นสามารถป้องกันตับจากการถูกทำลายด้วยเอทานอล โดยเอทานอลจะทำให้ตับทำงานหนัก และทำให้การทำหน้าที่และระดับของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดอนุมูล อิสระเพิ่มขึ้น แต่หลังจากที่หนูขาวได้รับสารสกัดขมิ้นชันร่วมกับการรับเอทานอลแล้ว ตับทำงานน้อยลง รวมถึงการทำหน้าที่และระดับของเอนไซม์ในตับลดลง (เอทานอลเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งที่ทานได้ ซึ่งเหล้าก็เป็นเอทานอลแบบหนึ่ง)

12. ต้านการกลายพันธุ์ (ต้านมะเร็ง)

ขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ ต้านสารก่อมะเร็งที่มีบทบาทสำคัญในโรคที่เกี่ยวกับเบาหวาน และโรคที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกาย

13. ต้านความเป็นพิษต่อยีน

ขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการป้องกันความเสียหายของ DNA และต้านความเป็นพิษต่อยีน

14. มีสรรพคุณสมานแผล

ผงขมิ้นที่นำมาผสมกับน้ำแล้วทาลงบนแผลพบว่า ช่วยเร่งให้แผลที่ไม่ติดเชื้อของกระต่ายและหนูขาวหายได้ 23.3 และ 24.2% ตามลำดับ และสามารถเร่งให้แผลติดเชื้อของหนูขาวหายได้ 26.2%

การทดลองทางคลินิค โดยทายาสมุนไพรซึ่งมีขมิ้นเป็นส่วนประกอบที่ผิวหนัง พบว่ามีฤทธิ์ในการสร้างเซลล์ผิวขึ้นใหม่ มีผู้ทดลองใช้สาร curcumin จากขมิ้นในการรักษาแผลหลังผ่าตัด 40 ราย พบว่าให้ผลลดการอักเสบได้เหมือนฟีนิลบิวทาโซน การทดลองใช้ขมิ้นหรือยาปฏิชีวนะ ในการรักษาแผลผุพองในผู้ป่วย 60 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ใช้ขมิ้น และกลุ่มที่ให้ยาปฏิชีวนะ แล้วติดตามดูแผลพุพองหลังการรักษา 21 วัน พบว่าผู้ป่วยทุกรายหายจากโรค และไม่พบภาวะแทรกซ้อนหรือข้อแตกต่างระหว่างการใช้ขมิ้นและยาปฏิชีวนะ

มีการนำสารสกัดของขมิ้น มาพัฒนาตำรับเป็นครีมป้ายปาก แล้วทำการทดลองเพื่อสังเกตฤทธิ์ในการสมานแผล โดยทำการทดลองในอาสาสมัคร 30 คน พบว่าครีมป้ายปากที่มีสารสกัดขมิ้นชัน 1% มีผลทำให้แผลในปากหายภายใน 1 สัปดาห์


ทีมา : GreenShopCafe , สาระสุขภาพยาน่ารู้โดยเภสัชกรอุทัย


2015-12-01

ประโยชน์จากต้นอ่อนทานตะวัน พืชจิ๋วมหัศจรรย์เพื่อคนรักสุขภาพ




ต้นอ่อนทานตะวันเป็นพืชผักเล็กจิ๋วที่ฮิตในกลุ่มคนรักสุขภาพมาพักใหญ่แล้ว ใครหลายคนย่อมรู้จักพืชชนิดนี้เป็นอย่างดี แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังมีใครอีกหลายคนที่อาจจะยังไม่รู้จักและวันนี้เราเลยไม่รอช้า หยิบเอาประโยชน์จากต้นอ่อนทานตะวันมาฝาก ว่าแล้วก็ตามมาทำความรู้จักไปพร้อมกันเลยนะคะ

มาทำความรู้จักลักษณะของต้นอ่อนทานตะวันกันเถอะ
ต้นอ่อนทานตะวันเป็นต้นอ่อนเล็กๆ ที่มีอายุเพียงแค่ 7 – 11 วันเท่านั้น ซึ่งพืชต้นเล็กๆ นี่แหละค่ะที่ว่ากันว่าเปี่ยมด้วยสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากมาย ประโยชน์จากต้นอ่อนทานตะวัน อย่างเช่น มีโปรตีน แคลเซียม ธาตุเหล็ก ไฟเบอร์ โพแทสเซียม สังกะสีและไขมันชนิดดีต่อร่างกาย นอกจากนี้ ต้นอ่อนทานตะวันปริมาณ 1/4 ถ้วยยังมีไขมันสูง 16 กรัม โดยมีไขมันอิ่มตัว 2 กรัม ไขมันแบบไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนอีก 8 กรัม และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดียว 6 กรัม มีคาร์โบไฮเดรต 6 กรัม โปรตีน 6 กรัมและปริมาณไฟเบอร์ 2 กรัม ไขมันที่พบจากต้นอ่อนทานตะวันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นไขมันเพื่อสุขภาพโดยจะช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ด้วย
นอกจากนี้ ต้นอ่อนทานตะวัน 1/4 ถ้วยยังมีปริมาณของธาตุเหล็กมากถึง 8% ของปริมาณธาตุเหล็กที่ร่างกายเราควรได้รับต่อวัน และยังมีแคลเซียม 2% ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวันเช่นกัน นับว่าต้นอ่อนทานตะวันนี้เป็นพืชอันทรงคุณค่าที่มีประโยชน์มหาศาลอย่างยิ่ง

สารอาหารจากต้นอ่อนทานตะวันที่ดีต่อร่างกาย
ในต้นอ่อนทานตะวันมีสารที่เรียกว่า GABA (gamma aminobotyric acid) โดยมีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง บำรุงเซลล์สมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ บำรุงผิว ชะลอความแก่ บำรุงสายตาและช่วยควบคุมน้ำหนัก ประโยชน์จากต้นอ่อนทานตะวัน ยังไม่หมดลงแต่เพียงเท่านั้นนะคะ เพราะยังมีวิตามินบี 1 บี 6 วิตามินอี ซีและเซเลเนียม มีกรดไขมันโอเมก้า 3, 6, 9 และยังมีโฟเลทสูงซึ่งดีต่อสุขภาพผู้หญิงตั้งครรภ์ ทั้งยังช่วยกำจัดเชื้อโรคภายในปอดได้ เพราะในศาสตร์แพทย์แผนอายุรเวทโบราณได้บอกไว้ว่า ต้นอ่อนทานตะวันจะสามารถทานเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินหายใจได้ด้วยนั่นเอง


ต้นอ่อนทานตะวันกับโทษที่มีต่อสุขภาพ
อาหารการกินทุกชนิดหากมีประโยชน์ก็ย่อมมีโทษให้กล่าวถึงเช่นกัน และต้นอ่อนทานตะวันก็เหมือนกันนะคะ ถึงจะมี ประโยชน์จากต้นอ่อนทานตะวัน มากมาย หากเรารับประทานในปริมาณที่มากเกินไปก็ย่อมเกิดโทษต่อสุขภาพ เนื่องจากมันมีปริมาณไขมันมากจึงทำให้ทานแล้วร่างกายได้รับแคลอรี่สูงตาม ส่งผลทำให้อ้วนขึ้นได้ เพราะต้นอ่อนทานตะวัน 1/4 ถ้วยให้ปริมาณแคลอรี่สูงมากถึง 190 มิลลิกรัมนั่นเอง เพราะฉะนั้น ทานในปริมาณพอดีดีกว่านะคะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับ ประโยชน์จากต้นอ่อนทานตะวัน พืชจิ๋วมหัศจรรย์เพื่อคนรักสุขภาพที่ดีต่อสุขภาพ มากมายด้วยวิตามิน แร่ธาตุหลายชนิดทั้งยังจัดเป็นอาหารทางยาที่ป้องกันโรคได้ด้วย ดีแบบนี้ห้ามพลาดซะแล้วล่ะ


