2015-11-30

Health WholeGrains โฮลเกรนประโยชน์เต็มเมล็ด




ปัจจุบันผู้บริโภคใส่ใจเรื่องของการกินเพื่อสุขภาพ จะรู้จักคำว่า "โฮลเกรน (Whole Grains)" สำหรับบางคนอาจจะนึกไม่ออก ให้นึกถึงเมล็ดข้าว หรือเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ ที่กระเทาะเมล็ดโดยครกกับสาก
 
โฮลเกรน (Whole Grains) คือ ธัญพืชเต็มเมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสี หรือผ่านการขัดสีน้อยมาก มีส่วนประกอบที่สำคัญของธัญพืชอยู่ครบถ้วน  มีทั้งเยื่อหุ้มเมล็ด เป็นส่วนนอกสุดที่มีใยอาหาร ไฟโตนิวเตรียนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินบี และโปรตีน ส่วนเนื้อเมล็ด เป็นส่วนหลักของธัญพืช และแหล่งรวมของคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนอีกเล็กน้อย และส่วนจมูกข้าว แม้จะเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของธัญพืช แต่ก็มีสารอาหารมากกมาย ไม่ว่าจะเป็นไฟโตนิวเตรียนท์ วิตามินบี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม ทองแดง สังกะสี และไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อน
 
ลักษณะพิเศษของโฮลเกรน มีความสำคัญอยู่หลายด้าน หนึ่งในนั้นคือ มีวิตามิน แร่ธาตุ ค่อนข้างจะครบถ้วน มีอยู่ในธรรมชาติ อันที่สองคือ ตัวไฟเบอร์หรือใยอาหาร กลไกของมันคือ พอร่างกายกินไปแล้วมันไม่ย่อยแล้วดูดซึม แต่มันอมน้ำ มีน้ำหนัก ไหลผ่านลำไส้ กระเพาะ ระหว่างที่มันไหลผ่าน มันไปลากเอาไขมัน ลากเอาสารก่อมะเร็ง ลากเอาน้ำตาลที่ติดไปไว้ที่ลำไส้ใหญ่แล้วก็ขับถ่ายออกไป กลไกตัวนี้แหละคือกลไกที่มหัศจรรย์ของใยอาหาร ถ้าเรากินอาหารโฮลเกรนในมื้อนั้นเสร็จแล้ว ประมาณครึ่งชั่วโมงมันก็ลากไปแล้ว มันก็ลากไปทุกมื้อๆ
 
ประโยชน์ ของโฮลเกรนหรืออาหารธัญพืช คือ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ความดันสูง โรคมะเร็งในทางเดินอาหาร โรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือช่วยป้องกันท้องผูก แต่ยังมีอีกส่วนน้อยเท่านั้นที่จะรู้ว่าถ้าหันมาบริโภคโฮลเกรน เป็นประจำจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้วที่สำคัญ จะช่วยให้ร่างกายกระชับ หุ่นเพรียวขึ้น เพราะเส้นใยและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในโฮลเกรนทำให้ร่างกายย่อยอาหารช้าลง จึงรู้สึกอิ่มนาน และมีผลต่อการลดน้ำหนักในระยะยาว งานวิจัย พบว่า หากกินอาหารโฮลเกรน 40 กรัมทุกวันจะทำให้น้ำหนักลดลงถึงเดือนละ 0.49 กิโลกรัม โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม
 
คุณหมีผู้ที่ทานโฮลเกรนเป็นประจำกล่าวว่า .. โฮลเกรนนอกจากสะดวก และมีประโยชน์แล้ว ยังทำให้เขาน้ำหนักลดด้วย ก่อนหน้านี้เขา 125 กก. หลังจากทาน 2 สัปดาห์ติดต่อกัน ตอนนี้ 115 กก.
 
มีผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า คนที่บริโภคโฮลเกรนเป็นประจำ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้มากถึง 21-37% นอกจากนี้การบริโภคโฮลเกรนเป็นประจำยังดีต่อผู้ป่วยเบาหวาน เพราะโฮลเกรนจะช่วยทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น ดังนั้นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของธัญพืชที่รับประทานในแต่ละวันควรเป็นโฮลเกรน” (อินดรา เมโรทรา ผอ.สถาบันวิจัยสุขภาพและโภชนาการเบลล์ สหรัฐอเมริกา)
 
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลเชิงสถิติเกี่ยวกับการรับประทาน โฮลเกรนยังมีอยู่น้อยมาก แต่หากพิจารณาจากการรับประทาน “ข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ขัดสี” ซึ่งเป็นโฮลเกรนชนิดหนึ่ง จะพบว่า มีคนไทยเพียงร้อยละ   8.9 เท่านั้นที่บริโภคข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ขัดสี คนไทยโดยรวมได้รับ ใยอาหารจากธรรมชาติในปริมาณที่น้อยลง เพราะนิยมบริโภคอาหารส่วนใหญ่ที่เป็นข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์ที่ขัดสี
 
เราเป็นคนไทยต้องกินข้าวเป็นมื้อหลัก หากให้กินบริโภคต่อเนื่องตลอดไปเลยอาจจะทำไม่ได้ และด้วยโฮลเกรนบางยี่ห้อที่เป็นซีเรียลอาหารเช้านั้นราคาสูงเกินไปสำหรับผู้บริโภคบางกลุ่ม จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร แต่สำหรับการเริ่มต้นรับประทานโฮลเกรนนั้น สามารถทำได้โดยผสมโฮลเกรนกับธัญพืชขัดสีอย่างละครึ่ง ก็จะช่วยทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันยังมีการนำเอาโฮลเกรนไปแปรรูปเป็นอาหารต่าง ๆ มากมาย อาทิ ขนมปัง เส้นพาสต้า เส้นก๋วยเตี๋ยว ซีเรียล ช่วยทำให้เราเลือกรับประทานกันได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโฮลเกรน .. คุณว่าดีมั๊ย?
 
 

10 ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว




“น้ำมันมะพร้าว” สารพัดประโยชน์ สามารถนำมาใช้ได้หัวจรดเท้า ให้ประโยชน์ต่อร่างกายทั้งภายในและภายนอก ตั้งแต่ผม ผิวพรรณ ไปจนถึงระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายเลยทีเดียว

1. ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน
 
น้ำมันมะพร้าวได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไขมันแคลอรีต่ำ” แถมบำบัดความหิวได้ดีกว่าไขมันหรืออาหารอื่น ผู้ที่กินน้ำมันมะพร้าวจะไม่หิวเป็นเวลานาน และตลอดทั้งวัน จึงกินอาหารน้อยกว่าผู้ที่กินน้ำมันอื่น ๆ ทำให้มีแคลอรีน้อยกว่า จนไม่มีเหลือสะสมเป็นไขมัน
 
มีคุณสมบัติที่เป็นกรดไขมันขนาดกลาง ที่ถูกย่อยได้ง่าย และเคลื่อนที่ได้เร็ว เป็นกรดไขมันอิ่มตัว ไม่ถูกเติมออกซิเจนและไฮโดรเจนที่เป็นสาเหตุของโรคแห่งความเสื่อม รวมทั้งโรคอ้วนทำให้อาหารมีรสชาติ และอิ่มนานขึ้น เพิ่มพลังงาน
       
การกินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เพื่อลดความอ้วนเป็นแนวคิดของ Atkins Diet โดยมีหลักการว่า ต้องลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอินซูลิน ซึ่งส่งผลต่อการสะสมไขมันของร่างกาย หากงดกินแป้งและกินแต่ไขมัน ไขมันจะกดความอยากอาหาร เมื่อกินไปสักระยะเราจึงกินน้อยลง
       
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ได้ดีกว่าไขมันชนิดอื่น ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย กระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ และสร้างความร้อนได้เร็วจึงไม่สะสมในร่างกาย แนะนำให้กินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ควบคู่กับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยอาจนำมาผสมกับสมูตตี้ น้ำสลัด หรือซอส วันละ 2-3 ช้อนโต๊ะ
       
น้ำมันมะพร้าวสามารถเข้ากันได้กับอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด เช่นซุบ โจ๊ก แกงจืด น้ำส้ม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ โอวัลติน โดยไม่ได้ทำให้อาหารและเครื่องดื่ม เปลี่ยนรสชาติ หรือสูญเสียคุณค่าทางอาหาร และความอร่อยไป
       
สุดท้าย ปรุงไปในอาหารเราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าว ปรุงอาหารได้ โดยการผัด หรือทอด ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนเป็น Trans Fats ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เหมือนน้ำมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายที่ถูกกับความร้อนสูง หรือแม้แต่เป็นตัวทำให้อาหารไม่ติดกระทะหรือภาชนะ

2. ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง
กรดไขมันสายกลาง (medium chain fatty acid) ในน้ำมันมะพร้าวช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและกระบวนการรับรู้ของมนุษย์ นอกจากนี้ผลการศึกษายังบอกด้วยว่ากรดไขมันสายกลาง ในน้ำมันมะพร้าวยังช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ด้วย
 
3. ช่วยให้กระดูกแข็งแรง
ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของน้ำมันมะพร้าวคือ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูก การทานน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำเป็นการเพิ่มแคลเซียมและแมกนีเซียมให้กับกระดูก ทำให้กระดูกเจริญเติบโตได้ดีและแข็งแรง

4. ช่วยบำรุงรักษาเส้นผมให้นุ่ม เงางาม
น้ำมันมะพร้าวหมักผม ช่วยบำรุงเส้นผมทำให้ผมดกดำ ทำให้สวยเงางามอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการชโลมน้ำมันมะพร้าวให้ทั่วหนังศีรษะ ในปริมาณที่เหมาะสม แล้วนวดหนังศีรษะจนน้ำมันซึมทั่วหนังศีรษะ เส้นผม ปลายผม แล้วทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาทีแล้วค่อยสระออก จะช่วยให้ผมของคุณมีน้ำหนักเงางามขึ้น

น้ำมันมะพร้าวใช้ช่วยบำรุงผมเสีย แก้ปัญหาผมร่วง ผมแตกปลาย ด้วยการใช้น้ำมันมะพร้าวชโลมผมตอนแห้งแล้วทิ้งไว้ 30 นาทีแล้วสรระออก จะทำให้เส้นผมนุ่มสลวยไม่พันกัน เส้นผมตรงมากยิ่งขึ้น  และยังช่วยป้องกันผมร่วง ผมหงอกได้
 
5. ช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง
ผลการศึกษามากมายพบว่าน้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น โรคเรื้อน สิว โรคสะกิดเงิน นอกจากนี้หากใช้เป็นประจำน้ำมันมะพร้าวยังช่วยสมานแผลต่างๆ ด้วย

6. กลั้วปากขจัดเชื้อโรคในลำคอ
ใช้น้ำมันมะพร้าวใช้ทำน้ำยาบ้วนปากหรือ Oil Pulling (การกำจัดแบคทีเรียในช่องปาก) กลั้วไปทั่วปากให้น้ำมันซอกซอนไปตาม ร่องฟัน ดื่มน้ำเสร็จแล้วให้อมน้ำมันมะพร้าวไว้ในปาก 2 ช้อนโต๊ะโดยประมาณ ให้น้ำมันกลั้วอยู่ในปากผ่านร่องฟันไปมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15นาทีแล้วให้บ้วนทิ้ง  บ้วนปากด้วยน้ำ 2-3 ครั้ง การอมกลั้วน้ำมันนี้เพื่อขจัดเชื้อโรคในปากและคอ น้ำมันบางส่วนจะเข้าไปในร่างกาย เพื่อล้างสิ่งสกปรกและออกทางระบบขับถ่าย ลดกลิ่นปาก ลมหายใจสดชื่น
 
7. มีความสามารถในการเสริมภูมิคุ้มกัน 
น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริกสูงมาก ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันกับกรดไขมันที่มีในนมแม่ เมื่อบริโภคเข้าไปกรดลอริกจะเปลี่ยนเป็นโมโนลอรินที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อยีสต์ ไวรัส หรือโปรโตซัว นอกจากฆ่าเชื้อโรคได้หลายชนิดแล้ว ยังช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดอันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ เป็นอาหารให้แก่เซลล์ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตับอ่อนในการสร้างอินซูลินจึงดีต่อผู้เป็นเบาหวาน แถมยังปลอดภัยต่ออนุมูลอิสระและไขมันทรานส์ จึงช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์ไม่ให้เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง และช่วยกดการเจริญเติบโตของเนื้องอก เมื่อสุขภาพกายพร้อมสุขเพศก็พร้อมเช่นกัน ที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถทำให้หยุดอ้วน หยุดป่วย และหยุดแก่ สมกับคำเรียกที่ว่ามหัศจรรย์น้ำมันมะพร้าว

8. ไม่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ
น้ำมันมะพร้าว คือ น้ำมันที่ได้จากการสกัดแยกน้ำมันจากเนื้อผลของมะพร้าว องค์ประกอบหลักของน้ำมันมะพร้าวเป็นกรดไขมันอิ่มตัว 92% จึงไม่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคแห่งความเสื่อมมากมายเหมือนกับน้ำมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง ทานตะวัน คำฝอย ซึ่งจะเกิดอนุมูลอิสระได้ง่ายจากการเติมของออกซิเจนได้ตลอดเวลา ส่วนการเติมไฮโดรเจนนั้นเกิดจากการนำน้ำมันไม่อิ่มตัวไปถูกกับอุณหภูมิสูง เช่น ในขณะทอดอาหาร จึงเกิดเป็นสารตัวใหม่ชื่อไขมันทรานส์ (trans fat) โมเลกุลเปลี่ยนไปเกิดผลเสียต่อเซลล์
 
น้ำมันมะพร้าวเป็นกรดไขมันขนาดกลาง (medium chain triglyceride) เช่น กรดลอริก เมื่อรับประทานและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกเผา ผลาญได้ดีจึงถูกสะสมในเนื้อเยื่อไขมันได้น้อยกว่ากรดไขมันที่มีโมเลกุลสายยาว เช่น กรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่พบมากในน้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น ด้วยคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวจึงทำให้น้ำมันมะพร้าวได้รับความเชื่อใจจากผู้บริโภคในการรับประทานเพื่อช่วยประโยชน์หลายด้าน
 
9. บำรุงผิวหน้าและผิวพรรณ
อนุมูลอิสระ เป็นตัวการอันหนึ่งของการเกิดฝ้า และ กระ  วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ป้องกันรอยหมองคล้ำ ตามปกติผิวหนังจะสูญเสียความชุ่มชื้น เพราะถูกแดดและลม  
       
