2012-08-30

กินอาหารเพิ่มคอลลาเจน

กินอาหารเพิ่มคอลลาเจน


คนที่รักสวยรักงาม จึงพยายามสรรหาสารพัดวิธีเพื่อเพิ่มคอลลาเจนให้คงความเต่งตึงอยู่เสมอ
พออายุมากขึ้น คอลลาเจนใต้ผิวหนังลดลง ผิวพรรณก็เริ่มเหี่ยวย่น โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าที่ปรากฏริ้วรอย ตีนกา อย่างชัดเจน ดังนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า คอลลาเจนเปรียบเสมือนโครงกระดูกของผิว พออายุมากขึ้น คอลลาเจนมักจะหายไป ทำให้เกิดริ้วรอย หรือตีนกา ความจริงคนเราไม่จำเป็นต้องไปกินคอลลาเจนที่เป็นขวด หรือเป็นเม็ด ซึ่งมีราคาแพงก็ได้ เพราะกินเข้าไปแล้ว ก็โดนน้ำย่อยทำการย่อย

หลังจากนั้นก็จะถ่ายออกมากลายเป็นปัสสาวะที่แสนแพง น่าเสียดายเปล่า ๆ วิธีป้องกันการเสื่อมสลายของคอลลาเจน ง่าย ๆ คือ หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ตัวการของความแก่ คนที่ไม่อยากแก่เร็วอย่ากินแป้งและน้ำตาลเยอะ หลีกเลี่ยงแสงยูวี เพราะจะทำให้คอลลาเจนรวน จับกันสะเปะสะปะ แทนที่จะยืดหยุ่นก็เป็นเสมือนยางที่เสื่อมสภาพ ทำให้เปราะและเหี่ยวง่าย ที่สำคัญควรรับประทานอาหารเติมคอลลาเจนให้กับร่างกาย

สำหรับอาหารที่มีคอลลาเจน เช่น ปลาทะเลน้ำลึก ปลาทู ปลากระเบน กระดูกปลาฉลาม ซึ่งคอลลาเจนจะพบในกระดูกของปลา หรือ พบบริเวณตาปลา มีลักษณะเป็นเหมือนวุ้น ๆ ใส ๆ หรือจะเอากระดูกอ่อนไก่ และหมูมาต้มน้ำซุปก็จะได้คอลลาเจนเช่นกัน จะเห็นได้ว่าเวลาต้มขาหมู หรือต้มกระดูกหมู ข้น ๆ พอทิ้งไว้นาน ๆ จะกลายเป็นวุ้น นั่นแหละคือคอลลาเจน วิธีสังเกตว่าอันไหนไขมันอันไหนคอลลาเจน คือ ไขมันมักจะลอยอยู่ข้างบน ส่วนคอลลาเจนจะจมอยู่ข้างล่างเป็นวุ้นใส ๆ ถ้ากลัว ไม่กล้ากินคอลลาเจนจากสัตว์ ก็ยังมีคอลลาเจนจากพืชผัก ผลไม้ เช่น สาหร่ายทะเล เทา หรือเตา ซึ่งเป็นสาหร่ายน้ำจืด เห็ดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเข็มทอง เห็ดหูหนู หัวบุก ถั่วเหลือง แตงกวา ขึ้น ฉ่าย มะกอก ส้มโอ แก้วมังกร แอปเปิล

แต่คอลลาเจนที่พบในพืชผัก ผลไม้ จะน้อยกว่าที่พบในสัตว์ ทั้งนี้คอลลาเจนที่ได้จากธรรมชาติจะสามารถดูดซึมได้ดี แต่ต้องมีวิตามินซีอยู่ด้วย ดังนั้นท่องจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ถ้าเรากินคอลลาเจนเข้าไปเพียว ๆ โดยไม่กินอาหารที่มีวิตามินซีตามเข้าไปด้วย คอลลาเจนจะถูกน้ำย่อยสับ ๆๆๆ กลายเป็นกากออกมาหมด ถ้ากินเข้าไป 100 อาจจะเหลือแค่ 10 เพราะฉะนั้นถ้ากินคอลลาเจนจากสัตว์ หรือจากอาหารเสริม ที่ไม่มีวิตามินซี ก็ควรกินวิตามินซีร่วมด้วย เช่น กินผลไม้อย่าง ฝรั่ง หรือกินผักอย่างกระหล่ำปลีก็ได้ ส่วนผลไม้มีวิตามินซีอยู่แล้ว ก็จะช่วยดึงคอลลาเจนตัวมันเองเข้าไปด้วย ไม่ยากเลยใช่มั้ยครับ สำหรับการเพิ่มคอลลาเจน ด้วยอาหารที่คุณหมอกฤษดา แนะนำ เพียงเท่านี้ริ้วรอย ตีนกา ก็จะมาเยือนท่านช้าลง.