ที่มา : banhealthy.com

สมุนไพรหอม “ใบเตย” สรรพคุณชั้นเยี่ยมจากธรรมชาติ



เมื่อพูดถึงใบเตย ต้นเตย คงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะสีของใบเตยถูกนำไปผสมเป็นอาหารคาวหวานมานมนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากสีสันแล้ว กลิ่นอันหอมหวนโดดเด่นก็เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของใบเตยที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นดับกลิ่นคาวในอาหาร ดับกลิ่นอับในห้อง หรือตู้เสื้อผ้า เพิ่มกลิ่นของขนมและอาหารให้น่าสนใจและเรียกน้ำย่อยได้อย่างดีทีเดียว  เราลองมาดูซิว่าสรรพคุณเด่นๆ ด้านอื่นๆ จะมีอะไรอีกบ้าง  รวมไปถึงวิธีการนำไปใช้

ลักษณะของเตย

เตยเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว  แตกกอเป็นพุ่มขนาดเล็ก  ลำต้นเป็นข้อ มีรากค้ำช่วยพยุงลำต้นไว้  ใบเป็นใบเดี่ยวสลับเวียนเป็นเกลียวขึ้นไปจนถึงยอด  ลักษณะเป็นใบเรียวยาว ขอบใบเรียบมีผิวมัน  ตรงกลางใบเว้าลึกเป็นแอ่ง มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นอีกหลายชื่อ เช่น  ส้มม่า(ระนอง)  ส้มตะเลงเครง(ตาก)  ส้มปู(แม่ฮ่องสอน)  ส้มพอดีหรือผักเก็งเค็ง(ภาคเหนือ) เป็นต้น   ใบเตยจะมีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหย (Fragrant Screw Pine) ซึ่งเป็นกลิ่นหอมจากสารเคมีที่เรียกว่า 2-acetyl-1-pyrroline ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกันกับที่ได้ในข้าวหอมมะลิ  ขนมปังขาว  และดอกชมนาด

นอกจากนี้  ใบเตยยังเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด ใบเตย  100 กรัม จะประกอบไปด้วย เบต้าแคโรทีน 3 ไมโครกรัม  วิตามินซี 8 มิลลิกรัม  วิตามินบี 2  0.2 มิลลิกรัม  วิตามินบี 3  1.2 มิลลิกรัม  แคลเซียม  124 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก  0.1  มิลลิกรัม  ฟอสฟอรัส  27 มิลลิกรัม  คาร์โบไฮเดรต  4.6 กรัม  โปรตีน  1.9 กรัมและพลังงาน  35 กิโลแคลอรี่

สรรพคุณของใบเตย
- บำรุงหัวใจ  ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ
- ดับกระหาย  คลายร้อน
- กลิ่นของใบเตยทำให้รู้สึกสดชื่น  ผ่อนคลาย
- ช่วยชูกำลัง  ช่วยแก้อาการอ่อนเพลียของร่างกาย
- ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย
- ช่วยรักษาโรคเบาหวาน  ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ช่วยลดความดันโลหิต
- ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
- ช่วยบรรเทาอาการไข้และดับพิษไข้
- ช่วยดับพิษร้อนภายในร่างกาย
- ช่วยรักษาโรคหืด
- เป็นยาแก้กระษัย
- เป็นยาขับปัสสาวะได้
- ช่วยรักษาโรคหัดได้
- ช่วยรักษาโรคผิวหนังได้ 

ประโยชน์ด้านอื่นๆ
- สีเขียวของใบเตยใช้เป็นสีผสมอาหารคาวหวานได้อย่างดีเยี่ยม
- กลิ่นหอมของใบเตยเป็นส่วนทำให้อาหารน่ารับประทานและเพิ่มรสชาติได้
- ช่วยดับกลิ่นหืนของน้ำมันที่ใช้แล้ว
- ใช้ไล่แมลงสาบ
- ช่วยดับกลิ่นอับชื้นต่างๆ
- เป็นทรีทเม้นท์บำรุงหน้าได้ 

วิธีการนำไปใช้
- น้ำใบเตย :  นำใบเตยสดล้างให้สะอาด 1 กำมือต้มกับน้ำ 4-5 ลิตร  จนน้ำออกสีเป็นสีเขียว  ใส่น้ำตาลตามใจชอบ  สามารถดื่มได้ทั้งร้อนและเย็นตามความต้องการ
– สูตรควบคุมน้ำตาลในเลือด :  นำใบเตยหอม  32 ใบ  และใบต้นสัก  9  ใบ  นำมาตากแดดแล้วนำมาชงเป็นชาดื่มอย่างน้อย 1 เดือนต่อเนื่อง หรือใช้รากเตยประมาณ 1 กำมือ มาต้มกับน้ำดื่มเช้าเย็น อย่างน้อย 1 เดือนต่อเนื่อง
– ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจและบำรุงกำลัง  : ใช้ใบสดผสมในอาหารรับประทาน   จะทำให้อาหารมีรสเย็น  ทำให้หัวใจชุ่มชื่นนำใบสดมาคั้นเอาแต่น้ำรับประทานครั้งละ  2-4  ช้อนแกง
– ขับปัสสาวะ  :  ใช้ต้นเตย  1 ต้น หรือใช้รากครึ่งกำมือ  นำมาต้มน้ำดื่ม
– รักษาโรคผิวหนัง และโรคหัด : นำใบสดมาตำใช้พอกบริเวณที่เป็น
– ทรีทเม้นท์บำรุงหน้า :  นำใบเตยสดล้างให้สะอาด  หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำมาปั่นกับน้ำสะอาดจนละเอียด  จะได้ครีมข้นเหนียว  แล้วนำมาพอกหน้า  ทิ้งไว้  20 นาที
– ใช้ใบสดคั้นเอาน้ำสีเขียวนำไปเป็นสีผสมอาหารได้
– ใช้ใบสดนึ่งกับอาหารหรือขนม  หรือต้มกับข้าว  จะได้กลิ่นอาหารที่น่ารับประทานมากขึ้น

เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้รับประโยชน์จากใบเตยเข้าไปเต็มๆ แก้วแล้วค่ะ แถมยังทำให้สุขภาพดีผิวสวยในตัวอีกด้วย

ประโยชน์และสรรพคุณของว่านหางจระเข้



ประโยชน์มากมายเหลือหลาย เมื่อพูดถึงว่านหางจระเข้ ไม่ว่าจะเป็นแก้แผลไฟไหม้พุพอง ลบรอยแผลเป็น บำรุงผิวให้สดใสเปล่งปลั่ง เป็นส่วนผสมของครีมบำรุงผิว ยาสระผม หรือแม้แต่แปรรูปเป็นเครื่องดื่มว่านหางจระเข้ ก็แสนอร่อย ถูกอกถูกใจผู้คนโดยทั่วไป ด้วยสรรพคุณที่โดดเด่นจึงทำให้ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรไทยที่ได้การยอมรับและถูกเลือกใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลายเหลือคณานับ ลองมาดูกันสิว่า มีประโยชน์และมากด้วยสรรพคุณอะไรบ้าง
ลักษณะโดยทั่วไป