น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นสารรักษาความชุ่มชื้น รักษาอาการผิวแห้ง แตก ลอก เป็นขุย ลดอาการผื่นแพ้ แสบคันตามผิวหนัง จึงช่วยให้ผิวนวลเนียน อีกทั้งช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวทาแก้ผิวไหม้แดด อาการแสบร้อนจะบรรเทาลง
       
น้ำมันมะพร้าวก็คือสารให้ความชุ่มชื่นตามธรรมชาติ นำสำลีชุบน้ำอุ่นแล้วบีบน้ำออก หยดน้ำมันมะพร้าว 2-3 หยดลงบนสำลีทาให้ทั่วใบหน้า สามารถทิ้งไว้ได้เลยโดยไม่ต้องล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มไม่แห้งกร้าน รู้สึกว่าผิวหน้าละเอียดขึ้น หน้าเนียนขึ้น รอยด่างดำจากสิวจางลงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
       
ใช้ทาหน้าบางๆก่อนนอนแทนครีมบำรุงผิว แนะนำว่าต้องเป็นน้ำมันมะพร้าวแบบสกัดเย็น เพราะน้ำมันมะพร้าวที่ผ่านความร้อนจะทำให้วิตามินอี สลายไป ไม่เหมือนการสกัดเย็นที่ยังได้คุณค่าของน้ำมันมะพร้าวครบ
       
นอกจากจะใช้ทาบำรุงผิวหน้าแล้ว ผิวกายก็ต้องใช้ร่วมด้วย เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเมื่อย ปวดข้อต่างๆ ใช้ เป็นประจำทุกวัน อุดมด้วยวิตามิน E ช่วยปกป้องรังสี UV

10. เช็ดเครื่องสำอาง สะอาดหมดจด
ใช้น้ำมันมะพร้าวหยดบนสำลีพอประมาณแล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้า สามารถใช้เช็ดรอบดวงตา พวก eye shadow อาย ไลน์เนอร์ มาสคาร่า หมดเกลี้ยง และริมฝีปาก สำหรับผู้ที่แต่งหน้าสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเช็ดทำความสะอาดได้ 2 รอบเพื่อความสะอาดอย่างหมดจด เมื่อเช็ดด้วยน้ำมันมะพร้าวทั่วทั้งใบหน้าแล้วให้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีจึงล้างออกด้วยสบู่ หลังจากนั้นซับหน้าให้แห้ง
       
น้ำมันมะพร้าวซึ่งมีโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถแทรกซึมทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก  ช่วยลดการเกิดสิว ฝ้า และการสะสมของสารเคมีจากเครื่องสำอาง  ช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ เต่งตึง ผิวหน้าเนียนใส และช่วยขจัดสิ่งอุดตันที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว อย่างได้ผล
      
คราบเครื่องสำอางจะหลุดออกหมด โดยเฉพาะรอบดวงตา จะทำให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มและละเอียดขึ้น ขนตายาวขึ้น
 

ประโยชน์ของลูกหม่อน



มัลเบอรี่ (Mulberry)หรือ ลูกหม่อน

น้ำมัลเบอรี่ (Mulberry)หรือ น้ำลูกหม่อน



น้ำมัลเบอรี่ หรือ น้ำลูกหม่อน ผลไม้ที่ทรงคุณค่า แต่หารับประทานยาก เดิมเป็นผลพลอยได้จากการปลูกหม่อนพันธุ์บุรีรัมย์60 ซึ่งนอกจากให้ผลผลิตใบสำหรับเลี้ยงไหมแล้ว ยังให้ผลหม่อนสดรสชาติดีอีกด้วย ปัจจุบัน สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พบหม่อนผลสดพันธุ์เชียงใหม่ ให้ผลดก ได้ผลผลิตมากกว่า 1,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี และได้นำผลหม่อนมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม
 

ประโยชน์

    
มัลเบอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ อาทิ กรดโฟลิก ซึ่งพบว่า ทารกที่เกิดจากมารดาที่ขาดกรดโฟลิก มีความเสี่ยงที่จะพิการทางสมองและประสาท ไขสันหลัง นอกจากนั้นยังพบสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโธไชยานิน เควอซิติน ที่มีส่วนลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ตำรับยาโบราณมีการใช้ผลหม่อนต้มบริโภคทั้งเนื้อและน้ำแก้โรคไขข้ออักเสบ ท้องผูก โลหิตจาง และขับเสมหะ

ผลมัลเบอรี่ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลูกหม่อน เมื่อนำมาทำเครื่องดื่มและอาหารแล้วรสชาติสีสันและคุณค่าทางอาหาร ไม่ด้อยไปกว่าผลบลูเบอรี่ ผลราสพ์เบอรี่ และแบล็คเบอรี่ ผลไม้นำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาสูงมาก ดังนั้น อาหารที่ใช้ผลไม้ดังกล่าวเป็นส่วนผสมจึงสามารถใช้ผลหม่อนทดแทนได้ทั้งหมด เช่น เค้ก โดนัท พาย ผลหม่อนห่าม จะมีสีแดง ให้รสเปรี้ยว ผลหม่อนสุก จะมีสีม่วงดำ ให้รสหวานจัด และไอศกรีม ฯลฯ

โดยรวมๆ สารต้านอนุมูลอิสระ อันหลากหลายในเบอร์รี่จะมีส่วนช่วยในการเพิ่มการทำงาน และลดการอักเสบของหลอดเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคทางระบบประสาทและสมอง
 
เครื่องดื่มยามเช้าที่เหมาะกับตัวคุณ น้ำลูกหม่อน ในตอนเช้า ๆ หลาย ๆ คนคงต้องการที่จะหาอะไรดื่มก่อนไปเรียนหรือไปทำงาน อร่อยสดชื่นเพื่อจะให้ร่างกายมีพลังในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เราเลยหาเครื่องดื่มที่เหมาะกับเช้าวันใหม่มาแนะนำกัน
 
น้ำลูกหม่อน เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด น้ำลูกหม่อนโดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิคแอซิด และแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี น้ำลูกหม่อนนอกจากนั้นในน้ำผักและน้ำผลไม้ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลโดยธรรมชาติ ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้เราหายเหนื่อย หายเพลีย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นน้ำหวาน คนที่นอนดึกส่วนใหญ่ยามเช้าของคุณจะมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ เกิดอาการเครียดทางประสาท ซึ่งอาจเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ

น้ำลูกหม่อนโดยเฉพาะความหวานของน้ำลูกหม่อนนั้นจะถูกดูดซึมได้ดีและง่าย ดังนั้นน้ำหวานจะทำให้จิตใจสงบ คลายอาการเครียดและมึนงงได้เป็นอย่างดี

ลูกหม่อน (Mulberry) และ สรรพคุณ


น้ำลูกหม่อน(Mulberry) เป็นไม้ยืนต้นตระกูลเบอรรี่ เช่นเดียวกับ บลูเบอรรี่ และราสเบอรี่ เมื่อดิบสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีแดงและเป็นสี่ม่วงดำเมื่อสุก รสหวานอมเปรี้ยว มีผลงานวิจัยหลายสถาบันในประเทศไทย มหาวิทยยาลัยทางการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตและงานวิจัยหลายประเทศ ดังนี้
 