ว่านหางจระเข้ (Aloe vera) แหล่งกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีลักษณะเนื้ออิ่มอวบ มีมากกว่า 300 ชนิด มีทั้งพันธุ์ขนาดใหญ่มากไปจนถึงเล็กมาก เล็กกว่า 10 เซนติเมตร มีใบแหลมคล้ายเข็ม สีเขียว ขอบใบหยักและมีฟันเล็กๆ สีขาว เนื้อหนา เนื้อในมีน้ำมากเมือกเหนียว ดอกมีทั้งสีเหลือง ขาว แดง เป็นต้น ขึ้นอยู่กับพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการใช้หน่ออ่อน ชอบดินทราย ปลูกได้ทั้งในแปลงและกระถาง ชอบแดดรำไร หากถูกแดดจัดใบจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง มีการนำไปปลูกทั่วโลกและเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นอื่นๆ เช่น ว่านไฟไหม้(เหนือ) หางตะเข้(กลาง) เป็นต้น

สรรพคุณของใบว่านหางจระเข้
ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน แก้อาการปวดศีรษะ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันและลดการเกิดแผลในกระเพาะขณะท้องว่าง รักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารต่างๆ ช่วยแก้กระเพาะและลำไส้อักเสบ ใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ช่วยรักษาอาการท้องผูก รักษาริดสีดวงทวาร ขับน้ำคาวปลา บรรเทาและแก้อาการปวดตามข้อ รักษาฝี รักษาแผลสด แผลจากของมีคม แผลที่ริมฝีปาก แก้ฝี แก้ตะมอย รักษาแผลถลอก(จากการถูกครูด)
รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยดับพิษร้อนบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผล ช่วยขจัดรอยแผลเป็น ทำให้แผลเป็นจางลง ป้องกันการเกิดแผลเป็น รักษาตาปลาและฮ่องกฟุต ปกป้องผิวจากแสงแดด รักษาอาการผิวหนังไหม้จากแสงแดดหรือไหม้เกรียมจากการฉายรังสี หรือแผลเรื้อรังจากการฉายรังสี ช่วยรักษาโรคเรื้อนกวาง (โรคสะเก็ดเงิน) ลดการตกสะเก็ดและลดอาการคันของโรคเรื้อนกวาง ทำให้แผลดูดีขึ้น

ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยชะลอความแก่ชราและช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ ช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ช่วยดีท๊อกซ์ล้างสารพิษในร่างกาย ช่วยในการทำงานของระบบกระเพาะอาหาร ลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ ช่วยลดระดับคอลเลสเตอรอล ช่วยควบคุมความดันโลหิตและเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต แก้อาการเมารถเมาเรือ ลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง
บำรุงผิวพรรณให้เนียนนุ่ม ดูชุ่มชื้น แก้ปัญหาผิวแห้งกร้านตามหัวเข่า ข้อศอกหรือส้นเท้าได้ ยับยั้งการติดเชื้อที่เป็นสาเหตุการเกิดสิว ช่วยลดรอยดำจากสิว ช่วยลดความมันบนใบหน้า (แต่ไม่แนะนำให้ใช้กับสิวอักเสบเพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้) ช่วยรักษาจุดด่างดำตามผิวหนังอันเนื่องมาจากแสงแดดและอายุที่มากขึ้น ช่วยป้องกันการเกิดฝ้า

สรรพคุณของราก/เหง้า
ช่วยแก้หนองใน แก้มุตกิดหรือระดูขาวของสตรี

วิธีการนำไปใช้

1.ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน : รับประทานเนื้อวุ้น หรือทำเป็นน้ำปั่นว่านหางจระเข้ดื่ม จะช่วยบรรเทาอาการและป้องกันได้
2.แก้อาการปวดศีรษะ : ตัดใบสดแล้วทาปูนแดงด้านหนึ่ง แล้วเอาด้านที่ทาปูนปิดตรงขมับ จะบรรเทาอาการได้
3.ช่วยแก้กระเพาะและลำไส้อักเสบ : นำใบมาปลอกเปลือกเอาแต่วุ้น นำมารับประทานวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ
4.ใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย : เนื่องจากที่เปลือกของว่านหางจระเข้มีน้ำยางสีเหลืองที่มีสารแปนทราควิโนน (Anthraquinone) มีฤทธิ์เป็นยาระบาย เมื่อนำน้ำยางไปเคี่ยวให้น้ำระเหยออกแล้วทิ้งไว้ให้เย็นจะได้สารสีน้ำตาลเกือบดำ เรียกว่า “ยาดำ” ที่เป็นตัวยาสำคัญในตำรับยาแผนโบราณที่เป็นยาระบาย
5.ช่วยรักษาอาการท้องผูก : กรีดเอายาจากว่านหางจระเข้มาเคี่ยวให้งวด ท้องไว้ให้เย็น จะได้ก้อนยาสีดำ (ยาดำ) ตักมาใช้ประมาณช้อนชา เติมน้ำเดือด 1 ถ้วย แล้วคนจนละลาย ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 2 ช้อนชา ก่อนนอน เด็กรับประทานครั้งละ 1 ช้อนชาก่อนนอน
6.รักษาริดสีดวงทวาร : ใช้เนื้อวุ้นจากใบเหลาให้เป็นปลายแหลมเล็กน้อย นำไปแช่ตู้เย็น หรือน้ำแข็งจนเนื้อแข็ง แล้วนำไปเหน็บช่องทวารหนัก ทำเป็นประจำวันละ 1-2 ครั้งจนกว่าจะหาย
7.ช่วยขับน้ำคาวปลา : ใช้ทั้งต้นของว่านหางจระเข้นำมาดองกับเหล้าแล้วนำมาดื่ม
8.บรรเทาและแก้อาการปวดตามข้อ : รับประทานเนื้อวุ้นครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้งเป็นประจำ จะช่วยให้อาการปวดดีขึ้น
9.รักษาฝี : นำใบมาตำผสมกับเหล้าใช้พอกบริเวณที่เป็น
10.ช่วยรักษาแผลสด แผลจากของมีคม แผลที่ริมฝีปาก แก้ฝี แก้ตะมอย : ใช้วุ้นจากใบนำมาแปะบริเวณแผลให้มิดชิด ใช้ผ้าปิด และหยดน้ำเมือกใส่ให้ชุ่มอยู่เสมอ หรือเตรียมเป็นขี้ผึ้งทาบริเวณที่เป็น
11.รักษาแผลถลอกจากการถูกครูด : ใช้วุ้นว่านหางจระเข้นำมาทาแผลเบาๆ ทาบ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ จะช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และทำให้ไม่เจ็บแผลมาก
12.รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยดับพิษร้อนบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผล : ใช้วุ้นสดๆ ที่ล้างน้ำสะอาดแล้วฝานบางๆ นำมาทาหรือแปะไว้บริเวณแผลตลอดเวลา จะช่วยทำให้แผลหายเร็วมากขึ้นและอาจไม่เกิดรอยแผลเป็นด้วย
13.รักษาตาปลาและฮ่องกฟุต : ใช้วุ้นจากใบนำไปล้างให้สะอาดแล้วนำมาปิดไว้บริเวณที่เป็นและเปลี่ยนบ่อยๆ จนกว่าจะดีขึ้น
14.ปกป้องผิวจากแสงแดด : โดยใช้วุ้นจากใบทาก่อนออกแดด หรือใช้ใบสดก็ได้ แต่อาจทำให้ผิวแห้งเพราะมีฤทธิ์ฝาดสมาน ถ้าต้องการลดผิวแห้งอาจจะใช้ร่วมกับน้ำมันพืชหรืออาจเตรียมเป็นโลชั่น
15.รักษาอาการผิวหนังไหม้จากแสงแดดหรือไหม้เกรียมจากการฉายรังสี หรือแผลเรื้อรังจากการฉายรังสี : นำวุ้นของว่านหางจระเข้มาทาผิวบ่อยๆ ก็จะช่วยลดอาการอักเสบได้ แต่ต้องระวังผิวจะแห้งในเวลาต่อมาอาจผสมน้ำมันพืชหรือทำให้ผิวชุ่มอยู่ตลอดเวลา
16.แก้อาการเมารถเมาเรือ : รับประทานเนื้อวุ้นหรือน้ำว่านหางจระเข้เย็นๆ จะช่วยบรรเทาอาการได้
17.ลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง : ใช้วุ้นทาเป็นประจำวันละ 2-4 ครั้ง
18.บำรุงผิวพรรณให้เนียนนุ่ม ดูชุ่มชื้น แก้ปัญหาผิวแห้งกร้านตามหัวเข่า ข้อศอกหรือส้นเท้าได้ : ใช้วุ้นแช่ในอ่างอาบน้ำและใช้วุ้นถูตัวในระหว่างอาบน้ำ
19.ป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย : นำวุ้นพอกไว้ทั่วใบหน้าหรือบริเวณผิวที่ต้องการ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก
20.ช่วยรักษาจุดด่างดำตามผิวหนังอันเนื่องมาจากแสงแดดและอายุที่มากขึ้น และป้องกันการเกิดฝ้า : ใช้วุ้นจากใบสดทาผิววันละ 2 ครั้งหลังอาบน้ำ และทำต่อเนื่องจนกว่าจะเห็นผล

ว้าว..ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าสมุนไพรว่านหางจระเข้นั้นจะมีประโยชน์และมากด้วยสรรพคุณถึงเพียงนี้ ใครที่มีอาการเจ็บป่วยต่างๆ อย่าลืมนำไปใช้กันล่ะ


ที่มา : banhelathy.com

ประโยชน์และสรรพคุณของดอกอัญชัน




Butterfly pea หรือ Blue pea คืออีกชื่อหนึ่งของอัญชัน เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีถึงสรรพคุณและประโยชน์ใช้สอยที่ได้จากดอกอัญชัน คนส่วนใหญ่มีความรู้ถึงการนำสีของดอกอัญชันไปใส่ในขนมและอาหารคาวหวานตามความต้องการและให้สีสันแสนสวย น่ารับประทาน อีกคุณค่าหนึ่งที่ยอมรับกันทั่วไปคือ สามารถช่วยบำรุงผมให้ดกดำเป็นเงางาม จึงเป็นที่นิยมนำไปเขียนคิ้วให้เด็กทารกเพื่อให้มีคิ้วที่สวยงามเมื่อโตขึ้น   และนอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางยาของอัญชันอีกมากมายหลายอย่างจนน่าทึ่งมากเลยทีเดียว

ลักษณะโดยทั่วไป
อัญชัน เรียกตามชื่อพื้นเมืองว่า แดงชัน(เชียงใหม่) หรือเอื้องชัน(ภาคเหนือ) เป็นพืชในแถบอเมริกาใต้ และปลูกทั่วไปในเขตร้อน  ลักษณะของดอกอัญชันมีสีฟ้าอมม่วง ขลิบขาว ตรงกลางดอกมีสีเหลือง รูปทรงดอกคล้ายหอยเซลล์

ดอกอัญชัน มีสาร “แอนโทซานิน” (Anthocyanin) ที่มีหน้าที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บริเวณรากผม บริเวณดวงตา บริเวณปลายนิ้วมือ และจุดเด่นที่สุดอีกอย่างหนึ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้คือ สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดเส้นเลือดอุดตันได้ และมีฤทธิ์ละลายลิ่มเลือดได้ด้วย

สรรพคุณจากดอกอัญชัน

- มีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย
- ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายและเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย
- ช่วยในการชะลอริ้วรอยแห่งวัย
- ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มการไหลเวียนเลือด
- มีฤทธิ์ในการละลายลิ่มเลือด
- ช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ
- ช่วยรักษาอาการผมร่วง ใช้ทาคิ้ว ทาหัว ใช้เป็นยาปลูกผม ปลูกขนให้ดกดำเงางาม
- ลดความเสี่ยงการเกิดเส้นเลือดอุดตัน
- ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
- ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ
- ลดระดับน้ำตาลในเลือดของคนเป็นโรคเบาหวาน
- ช่วยล้างพิษและของเสียออกจากร่างกาย
- บำรุงสายตา แก้ตาฟาง  ตาแฉะ
- ป้องกันต้อกระจก ต้อหิน  ตาเสื่อมจากเบาหวาน
- เพิ่มความสามารถในการมองเห็น
- ใช้แก้อาการฟกช้ำ
- ช่วยป้องกันและแก้อาการเหน็บชาที่นิ้วมือนิ้วเท้า

สรรพคุณจากใบ

- ช่วยบำรุงสายตา
- ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ

สรรพคุณจากราก

- ใช้หยอดตาและหูเพื่อเพิ่มการมองเห็น
- ช่วยแก้อาการปวดฟัน และทำให้ฟันแข็งแรง
- ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
- แก้อาการปัสสาวะพิการ

สรรพคุณของเมล็ด

- ใช้เป็นยาระบาย (แต่อาจมีผลทำให้คลื่นไส้อาเจียน)

ประโยชน์อื่นๆ

- ใช้เป็นเครื่องดื่มดับกระหาย
- ใช้เป็นชาดอกอัญชันชงดื่มได้ตามต้องการ
- ใช้เป็นผักรับประทานได้ทั้งสดและชุบแป้งทอด หรือเป็นเครื่องปรุงอาหารได้ตามต้องการ
- คั้นน้ำเอาสีนำไปเป็นสีผสมอาหารได้ตามความต้องการ
- ใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับการบำรุงผมให้ดกดำเงางาม เช่น ครีมนวด ยาสระผม เป็นต้น
- ใช้เป็นไม้ดอกไม้ประดับบ้านเรือนเพื่อความสวยงาม


ประโยชน์ของการนำไปใช้

น้ำดอกอัญชัน
น้ำดอกอัญชัน 4-5 ดอก ต้มใส่น้ำ 2-3 ลิตร เต็มน้ำตาลหรือน้ำผึ้ง ปรุงรสตามต้องการ สามารถดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น

พรั้นซ์น้ำดอกอัญชัน
นำโซดา 1 ขวด น้ำดอกอัญชัน ½ ถ้วย น้ำเชื่อม 6 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว  ½ ถ้วย ผสมรวมกันแล้วชิมรสชาติตามความต้องการ เติมน้ำแข็งเกล็ดเพื่อเพิ่มรสชาติ ใช้ดื่มตามต้องการ

ใช้บำรุงผม
นำดอกอัญชันมาคั้นเอาแต่น้ำใช้ชโลมผิวหนังศีรษะให้ทั่ว ทิ้งไว้ 15-30 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

เป็นผักหรือเครื่องปรุงอาหาร
ใช้ชุบแป้งทอด หรือเป็นผักกินสดหรือลวกจิ้มน้ำพริกตามต้องการ

สูตรปลูกผม
ใช้ดอกอัญชัน 10  แช่ในเหล้าขาวสักครู่ ขยี้ให้จนเข้ากันแล้วนำไปชโลมศีรษะทั้งไว้ 4-5 ชั่วโมง แล้วล้างออก ทำต่อเนื่องประมาณ 2-3 สัปดาห์จะเริ่มเห็นผล