   1. มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ชื่อ Anthyocyanin ซึ่งเป็นสารสีม่วงแดง ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และป้องกันโรคมะเร็ง
   2. มีวิตามินบี 6 ช่วยบำรุงเลือด ตับ ไต ลดการเกิดสิว ลดอาการปวดประจำเดือน
   3. ป้องกันและยับยั้งการเกิดลิ่มเลือด ป้องกันเส้นเลือดแตก สาเหตุของโรคอัมพฤก อัมพาต
   4. มีวิตามินซี สูง ช่วยป้องกันหวัด โรคภูมิแพ้ โรคปอด วัณโรค ป้องกันเชื้อไวรัส
   5. มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดต้อกระจก (ป้องกันแสงสีน้ำเงินเข้าทำลายเลนส์ตา) บำรุงเหงือกและฟัน สร้างภูมิให้ระบบหายใจ บำรุงผิว ลดการอักเสบของสิว
   6. มีกรดโฟลิค หรือวิตามินใบไม้ หรือวิตามินเอ็ม ป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันทารกพิการ ช่วยการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ หญิงแรกตั้งครรภ์เดือนแรกต้องการกรดโฟลิค
   7. ช่วยแก้อาการเมาค้าง ผ่อนคลายความเครียด        
   8. ช่วยบำรุงเส้นผมให้ดกดำ ป้องกันผมหงอกก่อนวัย






2015-11-25

10 health benefits of honey




There is something undeniably enchanting about honey; the product of flower nectar transformed by bees, as if by alchemy – but in fact through the far less-poetic act of regurgitation – into a sweet, golden elixir. Honey has held sway over humans since ancient times.

But aside from honey’s seductive color and flavor, it has some scientific superpowers that add to its appeal. Honey has an unusual chemical composition, one which makes it keep indefinitely without spoiling; as is seen whenever ancient pots of honey, still perfectly preserved, are found during excavations of early Egyptian tombs. It is uniquely low in moisture and extremely acidic, making it a forbidding environment for bacteria and microorganisms. On top of that, bees add an enzyme, glucose oxidase, to it that creates hydrogen peroxide as a byproduct. According to the National Institutes of Health, honey is hygroscopic, antibacterial, anti-inflammatory, and has remarkable debriding action. Who knew?

With this bonanza of properties, honey has been used for millennia as a medicinal remedy. As Smithsonian.com reports, the earliest recorded use of honey as a curative comes from Sumerian clay tablets, which convey that honey was used in 30 percent of prescriptions at the time. The ancient Egyptians used honey regularly to treat skin and eye problems; as did the Greeks, Romans, and a number of other cultures.

And ever since – along with being a favored gift to the gods and employed for sweetening cakes and drinks – honey has been used to treat that which ails us. It has been hailed as a fix for everything from scrapes to cancer. The following are some of honey’s best-known health benefits; whether confirmed by science or passed down through folk tradition, they prove honey to be as efficacious as it is delicious.

1. Soothes coughs
 

A 2007 study from Penn State College of Medicine that involved 139 children, found that buckwheat honey outperformed the cough suppressant, dextromethorphan (DM), in calming nighttime coughs in children and improving their sleep. Another study published in Pediatrics included 270 children aged one to five with nighttime cough due to simple colds; in this study, the children who received two teaspoons of honey 30 minutes before bed, coughed less frequently, less severely and were less likely to lose sleep due to the cough when compared to those who didn't get honey. (For more ideas on fighting coughs, see 10 natural cough remedies.)

2. Boosts memory
 

According to research reported by Reuters, 102 healthy women of menopausal age were assigned to consume 20 grams of honey a day, take hormone-replacement therapy containing estrogen and progesterone or do nothing. After four months, those who took honey or hormone pills recalled about one extra word out of 15 presented on a short-term memory test. That said, some critics of the study say that it wasn’t scientifically sound because it was small and didn’t last long. But still...

3. Treats wounds
 

In numerous studies, honey has been found effective in treating wounds. In a Norwegian study, a therapeutic honey called Medihoney (a New Zealand honey that undergoes a special purification process) and Norwegian Forest Honey were found to kill all strains of bacteria in wounds. In another study, 59 patients suffering from wounds and leg ulcers – of which 80 percent had failed to heal with conventional treatment – were treated with unprocessed honey. All but one of the cases showed remarkable improvement following topical application of honey. Wounds that were sterile at the outset, remained sterile until healed, while infected wounds and ulcers became sterile within one week of applying honey.
For the treatment of burns and wounds, WebMD notes: Honey is applied directly or in a dressing which is usually changed every 24 to 48 hours. When used directly, 15 mL to 30 mL of honey has been applied every 12 to 48 hours, and covered with sterile gauze and bandages or a polyurethane dressing.

4. Provides nutrients
 

According to the National Honey Board, honey contains “small amounts of a wide array of vitamins and minerals, including niacin, riboflavin, pantothenic acid, calcium, copper, iron, magnesium, manganese, phosphorus, potassium and zinc.” Thus, using honey instead of sugar provides you with more nutrients for your calories.

5. Potentially prevents low white blood cell count
 

The Mayo Clinic notes that honey may be a promising and inexpensive way to prevent low white blood cell count caused by chemotherapy. In one small trial, 40 percent of cancer patients who were known to be at risk of neutropenia (very low blood count) had no further episodes of the condition after taking two teaspoons daily of therapeutic honey during chemotherapy. More research is needed, but the remedy could hold great potential.

6. May relieve seasonal allergies
 

Many people swear by honey’s ability to lessen symptoms of seasonal allergy. As honey has anti-inflammatory effects and is known to soothe coughs, it may not seem like much of a stretch; but honey’s efficacy for treating allergy hasn’t been proven in clinical studies. That said, some experts say that honey can contain traces of flower pollen, and exposure to small amounts of allergens works as good treatment to combat reactions. Whether it can be proven by science or not is one thing; but at its worst, it makes for a delicious placebo. (And don’t knock the healing power of placebos!)

7. Kills antibiotic-resistant bacteria 

In clinical studies, medical grade honey has been shown to kill food-borne illness pathogens like E. coli and salmonella, as well as methicillin-resistant Staphylococcus aureus and Pseudomonas aeruginosa, both of which are common in hospitals and doctors' offices.

8. May help metabolize alcohol
 

This one's for you cocktail swillers, The NYU Langone Medical Center reveals that honey taken orally might, "increase the body's ability to metabolize alcohol, thereby limiting intoxication and more rapidly reducing alcohol blood levels." Honey shots all around.

9. Makes great workout fuel
 

Many athletes rely on sugar-laden sports drinks and gels for carbohydrates to fuel their bodies before and during endurance events, and afterwards to help muscle recovery. At 17 grams of carbohydrates per tablespoon, honey makes an excellent source of all-natural energy that is superior to other conventional sources since it comes with added nutrients. The National Honey Board recommends adding honey to your bottle of water for an energy boost during workouts. Snacks with honey can be eaten before and after, and honey sticks can be used during endurance events.