โทษของอัญชัน
แม้จะมีคุณอนันต์ ก็มีโทษมหันต์ได้เหมือนกันหากใช้แล้วไม่ศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เนื่องจากอัญชันมีฤทธิ์ละลายลิ่มเลือดจึงทำให้เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคโลหิตจาง ดังนั้นผู้ป่วยโรคดังกล่าวจึงไม่ควรดื่ม หรือกินดอกอัญชันหรือน้ำอัญชันโดยเด็ดขาด  และการดื่มน้ำอัญชันที่เข้มข้นมากเกินไปก็อาจมีผลต่อการทำงานของไตให้ทำงานหนักต่อการขับสีจากดอกอัญชันออกจากร่างกาย  ดังนั้น จึงไม่ควรดื่มหรือกินดอกอัญชันในปริมาณมากเกินไป เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์และสรรพคุณเต็มที่



ที่มา : banhelathy.com


2015-11-30

Health WholeGrains โฮลเกรนประโยชน์เต็มเมล็ด




ปัจจุบันผู้บริโภคใส่ใจเรื่องของการกินเพื่อสุขภาพ จะรู้จักคำว่า "โฮลเกรน (Whole Grains)" สำหรับบางคนอาจจะนึกไม่ออก ให้นึกถึงเมล็ดข้าว หรือเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ ที่กระเทาะเมล็ดโดยครกกับสาก
 
โฮลเกรน (Whole Grains) คือ ธัญพืชเต็มเมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสี หรือผ่านการขัดสีน้อยมาก มีส่วนประกอบที่สำคัญของธัญพืชอยู่ครบถ้วน  มีทั้งเยื่อหุ้มเมล็ด เป็นส่วนนอกสุดที่มีใยอาหาร ไฟโตนิวเตรียนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินบี และโปรตีน ส่วนเนื้อเมล็ด เป็นส่วนหลักของธัญพืช และแหล่งรวมของคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนอีกเล็กน้อย และส่วนจมูกข้าว แม้จะเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของธัญพืช แต่ก็มีสารอาหารมากกมาย ไม่ว่าจะเป็นไฟโตนิวเตรียนท์ วิตามินบี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม ทองแดง สังกะสี และไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อน
 
ลักษณะพิเศษของโฮลเกรน มีความสำคัญอยู่หลายด้าน หนึ่งในนั้นคือ มีวิตามิน แร่ธาตุ ค่อนข้างจะครบถ้วน มีอยู่ในธรรมชาติ อันที่สองคือ ตัวไฟเบอร์หรือใยอาหาร กลไกของมันคือ พอร่างกายกินไปแล้วมันไม่ย่อยแล้วดูดซึม แต่มันอมน้ำ มีน้ำหนัก ไหลผ่านลำไส้ กระเพาะ ระหว่างที่มันไหลผ่าน มันไปลากเอาไขมัน ลากเอาสารก่อมะเร็ง ลากเอาน้ำตาลที่ติดไปไว้ที่ลำไส้ใหญ่แล้วก็ขับถ่ายออกไป กลไกตัวนี้แหละคือกลไกที่มหัศจรรย์ของใยอาหาร ถ้าเรากินอาหารโฮลเกรนในมื้อนั้นเสร็จแล้ว ประมาณครึ่งชั่วโมงมันก็ลากไปแล้ว มันก็ลากไปทุกมื้อๆ
 
ประโยชน์ ของโฮลเกรนหรืออาหารธัญพืช คือ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ความดันสูง โรคมะเร็งในทางเดินอาหาร โรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือช่วยป้องกันท้องผูก แต่ยังมีอีกส่วนน้อยเท่านั้นที่จะรู้ว่าถ้าหันมาบริโภคโฮลเกรน เป็นประจำจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้วที่สำคัญ จะช่วยให้ร่างกายกระชับ หุ่นเพรียวขึ้น เพราะเส้นใยและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในโฮลเกรนทำให้ร่างกายย่อยอาหารช้าลง จึงรู้สึกอิ่มนาน และมีผลต่อการลดน้ำหนักในระยะยาว งานวิจัย พบว่า หากกินอาหารโฮลเกรน 40 กรัมทุกวันจะทำให้น้ำหนักลดลงถึงเดือนละ 0.49 กิโลกรัม โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม
 
คุณหมีผู้ที่ทานโฮลเกรนเป็นประจำกล่าวว่า .. โฮลเกรนนอกจากสะดวก และมีประโยชน์แล้ว ยังทำให้เขาน้ำหนักลดด้วย ก่อนหน้านี้เขา 125 กก. หลังจากทาน 2 สัปดาห์ติดต่อกัน ตอนนี้ 115 กก.
 
มีผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า คนที่บริโภคโฮลเกรนเป็นประจำ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้มากถึง 21-37% นอกจากนี้การบริโภคโฮลเกรนเป็นประจำยังดีต่อผู้ป่วยเบาหวาน เพราะโฮลเกรนจะช่วยทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น ดังนั้นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของธัญพืชที่รับประทานในแต่ละวันควรเป็นโฮลเกรน” (อินดรา เมโรทรา ผอ.สถาบันวิจัยสุขภาพและโภชนาการเบลล์ สหรัฐอเมริกา)
 
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลเชิงสถิติเกี่ยวกับการรับประทาน โฮลเกรนยังมีอยู่น้อยมาก แต่หากพิจารณาจากการรับประทาน “ข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ขัดสี” ซึ่งเป็นโฮลเกรนชนิดหนึ่ง จะพบว่า มีคนไทยเพียงร้อยละ   8.9 เท่านั้นที่บริโภคข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ขัดสี คนไทยโดยรวมได้รับ ใยอาหารจากธรรมชาติในปริมาณที่น้อยลง เพราะนิยมบริโภคอาหารส่วนใหญ่ที่เป็นข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์ที่ขัดสี
 
เราเป็นคนไทยต้องกินข้าวเป็นมื้อหลัก หากให้กินบริโภคต่อเนื่องตลอดไปเลยอาจจะทำไม่ได้ และด้วยโฮลเกรนบางยี่ห้อที่เป็นซีเรียลอาหารเช้านั้นราคาสูงเกินไปสำหรับผู้บริโภคบางกลุ่ม จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร แต่สำหรับการเริ่มต้นรับประทานโฮลเกรนนั้น สามารถทำได้โดยผสมโฮลเกรนกับธัญพืชขัดสีอย่างละครึ่ง ก็จะช่วยทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันยังมีการนำเอาโฮลเกรนไปแปรรูปเป็นอาหารต่าง ๆ มากมาย อาทิ ขนมปัง เส้นพาสต้า เส้นก๋วยเตี๋ยว ซีเรียล ช่วยทำให้เราเลือกรับประทานกันได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโฮลเกรน .. คุณว่าดีมั๊ย?
 
 

10 ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว




“น้ำมันมะพร้าว” สารพัดประโยชน์ สามารถนำมาใช้ได้หัวจรดเท้า ให้ประโยชน์ต่อร่างกายทั้งภายในและภายนอก ตั้งแต่ผม ผิวพรรณ ไปจนถึงระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายเลยทีเดียว

1. ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน
 
น้ำมันมะพร้าวได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไขมันแคลอรีต่ำ” แถมบำบัดความหิวได้ดีกว่าไขมันหรืออาหารอื่น ผู้ที่กินน้ำมันมะพร้าวจะไม่หิวเป็นเวลานาน และตลอดทั้งวัน จึงกินอาหารน้อยกว่าผู้ที่กินน้ำมันอื่น ๆ ทำให้มีแคลอรีน้อยกว่า จนไม่มีเหลือสะสมเป็นไขมัน
 
มีคุณสมบัติที่เป็นกรดไขมันขนาดกลาง ที่ถูกย่อยได้ง่าย และเคลื่อนที่ได้เร็ว เป็นกรดไขมันอิ่มตัว ไม่ถูกเติมออกซิเจนและไฮโดรเจนที่เป็นสาเหตุของโรคแห่งความเสื่อม รวมทั้งโรคอ้วนทำให้อาหารมีรสชาติ และอิ่มนานขึ้น เพิ่มพลังงาน
       
การกินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เพื่อลดความอ้วนเป็นแนวคิดของ Atkins Diet โดยมีหลักการว่า ต้องลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอินซูลิน ซึ่งส่งผลต่อการสะสมไขมันของร่างกาย หากงดกินแป้งและกินแต่ไขมัน ไขมันจะกดความอยากอาหาร เมื่อกินไปสักระยะเราจึงกินน้อยลง
       
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ได้ดีกว่าไขมันชนิดอื่น ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย กระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ และสร้างความร้อนได้เร็วจึงไม่สะสมในร่างกาย แนะนำให้กินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ควบคู่กับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยอาจนำมาผสมกับสมูตตี้ น้ำสลัด หรือซอส วันละ 2-3 ช้อนโต๊ะ
       
น้ำมันมะพร้าวสามารถเข้ากันได้กับอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด เช่นซุบ โจ๊ก แกงจืด น้ำส้ม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ โอวัลติน โดยไม่ได้ทำให้อาหารและเครื่องดื่ม เปลี่ยนรสชาติ หรือสูญเสียคุณค่าทางอาหาร และความอร่อยไป
       
สุดท้าย ปรุงไปในอาหารเราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าว ปรุงอาหารได้ โดยการผัด หรือทอด ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนเป็น Trans Fats ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เหมือนน้ำมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายที่ถูกกับความร้อนสูง หรือแม้แต่เป็นตัวทำให้อาหารไม่ติดกระทะหรือภาชนะ

2. ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง
กรดไขมันสายกลาง (medium chain fatty acid) ในน้ำมันมะพร้าวช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและกระบวนการรับรู้ของมนุษย์ นอกจากนี้ผลการศึกษายังบอกด้วยว่ากรดไขมันสายกลาง ในน้ำมันมะพร้าวยังช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ด้วย
 
3. ช่วยให้กระดูกแข็งแรง
ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของน้ำมันมะพร้าวคือ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูก การทานน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำเป็นการเพิ่มแคลเซียมและแมกนีเซียมให้กับกระดูก ทำให้กระดูกเจริญเติบโตได้ดีและแข็งแรง

4. ช่วยบำรุงรักษาเส้นผมให้นุ่ม เงางาม
น้ำมันมะพร้าวหมักผม ช่วยบำรุงเส้นผมทำให้ผมดกดำ ทำให้สวยเงางามอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการชโลมน้ำมันมะพร้าวให้ทั่วหนังศีรษะ ในปริมาณที่เหมาะสม แล้วนวดหนังศีรษะจนน้ำมันซึมทั่วหนังศีรษะ เส้นผม ปลายผม แล้วทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาทีแล้วค่อยสระออก จะช่วยให้ผมของคุณมีน้ำหนักเงางามขึ้น

น้ำมันมะพร้าวใช้ช่วยบำรุงผมเสีย แก้ปัญหาผมร่วง ผมแตกปลาย ด้วยการใช้น้ำมันมะพร้าวชโลมผมตอนแห้งแล้วทิ้งไว้ 30 นาทีแล้วสรระออก จะทำให้เส้นผมนุ่มสลวยไม่พันกัน เส้นผมตรงมากยิ่งขึ้น  และยังช่วยป้องกันผมร่วง ผมหงอกได้
 
5. ช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง
ผลการศึกษามากมายพบว่าน้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น โรคเรื้อน สิว โรคสะกิดเงิน นอกจากนี้หากใช้เป็นประจำน้ำมันมะพร้าวยังช่วยสมานแผลต่างๆ ด้วย

6. กลั้วปากขจัดเชื้อโรคในลำคอ
ใช้น้ำมันมะพร้าวใช้ทำน้ำยาบ้วนปากหรือ Oil Pulling (การกำจัดแบคทีเรียในช่องปาก) กลั้วไปทั่วปากให้น้ำมันซอกซอนไปตาม ร่องฟัน ดื่มน้ำเสร็จแล้วให้อมน้ำมันมะพร้าวไว้ในปาก 2 ช้อนโต๊ะโดยประมาณ ให้น้ำมันกลั้วอยู่ในปากผ่านร่องฟันไปมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15นาทีแล้วให้บ้วนทิ้ง  บ้วนปากด้วยน้ำ 2-3 ครั้ง การอมกลั้วน้ำมันนี้เพื่อขจัดเชื้อโรคในปากและคอ น้ำมันบางส่วนจะเข้าไปในร่างกาย เพื่อล้างสิ่งสกปรกและออกทางระบบขับถ่าย ลดกลิ่นปาก ลมหายใจสดชื่น
 
7. มีความสามารถในการเสริมภูมิคุ้มกัน 
น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริกสูงมาก ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันกับกรดไขมันที่มีในนมแม่ เมื่อบริโภคเข้าไปกรดลอริกจะเปลี่ยนเป็นโมโนลอรินที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อยีสต์ ไวรัส หรือโปรโตซัว นอกจากฆ่าเชื้อโรคได้หลายชนิดแล้ว ยังช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดอันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ เป็นอาหารให้แก่เซลล์ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตับอ่อนในการสร้างอินซูลินจึงดีต่อผู้เป็นเบาหวาน แถมยังปลอดภัยต่ออนุมูลอิสระและไขมันทรานส์ จึงช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์ไม่ให้เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง และช่วยกดการเจริญเติบโตของเนื้องอก เมื่อสุขภาพกายพร้อมสุขเพศก็พร้อมเช่นกัน ที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถทำให้หยุดอ้วน หยุดป่วย และหยุดแก่ สมกับคำเรียกที่ว่ามหัศจรรย์น้ำมันมะพร้าว

8. ไม่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ
น้ำมันมะพร้าว คือ น้ำมันที่ได้จากการสกัดแยกน้ำมันจากเนื้อผลของมะพร้าว องค์ประกอบหลักของน้ำมันมะพร้าวเป็นกรดไขมันอิ่มตัว 92% จึงไม่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคแห่งความเสื่อมมากมายเหมือนกับน้ำมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง ทานตะวัน คำฝอย ซึ่งจะเกิดอนุมูลอิสระได้ง่ายจากการเติมของออกซิเจนได้ตลอดเวลา ส่วนการเติมไฮโดรเจนนั้นเกิดจากการนำน้ำมันไม่อิ่มตัวไปถูกกับอุณหภูมิสูง เช่น ในขณะทอดอาหาร จึงเกิดเป็นสารตัวใหม่ชื่อไขมันทรานส์ (trans fat) โมเลกุลเปลี่ยนไปเกิดผลเสียต่อเซลล์
 
น้ำมันมะพร้าวเป็นกรดไขมันขนาดกลาง (medium chain triglyceride) เช่น กรดลอริก เมื่อรับประทานและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกเผา ผลาญได้ดีจึงถูกสะสมในเนื้อเยื่อไขมันได้น้อยกว่ากรดไขมันที่มีโมเลกุลสายยาว เช่น กรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่พบมากในน้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น ด้วยคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวจึงทำให้น้ำมันมะพร้าวได้รับความเชื่อใจจากผู้บริโภคในการรับประทานเพื่อช่วยประโยชน์หลายด้าน
 