10. Resolves scalp problems and dandruff

In a study involving patients with chronic seborrheic dermatitis and dandruff, the participants were asked to apply honey diluted with 10 percent warm water to their problem areas and leave it on for three hours before rinsing with warm water. In all of the patients, itching was relieved and scaling disappeared within one week. Skin lesions were completely healed within two weeks, and patients showed subjective improvement in hair loss as well. And when applied weekly thereafter for six months, patients showed no sign of relapse.
All of that said, there are two important things to remember about honey: One, just because it proffers numerous health benefits doesn't mean it's not caloric; one tablespoon yields 64 calories. Also, it's crucial to remember that honey is not appropriate for children younger than 12 months because it can contain the bacteria that causes infant botulism.

Tag : www.mmm.com

20 Coconut Oil Benefits & Side Effects


According to medical research, coconut oil benefits the body in the following ways:

1. Proven Alzheimers Disease Natural Treatment

The digestion of MCFA’s by the liver creates ketones which are a readily accessible energy by the brain. Ketones supply energy to the brain without the need of insulin to process glucose into energy.
Recent research has shown that the brain actually creates it’s own insulin to process glucose and power brain cells. As the brain of an Alzheimer’s patient has lost the ability to create it’s own insulin, the ketones from coconut oil could create an alternate source of energy to help repair brain function. (1, 2)

2. Prevents Heart Disease and High Blood Pressure

Coconut oil is high in natural saturated fats. Saturated fats not only increase the healthy cholesterol (known as HDL) in your body, but also help to convert the LDL “bad” cholesterol into good cholesterols.
By Increasing the HDL’s in the body, it helps promote heart health, and lower the risk of heart disease.

3. Cures UTI and Kidney Infection & Protects the Liver

Coconut oil has been known to clear up and heal urinary (UTI) and kidney infections. The MCFA’s in the oil work as a natural antibiotic by disrupting the lipid coating on bacteria and killing them. Also there is a study showing that coconut oil directly protected the liver from damage. (3)
Coconut water also helps hydrate and support the healing process. Doctors have even injected the coconut water to clear up kidney stones. Coconut is a super powerful food!

4. Reduces Inflammation and Arthritis

In a study in India, the high levels of antioxidants present in virgin coconut oil reduced inflammation and healing arthritis more effectively than leading medications. (4)
In another recent study, coconut oil that was harvested with only medium heat was found to suppress inflammatory cells. It worked as both an analgesic and anti-inflammatory.
 
5. Cancer Prevention and Treatment

Coconut oil has two qualities that help it fight cancer. One, because of the ketones produced in it’s digestion. Tumor cells are not able to access the energy in ketones and are glucose dependent. It is believed that a ketogenic diet could be a possible component of helping cancer patients recover.
Two, as the MCFA’s digest the lipid walls of bacteria, they also can kill the helicobacter pylori bacteria that has been known as increasing the risk of stomach cancer. Even in studies where cancer is chemically induced, the introduction of coconut oil prevents cancer from developing!

6. Immune System Boost (antibacterial, anti-fungal, and anti-viral)

Coconut oil contains lauric acid, which is known to reduce candida, fight bacteria, and create a hostile environment for viruses. Many diseases today are causes by the overgrowth of bad bacteria, funguses, viruses and parasites in the body.
You can replace grains and sugar in your diet with coconut oil as your natural fuel source when you’re sick. Sugar feeds the growth of bad bacteria. Instead take 1 TBSP of coconut oil 3x daily when sick and consume plenty of vegetables and bone broth as well.
 
7. Improves Memory and Brain Function

In a 2004 study published in the journal of Neurobiology of Aging, they found that the MCFA’s found in coconut oil improved the memory problems in their older subjects.
Across all the patients there was a marked improvement in their recall ability after taking this fatty acid. As the MCFA’s are absorbed easily in the body and can be accessed in the brain without the use of insulin, they are able to fuel brain cells more efficiently. (5)

8. Improves Energy and Endurance

Coconut oil is easy to digest, but also produces a longer sustained energy and increases your metabolism. When taking a quality non-processed coconut oil, you can get the most benefit as it’s MCFA’s are sent directly to the liver to be converted into energy!
Today, many triathletes will use coconut oil as their source of fuels during training and races for long distance events. You can make a homemade energy fuel by mixing coconut oil, raw honey and chia seeds together. Simply put together 1 TBSP of each and consume 30 minutes prior to exercise.
 
9. Improves Digestion, Reduces Stomach Ulcers & Ulcerative Colitis

Coconut also improves digestion as it helps the body to absorb fat-soluble vitamins, calcium, and magnesium.
If coconut oil is taken at the same time as omega-3 fatty acids, it can make them twice as effective, as they are readily available to be digested and used by the body.
Coconut oil can help improve bacteria and gut health by destroying bad bacteria and candida. Candida imbalance especially can decrease stomach acid which causes inflammation and poor digestion.

10. Reduces Symptoms of Gallbladder Disease & Pancreatitis 

The MCFA’s of coconut oil do not need the pancreatic enzymes to be broken down, so taking coconut oil eases the strain on the pancreas.
Additionally, this super fat is so easy to digest that it has been known to improve the symptoms of gallbladder disease as well. Replace other long-chain fats with coconut oil to improve gallbladder and total body health.

11. Improves Skin Issues (burns, eczema, dandruff, dermatitis, and psoriasis)

Coconut oil is wonderful as a face cleanser, moisturizer and sun screen, but also it can treat many skin disorders. The fatty acids (Caprylic and Lauric) in coconut oil reduce inflammation internally and externally and moisturize making them a great solution for all types of skin conditions.
It protects the skin and has many antioxidants that make it ideal for healing the skin. In addition the antimicrobial properties balance out the candida or fungal sources that can cause many skin conditions.
 
12. Prevents Gum Disease and Tooth Decay

Oil pulling with coconut oil has been used for centuries as a way to cleanse the mouth of bacteria and help heal periodontal disease. Coconut oil is one of the most effective oils for oil pulling due to it’s high concentration of antibacterial MCFA’s.
By swishing the oil in your mouth the oil denatures the bacteria and sticks to it. Removing oral bacteria greatly reduces your risk of periodontal disease. If you want to heal your gums and repair your teeth, I recommend coconut oil pulling 3x a week for 20 minutes a day. 

13. Prevents Osteoporosis

Oxidative stress and free radicals are the two biggest culprits of osteoporosis. Since coconut oil has such high levels of antioxidants which help fight free radicals, it is a leading natural treatment for osteoporosis.
Another of the amazing coconut oil benefits is that it increases calcium absorption in the gut. Research with osteoporosis has found that coconut oil not only increases bone volume and structure in subjects, but also decreased bone loss due to osteoporosis. (6)
 
14. Improves Type II Diabetes

When cells refuse to respond to insulin and no longer take in glucose for energy, then they are considered insulin resistant. The pancreas then pumps out more insulin to compensate and creates an overproduction cycle. Insulin resistance is the precursor to Type II diabetes.
The MCFA’s in coconut oil helps balance the insulin reactions in the cells and promote healthy digestive process. They take off the strain on the pancreas and give the body a consistent energy source that is not dependent on glucose reactions which can prevent insulin resistance and Type II diabetes.