9. บำรุงผิวหน้าและผิวพรรณ
อนุมูลอิสระ เป็นตัวการอันหนึ่งของการเกิดฝ้า และ กระ  วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ป้องกันรอยหมองคล้ำ ตามปกติผิวหนังจะสูญเสียความชุ่มชื้น เพราะถูกแดดและลม  
       
น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นสารรักษาความชุ่มชื้น รักษาอาการผิวแห้ง แตก ลอก เป็นขุย ลดอาการผื่นแพ้ แสบคันตามผิวหนัง จึงช่วยให้ผิวนวลเนียน อีกทั้งช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวทาแก้ผิวไหม้แดด อาการแสบร้อนจะบรรเทาลง
       
น้ำมันมะพร้าวก็คือสารให้ความชุ่มชื่นตามธรรมชาติ นำสำลีชุบน้ำอุ่นแล้วบีบน้ำออก หยดน้ำมันมะพร้าว 2-3 หยดลงบนสำลีทาให้ทั่วใบหน้า สามารถทิ้งไว้ได้เลยโดยไม่ต้องล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มไม่แห้งกร้าน รู้สึกว่าผิวหน้าละเอียดขึ้น หน้าเนียนขึ้น รอยด่างดำจากสิวจางลงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
       
ใช้ทาหน้าบางๆก่อนนอนแทนครีมบำรุงผิว แนะนำว่าต้องเป็นน้ำมันมะพร้าวแบบสกัดเย็น เพราะน้ำมันมะพร้าวที่ผ่านความร้อนจะทำให้วิตามินอี สลายไป ไม่เหมือนการสกัดเย็นที่ยังได้คุณค่าของน้ำมันมะพร้าวครบ
       
นอกจากจะใช้ทาบำรุงผิวหน้าแล้ว ผิวกายก็ต้องใช้ร่วมด้วย เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเมื่อย ปวดข้อต่างๆ ใช้ เป็นประจำทุกวัน อุดมด้วยวิตามิน E ช่วยปกป้องรังสี UV

10. เช็ดเครื่องสำอาง สะอาดหมดจด
ใช้น้ำมันมะพร้าวหยดบนสำลีพอประมาณแล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้า สามารถใช้เช็ดรอบดวงตา พวก eye shadow อาย ไลน์เนอร์ มาสคาร่า หมดเกลี้ยง และริมฝีปาก สำหรับผู้ที่แต่งหน้าสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเช็ดทำความสะอาดได้ 2 รอบเพื่อความสะอาดอย่างหมดจด เมื่อเช็ดด้วยน้ำมันมะพร้าวทั่วทั้งใบหน้าแล้วให้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีจึงล้างออกด้วยสบู่ หลังจากนั้นซับหน้าให้แห้ง
       
น้ำมันมะพร้าวซึ่งมีโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถแทรกซึมทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก  ช่วยลดการเกิดสิว ฝ้า และการสะสมของสารเคมีจากเครื่องสำอาง  ช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ เต่งตึง ผิวหน้าเนียนใส และช่วยขจัดสิ่งอุดตันที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว อย่างได้ผล
      
คราบเครื่องสำอางจะหลุดออกหมด โดยเฉพาะรอบดวงตา จะทำให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มและละเอียดขึ้น ขนตายาวขึ้น
 

ประโยชน์ของลูกหม่อน



มัลเบอรี่ (Mulberry)หรือ ลูกหม่อน

น้ำมัลเบอรี่ (Mulberry)หรือ น้ำลูกหม่อน



น้ำมัลเบอรี่ หรือ น้ำลูกหม่อน ผลไม้ที่ทรงคุณค่า แต่หารับประทานยาก เดิมเป็นผลพลอยได้จากการปลูกหม่อนพันธุ์บุรีรัมย์60 ซึ่งนอกจากให้ผลผลิตใบสำหรับเลี้ยงไหมแล้ว ยังให้ผลหม่อนสดรสชาติดีอีกด้วย ปัจจุบัน สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พบหม่อนผลสดพันธุ์เชียงใหม่ ให้ผลดก ได้ผลผลิตมากกว่า 1,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี และได้นำผลหม่อนมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม
 

ประโยชน์

    
มัลเบอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ อาทิ กรดโฟลิก ซึ่งพบว่า ทารกที่เกิดจากมารดาที่ขาดกรดโฟลิก มีความเสี่ยงที่จะพิการทางสมองและประสาท ไขสันหลัง นอกจากนั้นยังพบสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโธไชยานิน เควอซิติน ที่มีส่วนลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ตำรับยาโบราณมีการใช้ผลหม่อนต้มบริโภคทั้งเนื้อและน้ำแก้โรคไขข้ออักเสบ ท้องผูก โลหิตจาง และขับเสมหะ

ผลมัลเบอรี่ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลูกหม่อน เมื่อนำมาทำเครื่องดื่มและอาหารแล้วรสชาติสีสันและคุณค่าทางอาหาร ไม่ด้อยไปกว่าผลบลูเบอรี่ ผลราสพ์เบอรี่ และแบล็คเบอรี่ ผลไม้นำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาสูงมาก ดังนั้น อาหารที่ใช้ผลไม้ดังกล่าวเป็นส่วนผสมจึงสามารถใช้ผลหม่อนทดแทนได้ทั้งหมด เช่น เค้ก โดนัท พาย ผลหม่อนห่าม จะมีสีแดง ให้รสเปรี้ยว ผลหม่อนสุก จะมีสีม่วงดำ ให้รสหวานจัด และไอศกรีม ฯลฯ

โดยรวมๆ สารต้านอนุมูลอิสระ อันหลากหลายในเบอร์รี่จะมีส่วนช่วยในการเพิ่มการทำงาน และลดการอักเสบของหลอดเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคทางระบบประสาทและสมอง
 
เครื่องดื่มยามเช้าที่เหมาะกับตัวคุณ น้ำลูกหม่อน ในตอนเช้า ๆ หลาย ๆ คนคงต้องการที่จะหาอะไรดื่มก่อนไปเรียนหรือไปทำงาน อร่อยสดชื่นเพื่อจะให้ร่างกายมีพลังในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เราเลยหาเครื่องดื่มที่เหมาะกับเช้าวันใหม่มาแนะนำกัน
 
น้ำลูกหม่อน เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด น้ำลูกหม่อนโดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิคแอซิด และแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี น้ำลูกหม่อนนอกจากนั้นในน้ำผักและน้ำผลไม้ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลโดยธรรมชาติ ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้เราหายเหนื่อย หายเพลีย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นน้ำหวาน คนที่นอนดึกส่วนใหญ่ยามเช้าของคุณจะมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ เกิดอาการเครียดทางประสาท ซึ่งอาจเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ

น้ำลูกหม่อนโดยเฉพาะความหวานของน้ำลูกหม่อนนั้นจะถูกดูดซึมได้ดีและง่าย ดังนั้นน้ำหวานจะทำให้จิตใจสงบ คลายอาการเครียดและมึนงงได้เป็นอย่างดี

ลูกหม่อน (Mulberry) และ สรรพคุณ


น้ำลูกหม่อน(Mulberry) เป็นไม้ยืนต้นตระกูลเบอรรี่ เช่นเดียวกับ บลูเบอรรี่ และราสเบอรี่ เมื่อดิบสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีแดงและเป็นสี่ม่วงดำเมื่อสุก รสหวานอมเปรี้ยว มีผลงานวิจัยหลายสถาบันในประเทศไทย มหาวิทยยาลัยทางการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตและงานวิจัยหลายประเทศ ดังนี้
 