 
15. Coconut Oil for Weight loss

Because of the energy creating abilities of coconut oil, it is no wonder that it is beneficial in losing weight. It helps to burn fat, decrease appetite and it studies it was especially helpful in losing belly fat!
Coconut’s ability to help you shed fat has been well established. A 1985 study published in the Journal of Toxicology and Environmental Health proved that a single injection of capric acid resulted in “initially rapid, then gradual decrease in food consumption and a parallel loss of body weight” in male rats.
It might seem counterintuitive to assume that eating coconut oil (a fat) will contribute to fat loss, but it is actually quite logical. The key to understanding this phenomenon lays in the multidimensional ability of the MCFAs to control a variety of physiological processes.
For example, in the 1985 study mentioned above, it was discovered that capric acid shows significant improvements in thyroid function, helps lower resting heart rate, and assists your body in burning fat for energy.
More recently, the Obesity Research Journal published a study from Boston University Medical School that gives us a clue why MCFAs have fat burning ability. (7)
Testing the effects that MFCAs have on fat breakdown, adipose (fatty) cells in rats were pretreated with caprylic acid. They observed that fat breakdown occurred at such a significant level that it literally mimicked the characteristics of fasting.
Fasting, in this sense, is not to be regarded as negative, but positive in that the body uses its energy reserves most effectively and speeds up the breakdown of needless fat reserves.
In the words of the researchers who conducted this study, “Such changes could contribute, in part, to weight loss in animals and humans associated with dietary medium-chain fatty acids.”

16. Building Muscle and Losing Body Fat

MCFAs aren’t just good for burning fat; they are also great for building muscle. The MCFAs found in coconut are also used in popular muscle building products like Muscle Milk™.
The vast majority of heavily produced supplements however, use processed forms of MCFAs. By eating actual coconuts, however, you get the “real deal.” I recommend adding 3 tbsp of coconut oil to a muscle building shake daily.

17. Coconut Oil Benefits for Hair Care

if you have dandruff or dry hair coconut oil has the perfect fatty acids to help improve these conditions.  You can make homemade coconut lavender shampoo to improve your hair and use straight coconut oil as an all natural hair conditioner.
To get rid of dandruff and to thicken hair massage 1 tbsp coconut oil mixed with 10 drops of rosemary essential oil into your scalp for 3 minutes. Then shower 30 minutes later.

18. Candida and Yeast Infections

A study published in the journal of Antimicrobial Agents and Chemotherapy found the capric acid and lauric acid in coconut oil were an effective natural treatment for candida albicans and yeast infections.
To effectively kill candida and treat yeast infections remove processed sugar and refined grains from your diet and consume plenty of healthy fats. Take 1 tbsp of coconut oil 3x daily as a supplement. (8)

19. Coconut Oil for Anti-aging

According to research published in the medical journal Food and Function, coconut oil improves antioxidant levels and can slow aging. Coconut oil works by reducing stress on the liver and by lowering oxidative stress. (9)
Also, they found that coconut oil may support detoxification because of how it works with the liver. To naturally slow aging take 1 tbsp of coconut oil with anti-oxidant rich berries for breakfast. You can also apply it directly to skin for additional benefits and smoothing.

20. Coconut Oil for Hormone Balance

Using coconut oil benefits your hormones as well! Coconut oil may help naturally balance hormones because it’s a great source of saturated fat including lauric acid. Studies have found that coconut oil may be an excellent fat to consume during menopause and also may have positives effects on estrogen levels. (10)
In order to naturally balance hormones reduce sugar and grain consumption and load up on healthy fats from coconut, avocado, flax seeds and ghee.

Tag : www.draxe.com

Health Benefits of Avocados



The health benefits of avocado include weight management, protection from cardiovascular diseases, diabetes, treating osteoarthritis and enhancing the absorption of nutrients for the body. It also reduces the risk of cancer, liver damage and Vitamin K deficiency-related bleeding. Avocado helps in keeping eyes healthy and  protecting the skin from signs of aging and the harmful effects of UV rays. It also helps in maintaining blood sugar levels and has antioxidant properties. It even helps to increase circulation, boost cognitive abilities, and build stronger bones!

According to a recent research study, avocado seeds are used for the treatment of diabetes, inflammatory conditions, and hypertension, as well as for improving hypercholesterolemia. Another research study shows that consumption of avocado leads to improved diet quality and nutrient intake, including a lowered risk of metabolic syndrome.

Avocado has a high fatty acid content but contains extremely low levels of cholesterol. Many people tend to stop eating avocado due to its high calorie content, thinking that it may add to their weight. However, the amount of calories is very small when compared to butter, and other high calorie dietary items. Also, much of the fat content comes from unique sources, like phytosterols, which are beneficial for a number of reasons. This article discusses the various health benefits of avocado and its nutritional content, but first, let’s learn a bit more about this valuable and beneficial fruit.

Avocados are also known as Alligator Pears, which is mainly due to its shape and the leathery appearance of its skin. It is a fruit that is grown on Persea Americana, which is an evergreen tree from the Lauraceae family. Although it doesn’t resemble these relatives, avocados are closely related to cinnamon and bay laurel. It is usually tall and can grow up to a height of 65 feet. The approximate weight of avocados is between eight ounces and three pounds, depending on the variety of avocado. It is harvested early and then allowed to ripen gradually when it is sold commercially. This is why avocados are called climacteric fruits, which only ripen after harvesting, just like bananas.


Tag: www.organicfacts.net

กล้วยลดอาการปวดไมเกรน




กล้วยเป็นผลไม้ที่หากินได้ง่ายมากที่สุดประเภทหนึ่งในบ้านเรา เพราะกล้วยนั้นเป็นผลไม้เมืองร้อน ที่ปลูกง่ายได้ทุกพื้นที่ของประเทศ กล้วยที่ปลูกในประเทศไทยนั้นมีหลายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยตานี แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นกล้วยแบบไหน ก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับร่างกายทั้งนั้น นอกจากนั้นแล้ว คนไทยยังมักนำเอากล้วยมาแปรรูปเป็นอาหารชนิดต่างๆ เช่น กล้วยบวดชี กล้วยตาก กล้วยฉาบ เป็นต้น กล้วย มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายอย่าง ซึ่งจะช่วยป้องกัน รักษาอาการผิดปกติต่างๆ ของร่างกาย ดังนี้

- กล้วย สามารถลดอาการปวดหัวอันเกิดจากโรคไมเกรนได้อย่างชะงัด โดยเมื่อมีการเกิดปวดหัวไมเกรน แล้วกินกล้วยเข้าไป สารอาหารประเภทแม็กนีเซียม ที่อยู่ในกล้วย จะช่วยบรรเทา และระงับอาการปวดหัวลงได้ นอกจากนั้นแล้ว หากเป็นกล้วยที่แปรรูปเป็นอาหารบางชนิด เช่น ไอศกรีมกล้วยหอม ก็จะช่วยลดความเครียด อันเป็นหนึ่งในสาเหตุของไมเกรนลงได้อีกต่างหาก

- กล้วย มีกรดอะมิโน และทริปโตเฟน ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้สมองสร้างสารเซโรโทนิน ที่เป็นเหมือนสารระงับประสาทในสมอง ส่งผลให้เราสามารถนอลหลับได้ง่ายและหลับสบายไม่หลับๆ ตื่นๆ โดยเฉพาะคนที่นอนหลับยากๆ หรือเป็นโรคนอนไม่หลับนั้น ลองรับประทานกล้วยหลังอาหารมื้อเย็นดู แล้วจะรู้สึกว่าหลับได้ง่าย และหลับสนิทสบายดีมาก แต่แนะนำว่าควรเป็นกล้วยแบบสดๆ ไม่ควรเป็นกล้วยแปรรูป

- กล้วย เป็นแหล่งพลังงานที่ดีของร่างกาย เพราะมีคาร์โบไฮเดรตปริมาณมาก (แต่เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยสลายได้ง่าย) นอกจากนั้น ในกล้วยยังมีวิตามินซีสูง ที่ช่วยให้ร่างกายมีความกระปรี้กระเปร่า ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือการออกกำลังกาย โดยแนะนำให้กินกล้วยก่อนไปทำงานตอนเช้า จะรู้สึกสดชื่น และสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรือสำหรับใครที่อยากจะไปออกกำลังกาย รองท้องด้วยกล้วยหอม หรือกล้วยน้ำว่าก่อนสัก 1-2 ลูก จะช่วยให้ร่างกายมีความแกร่งและอึดสำหรับการออกกำลังกายมากเลยทีเดียว

- กล้วย มีสารอาหารที่เรียกว่า โพแทสเซียม ซึ่งจะช่วยปรับความดันของเลือด ให้อยู่ในระดับที่สมดุล ดังนั้นจึงสามารถพูดได้ว่า การกินกล้วยเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิต นอกจากนั้นกล้วยยังเป็นอาหารที่ลดความเครียดได้อย่างชะงัด เพราะเมื่อเกิดความเครียด ความดันโลหิตจะพุ่งสูงขึ้น สารอาหารโพแทสเซียม จะข้าไปปรับสมดุลตรงจุดนี้

- กล้วย โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า มีไฟเบอร์ในปริมาณที่สูง ดังนั้น มันจึงสามารถ ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย การกินกล้วยเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้สามารถขับถ่ายได้ง่ายมากขึ้น ลดปัญหาเรื่องท้องผูก หรืออุจจาระแข็งตัว อันนำมาสู่สาเหตุของการเป็นโรคริดสีดวงทวารลงได้ นอกจากนั้นแล้ว กล้วยยังเป็นเป็นอาหารที่ปรับสมดุลในระบบลำไส้ กล้วยบางประเภทที่มีใยอาหารสูงๆ จะช่วยล้างเอาสารพิษ ที่ติดค้างในลำไส้ออกไปด้วย ในระหว่างการขับถ่าย

- กล้วย มีวิตามิน บี1 และ บี 2 ซึ่งเร่งการเผาผลาญ ไขมันและน้ำตาลที่อยู่ในร่างกาย ดังนั้น มันจึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังต้องการลดความอ้วน เพราะกล้วยนั้นมีคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่ง คือ มีสารอาหารที่ละลายน้ำได้ดี เมื่อเข้าไปอยู่ในท้องจึงสามารถพองตัว ให้อิ่มได้นาน นอกจากนั้นแล้วกล้วยยังมีคุณสมบัติในการลดความหยากของหวาน อันเป็นที่มาของความอ้วนได้อีกด้วย

- อย่างที่บอกไปว่า กล้วย มีสารโพแทสเซียมสูง ซึ่งส่งผลดีต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ โดยโพแทสเซียม จะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจลง นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงหลอดเสือด สร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือด ถือเป็นอาหารที่ดี สำหรับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงจากโรคดังกล่าวลง

- กล้วยมีวิตามิน A สูงมาก ดังนั้นมันจึงช่วยในเรื่องของระบบประสาทสายตา โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการมองเห็นไม่ชัด พร่ามัว หรือดวงตาที่เหนื่อยล้า อาจจะลองกินกล้วยหลังมื้ออาหาร หรือรับประทานเป็นของว่างดู จะช่วยให้การทำงานของสายตาดีขึ้น ไม่ปวดหรือเมื่อยตา แต่อย่างไรก็ตาม ควรพักผ่อนให้เพียงพอด้วยเช่นกัน

- กล้วยมีสารที่เรียกว่า ฟรุกโตโอริโกแซคคาไลน์ เป็นสารที่ช่วยให้ลำไส้ดูดซึมสารแคลเซียม ที่ส่งผลดีต่อกระดูกได้

2015-11-24

กินน้ำเต้าหู้ ผิวสวยใส อ่อนกว่าวัย





น้ำเต้าหู้ หรือ นมถั่วเหลือง เครื่องดื่มคู่คนไทยมาตั้งแต่อดีต ณ ปัจจุบันนี้มองไปทางไหนก็จะก็จะเจอน้ำเต้าหู้อยู่ทุกที่ และยิ่งไปกว่านั้นเดี๋ยวนี้มีแบบผงชงดื่มเองที่บ้าน สะดวกสบายกันเลยทีเดียว

น้ำเต้าหู้ หรือ นมถั่วเหลือง มีอะไรดี

เป็นแหล่งไขมันและโปรตีนที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย ในถั่วเหลืองยังอุดมไปด้วยสารอาหารอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน AB, B1, B2, B6, B12 ไนอาซิน และวิตามิน C, D, E และในเมล็ดถั่วเหลืองยังมี “เลซิทิน” อันเป็นสารบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ ลดไขมันและลดโคเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกด้วย ให้โปรตีนเกือบเท่านม มีไขมันที่ดีกว่า คือให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่านมช่วยลดโคเลสเตอรอลและลดไขมันในร่างกาย สำหรับคนที่ไม่ดื่มนมเพราะเหตุใดก็ ตาม จะได้รับคำแนะนำให้ดื่มนมถั่วเหลือง
ทำไมผู้ใหญ่ชอบพูดว่า กินน้ำเต้าหู้แล้วผิวดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

นอกจากน้ำเต้าหู้ จะมีประโยชน์และสารอาหารที่ดีต่อร่างกายแล้ว ข้อดีที่สำคัญคือ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เพราะ ไขมันในนมถั่วเหลือง เป็นไขมันไม่อิ่มตัวมีมากถึง 63% ไขมันอิ่มตัว 15 % ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดเดี่ยวอีก 24 % และยังมี linoleic acid กรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย นอกเหนือจากนั้นสิ่งที่ทำให้สาวๆทั้งหลายหันมาดื่มน้ำเต้าหู้กัน คือในนมถั่วเหลืองยังมีสารอาหารอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินอี ที่มีในปริมาณที่สูง วิตามินอี มีส่วนสำคัญที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยดูแลเนื้อเยื่อร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง และยังช่วยชะลอความแก่อีกด้วย  รู้แบบนี้ใครยังไม่ดื่มรีบเลยนะคะ ถ้ายังอยากเต่งตึง อ่อนกว่าวัยสดใสไปนานๆ

นอกจากความสวยใสนั้น น้ำเต้าหู้ยัง ช่วยป้องการเกิดโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจล้มเหลว ท้องผูก สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม ริดสีดวง ช่วยป้องกันและยับยั้งโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ช่วยป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากถั่วเหลืองมีไฟเบอร์สูง ไฟเบอร์เหล่านี้จะช่วยทำความสะอาดระบบทางเดินอาหาร ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ได้ และป้องกันอาการวัยทอง มากมายหลากหลายคุณประโยชน์จริงๆ แต่อะไรก็ตามล้วนมีข้อจำกัด 