   1. มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ชื่อ Anthyocyanin ซึ่งเป็นสารสีม่วงแดง ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และป้องกันโรคมะเร็ง
   2. มีวิตามินบี 6 ช่วยบำรุงเลือด ตับ ไต ลดการเกิดสิว ลดอาการปวดประจำเดือน
   3. ป้องกันและยับยั้งการเกิดลิ่มเลือด ป้องกันเส้นเลือดแตก สาเหตุของโรคอัมพฤก อัมพาต
   4. มีวิตามินซี สูง ช่วยป้องกันหวัด โรคภูมิแพ้ โรคปอด วัณโรค ป้องกันเชื้อไวรัส
   5. มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดต้อกระจก (ป้องกันแสงสีน้ำเงินเข้าทำลายเลนส์ตา) บำรุงเหงือกและฟัน สร้างภูมิให้ระบบหายใจ บำรุงผิว ลดการอักเสบของสิว
   6. มีกรดโฟลิค หรือวิตามินใบไม้ หรือวิตามินเอ็ม ป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันทารกพิการ ช่วยการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ หญิงแรกตั้งครรภ์เดือนแรกต้องการกรดโฟลิค
   7. ช่วยแก้อาการเมาค้าง ผ่อนคลายความเครียด        
   8. ช่วยบำรุงเส้นผมให้ดกดำ ป้องกันผมหงอกก่อนวัย






2015-11-25

10 health benefits of honey




There is something undeniably enchanting about honey; the product of flower nectar transformed by bees, as if by alchemy – but in fact through the far less-poetic act of regurgitation – into a sweet, golden elixir. Honey has held sway over humans since ancient times.

But aside from honey’s seductive color and flavor, it has some scientific superpowers that add to its appeal. Honey has an unusual chemical composition, one which makes it keep indefinitely without spoiling; as is seen whenever ancient pots of honey, still perfectly preserved, are found during excavations of early Egyptian tombs. It is uniquely low in moisture and extremely acidic, making it a forbidding environment for bacteria and microorganisms. On top of that, bees add an enzyme, glucose oxidase, to it that creates hydrogen peroxide as a byproduct. According to the National Institutes of Health, honey is hygroscopic, antibacterial, anti-inflammatory, and has remarkable debriding action. Who knew?

With this bonanza of properties, honey has been used for millennia as a medicinal remedy. As Smithsonian.com reports, the earliest recorded use of honey as a curative comes from Sumerian clay tablets, which convey that honey was used in 30 percent of prescriptions at the time. The ancient Egyptians used honey regularly to treat skin and eye problems; as did the Greeks, Romans, and a number of other cultures.

And ever since – along with being a favored gift to the gods and employed for sweetening cakes and drinks – honey has been used to treat that which ails us. It has been hailed as a fix for everything from scrapes to cancer. The following are some of honey’s best-known health benefits; whether confirmed by science or passed down through folk tradition, they prove honey to be as efficacious as it is delicious.

1. Soothes coughs
 

A 2007 study from Penn State College of Medicine that involved 139 children, found that buckwheat honey outperformed the cough suppressant, dextromethorphan (DM), in calming nighttime coughs in children and improving their sleep. Another study published in Pediatrics included 270 children aged one to five with nighttime cough due to simple colds; in this study, the children who received two teaspoons of honey 30 minutes before bed, coughed less frequently, less severely and were less likely to lose sleep due to the cough when compared to those who didn't get honey. (For more ideas on fighting coughs, see 10 natural cough remedies.)

2. Boosts memory
 

According to research reported by Reuters, 102 healthy women of menopausal age were assigned to consume 20 grams of honey a day, take hormone-replacement therapy containing estrogen and progesterone or do nothing. After four months, those who took honey or hormone pills recalled about one extra word out of 15 presented on a short-term memory test. That said, some critics of the study say that it wasn’t scientifically sound because it was small and didn’t last long. But still...

3. Treats wounds
 

In numerous studies, honey has been found effective in treating wounds. In a Norwegian study, a therapeutic honey called Medihoney (a New Zealand honey that undergoes a special purification process) and Norwegian Forest Honey were found to kill all strains of bacteria in wounds. In another study, 59 patients suffering from wounds and leg ulcers – of which 80 percent had failed to heal with conventional treatment – were treated with unprocessed honey. All but one of the cases showed remarkable improvement following topical application of honey. Wounds that were sterile at the outset, remained sterile until healed, while infected wounds and ulcers became sterile within one week of applying honey.
For the treatment of burns and wounds, WebMD notes: Honey is applied directly or in a dressing which is usually changed every 24 to 48 hours. When used directly, 15 mL to 30 mL of honey has been applied every 12 to 48 hours, and covered with sterile gauze and bandages or a polyurethane dressing.

4. Provides nutrients
 

According to the National Honey Board, honey contains “small amounts of a wide array of vitamins and minerals, including niacin, riboflavin, pantothenic acid, calcium, copper, iron, magnesium, manganese, phosphorus, potassium and zinc.” Thus, using honey instead of sugar provides you with more nutrients for your calories.

5. Potentially prevents low white blood cell count
 

The Mayo Clinic notes that honey may be a promising and inexpensive way to prevent low white blood cell count caused by chemotherapy. In one small trial, 40 percent of cancer patients who were known to be at risk of neutropenia (very low blood count) had no further episodes of the condition after taking two teaspoons daily of therapeutic honey during chemotherapy. More research is needed, but the remedy could hold great potential.

6. May relieve seasonal allergies
 

Many people swear by honey’s ability to lessen symptoms of seasonal allergy. As honey has anti-inflammatory effects and is known to soothe coughs, it may not seem like much of a stretch; but honey’s efficacy for treating allergy hasn’t been proven in clinical studies. That said, some experts say that honey can contain traces of flower pollen, and exposure to small amounts of allergens works as good treatment to combat reactions. Whether it can be proven by science or not is one thing; but at its worst, it makes for a delicious placebo. (And don’t knock the healing power of placebos!)

7. Kills antibiotic-resistant bacteria 

In clinical studies, medical grade honey has been shown to kill food-borne illness pathogens like E. coli and salmonella, as well as methicillin-resistant Staphylococcus aureus and Pseudomonas aeruginosa, both of which are common in hospitals and doctors' offices.

8. May help metabolize alcohol
 

This one's for you cocktail swillers, The NYU Langone Medical Center reveals that honey taken orally might, "increase the body's ability to metabolize alcohol, thereby limiting intoxication and more rapidly reducing alcohol blood levels." Honey shots all around.

9. Makes great workout fuel
 

Many athletes rely on sugar-laden sports drinks and gels for carbohydrates to fuel their bodies before and during endurance events, and afterwards to help muscle recovery. At 17 grams of carbohydrates per tablespoon, honey makes an excellent source of all-natural energy that is superior to other conventional sources since it comes with added nutrients. The National Honey Board recommends adding honey to your bottle of water for an energy boost during workouts. Snacks with honey can be eaten before and after, and honey sticks can be used during endurance events.

10. Resolves scalp problems and dandruff

In a study involving patients with chronic seborrheic dermatitis and dandruff, the participants were asked to apply honey diluted with 10 percent warm water to their problem areas and leave it on for three hours before rinsing with warm water. In all of the patients, itching was relieved and scaling disappeared within one week. Skin lesions were completely healed within two weeks, and patients showed subjective improvement in hair loss as well. And when applied weekly thereafter for six months, patients showed no sign of relapse.
All of that said, there are two important things to remember about honey: One, just because it proffers numerous health benefits doesn't mean it's not caloric; one tablespoon yields 64 calories. Also, it's crucial to remember that honey is not appropriate for children younger than 12 months because it can contain the bacteria that causes infant botulism.

Tag : www.mmm.com