ข้อเสียของน้ำเต้าหู้

น้ำเต้าหู้สำหรับผู้ที่ใช้ดื่มแทนนมวัวนั้น ปริมาณแคลเซียมอาจไม่เพียงพอ จึงต้องรับประทาน ผักใบเขียว กับปลาเล็กที่รับประทานทั้งตัวได้ และธัญพืชอื่นๆร่วมด้วยเพื่อจะได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้น ข้อเสียอีกอย่างคือ ในน้ำเต้าหู้มีไฟโตเอสโตรเจนหากดื่มเยอะเกิน อาจเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดมะเร็งเต้านมได้ เพราะไฟโตเอสโตรเจนก็ทำหน้าที่เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ดังนั้นคนที่เป็นมะเร็งเต้านม การรับประทานไฟโตเอสโตรเจนเป็นควรระวัง จึงควรดื่มแบบพอดี

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วอยากผิวดี เต่งตึง สดใสอ่อยกว่าวัย สุขภาพดี มาดื่มน้ำเต้าหู้ทุกวัน เช้า-ก่อนนอน กันดีกว่าค่ะ ยิ่งใครทำน้ำเต้าหู้เองที่บ้านยิ่งดีเลยนะคะ เพราะที่ขายตามท้องตลาดนั้นใส่น้ำตาลเยอะ และไม่เข้มข้น ถ้าเราทำเองยิ่งปลอดภัยและได้รับประโยชน์ได้คุณค่าอย่างเต็มที่


ประโยชน์ของ สตรอเบอรี่



สตรอเบอรี่ เป็นผลไม้ในวงศ์กุหลาบ มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม แต่เดิมนั้นถูกใช้เพื่อปลูกคลุมดิน ต่อมาได้มีการนำเอาผลสตรอเบอรี่มารับประทานเป็นอาหาร และแปรรูปเป็นของกินอื่นๆ อีกหลากหลายชนิด สตรอเบอรี่ ที่นิยมปลูก คือสตรอเบอรี่สวน ซึ่งจะให้ผลที่ดก แดง และรสชาติดีมากกว่าพันธุ์อื่นๆ รสชาติของสตรอเบอรรี่ จะมีรสชาติที่หวานอมเปรี้ยว นิยมกินสด หรือแปรรูปเป็นอาหารอื่นๆ เช่น แยม ของหวาน หรือเครื่องดื่ม สำหรับการกินสตรอเบอรรี่ให้ได้ประโยชน์นั้น ควรกินสด ซึ่งสารอาหารในสตรอเบอรี่ จะมีสรรพคุณต่อร่างกายดังนี้

1. บำรุงสายตา แน่นอนว่า ปัญหาสุขภาพที่สำคัญของคนเราในทุกวันนี้ คือปัญหาเรื่องสายตา ที่มักจะเสื่อมเร็วขึ้น จากการใช้งานอย่างหนัก เช่น การทำงานที่ต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถืออยู่ตลอด นอกจากนั้นแล้ว เมื่อคนเราอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อของดวงตาก็จะเสื่อมลง เมื่อเกิดอาการดังกล่าว แนะนำให้รับประทานสตรอเบอรี่สด เพราะในสตรอเบอรี่สด จะมีกลดเอลลาจิก และกรดฟีโนลิก ที่จะช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา นอกจากนั้นแล้ว ในสตรอเบอรี่ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี และฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ สาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ของอาการกล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ

2. ป้องกันโรคเก๊าต์ และโรคข้ออักเสบ ต้องบอกว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ด้วยการใช้ชีวิตปัจจุบันทำให้ร่างกายนั้นเป็นที่สะสมของสารพิษที่เรียกว่า กรดยูริก ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเก๊าต์ ตลอดจนอาการที่ไขข้อของกระดูกส่วนต่างๆ ในร่างกายนั้นจะเกิดอาการอักเสบได้ง่าย อันมีสาเหตุจากของเหลวในข้อต่อแห้งไป ซึ่งอาการนี้ เรียกว่าโรคข้อเสบ เมื่อเกิดขึ้นมักจะทำให้เจ็บปวดและส่งผลเสียต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ดังนั้น เราสามารถป้องกันได้ด้วยการกินสตรอเบอรี่สด เป็นประจำ เพราะในสตรอเบอรี่สดนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก และมีสรรพคุณในการล้างพิษในร่างกายได้อย่างชะงัด

3. ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ แน่นอนว่าถ้าพุดถึงโรคมะเร็ง หลายๆ คนต้องเกิดอาการกลัวอย่างแน่นอน เพราะเป็นโรคที่ร้ายแรงมากโรคหนึ่ง ซึ่งการเกิดของโรคมะเร็งนั้นเกิดได้หลายจุด หลายอวัยวะของร่างกาย แต่เชื่อหรือไม่ว่า หากกินสตรอเบอรี่สดเป็นประจำทุกวัน ในปริมาณที่พอเหมาะแล้วล่ะก็ จะช่วยในการป้เองกันการเกิดโรคมะเร็งได้หลายประเภท ทั้งนี้เพราะในสตรอเบอรี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี โฟเลต และ แอนโธไซยานินส์ ซึ่งมีสรรพคุณในการยับยั้งการเกิดของเซลล์มะเร็ง

4. ช่วยในการทำงาน ของประสาทและสมอง และสามารถ ป้องกันความเครียดที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะในสตรอเบอรี่ มีสารไอโอดีน ที่ช่วยในการทำงานของประสาทและสมอง นอกจากนั้น ในสตรอเบอรี ยังมีน้ำตาลที่ไม่เป็นผลเสียต่อร่างกาย เพราะสามารถนำไปใช้งานได้ทันที ซึ่งน้ำตาลที่ว่านี้ จะช่วยในการลดความเครียดที่เกิดขึ้นได้ ถือเป็นอาหารว่าง หรือผลไม้ที่เหมาะจะกินเวลาเครียดเป็นที่สุด

5. สตรอเบอรี่ มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยง ของการเป็นโรคความดันโลหิต และช่วยในการหมุนเวียนของระบบเลือดในร่างกาย ตลอดจนสามารถลดความเสี่ยง ในการเป็นโรคหัวใจด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพราะในสตรอเบอรี่ 100 กรัม จะมีสารโพแทสเซียม ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูงถึง 153 มิลลิกรัม ดังนั้น สำหรับคนที่ไม่ต้องการพบกับเสี่ยงกับโรคดังกล่าว ควรรับประทานสตรอเบอรี่สด เป็นประจำทุกวัน จะช่วยป้องกันได้อย่างมาก แต่ต้องกินสตรอเบอรี่สด จึงจะได้ผลมากที่สุด

6.  ช่วยปรับสมดุล ในระบบขับถ่าย เพราะในสตรอเบอรี่ มีไฟเบอร์ หรือใยอาหาร ที่จะช่วยในการขับถ่าย ทำให้ขับถ่ายง่าย อุจจาระไม่เป็นก้อน ลดอาการท้องผูก ถ่ายยาก ช่วยป้องกันความเสี่ยงของโรคริดสีดวงทวาร

7. ป้องกันโรคหัวใจ อย่างที่บอกไปว่า ในสตรอเบอรี่ มีโพแทสเซียม มีสารโฟเลต วิตามีนบีประเภทพิเศษ ที่พบได้ยาก สารอาหารดังกล่าว มีส่วนในการลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย นอกจากนั้น วิตามินซี ยังช่วยในการสร้างความแข็งแรงของหลอดเลือดแดง ซึ่งจะช่วยในการป้องกันการสะสมของคอเรสเตอรอล อันเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจได้นั่นเอง