ที่มา : เดลินิวส์

ประโยชน์ของส้ม

ประโยชน์ของส้ม


ทราบหรือไม่ว่า การกินส้มให้ประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย วันนี้เรามีประโยชน์ของส้มมาฝากกัน
จากรายงานการศึกษาของหลายชาติ เรื่องการบริโภคผลไม้จำพวกมะนาว หรือส้ม ให้ประโยชน์แก่สุขภาพ สรุปได้ว่า "กินส้มวันละใบ จะช่วยผลักไสโรคมะเร็งบางชนิดให้พ้นตัวไปได้" นักวิจัยขององค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครือจักรภพของรัฐบาลออสเตรเลีย ระบุว่า การกินผลไม้พวกมะนาวหรือส้ม จะช่วยป้องกันมะเร็งที่ปาก กล่องเสียง และกระเพาะลงได้ครึ่งหนึ่ง และยิ่งกินผักผลไม้วันละ 5 มื้ออยู่เป็นประจำแล้ว ก็จะยิ่งช่วยให้ป้องกันอัมพาตได้อีกโรคถึง 19 เปอร์เซ็นต์ด้วย ผลไม้จำพวกมะนาวหรือส้ม ช่วยป้องกันโรคของร่างกายได้เพราะคุณสมบัติเป็นตัวล้างพิษของมัน พร้อมทั้งบำรุงระบบภูมิ คุ้มโรคให้แข็งแรง ขัดขวางเนื้อร้ายไม่ให้ลุกลาม และรักษาเซลล์เนื้อร้ายให้กลับคืนดีได้อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีสุขภาพแข็งแรง ลองหาส้มมากินกันดีกว่า.

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


 

กรดออกซาลิก ในผัก ผลไม้

กรดออกซาลิก ในผัก ผลไม้


ผักผลไม้บางชนิด มีกรดออก ซาลิก อยู่ หากกินในปริมาณมากๆ อาจจะไปจับกับแคลเซียมทำให้เกิดนิ่วได้
ตั้งแต่เกิดมาทุกคนจะถูกปลูกฝังให้กินผัก ผลไม้ เยอะ ๆ ทั้งที่บางคนก็ไม่เคยรู้เลยว่า ในผัก ผลไม้ ที่กินเข้าไปนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร หรืออาจจะมีสารอะไรบ้างที่เป็นพิษต่อร่างกาย ท่านผู้อ่านรู้หรือไม่ว่า ผัก ผลไม้ บางชนิดที่เรากินเข้าไปทุกวัน มี กรดออก ซาลิก อยู่หากเรากินเข้าไปในปริมาณ มาก ๆ มันอาจจะไปจับกับแคลเซียม ทำให้เกิดนิ่วได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุร วัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า ในผักต่าง ๆ จะมีกรดออกซาลิกมาก

โดยเฉพาะ ยอดผัก ใบ หรือต้นอ่อน กรดออกซาลิก มีอยู่ในผักหลายชนิด ได้แก่ ใบชะพลู ยอดพริกชี้ฟ้า ผักปลัง ผักโขม ผักชีฝรั่ง ผักกระเฉด หัวไชเท้า ใบโหระพา หน่อไม้ฝรั่ง บรอกโคลี ผักกาด แครอท มันสำปะหลัง ดอกกะหล่ำ มะเขือ กระเทียม ในผักบางชนิดนอกจากจะมีกรดออกซาลิกมากแล้ว จะมีแคลเซียมอยู่ในตัวมันเองเยอะด้วย ก็ยิ่งจะรวมตัวกัน และทำให้เกิดนิ่วได้ง่ายขึ้น ส่วนผลไม้ที่มีกรดออกซาลิก ได้แก่ สับปะรด กล้วยไข่ พุทรา การกินผักและผลไม้ที่มีกรดออกซาลิก มาก ๆ มันจะไปจับกับแร่ธาตุตัวอื่น ๆ กลายเป็นผลึกออกซาเลต เช่น จับกับแคลเซียม ก็จะกลายเป็น แคลเซียมออกซาเลต จับกับโซเดียม ก็จะกลายเป็น โซเดียมออกซาเลต กรดออกซาลิกจะชอบไปจับแคลเซียม ทำให้เกิดแคลเซียมออกซาเลตได้ง่าย

ยิ่งในปัจจุบันคนชอบกินแคลเซียมเม็ด กรดออกซาลิกก็จะไปจับกับแคลเซียมที่กินเข้าไป หรือไปจับกับแคลเซียมในกระดูก ทำให้เกิดผลึกนิ่ว กระดูกงอก กระดูกย้อย พอกระดูกของคนเราถูกดึงแคลเซียมออกไป กระดูกก็จะพรุนง่าย ทำให้มีหินปูนงอกตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ เอกซเรย์แล้วอาจจะเจอกระดูกงอกตรงนั้นตรงนี้ กลายเป็นก้อนนิ่วเลยก็ได้ ความจริงร่างกายสามารถขับกรดออกซาลิกออกมาทางปัสสาวะได้ แต่ในคนที่มีปัญหาเรื่องไต ไม่ควรกินเพราะร่างกายจะไม่สามารถขับกรดออกซาลิก ออกมาได้หรือขับออกมาได้น้อย ทำให้เกิดนิ่วในไต หรือกระเพาะปัสสาวะได้ คนที่กินแคลเซียมเม็ด ก็ไม่ควรกินผักที่มีกรดออกซาลิก หรือถ้ากินผักที่มีกรดออกซาลิก ก็ไม่ควรกินร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียม เพราะอาจจะเพิ่มความเสี่ยงขึ้นได้

ดังนั้นการกินผัก ผลไม้ ที่มีกรดออกซาลิก ไม่ควรกินในปริมาณที่มากเป็นกิโลกรัม หรือกินติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือกินร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียม อย่างไรก็ตามผัก และผลไม้ ที่กล่าวมา แม้จะมีกรดออกซาลิก ที่อาจเป็นโทษต่อร่างกาย แต่ประโยชน์ด้านอื่นก็มีเช่นกัน เช่น มีวิตามิน แร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หรือมีคลอโรฟิลล์เยอะ ซึ่งคลอโรฟิลล์จะช่วยนำสารอาหารเข้าไปในร่างกาย ช่วยชะลอเซลล์ที่เสื่อมได้ หลักสำคัญในการกิน คือ กินอาหารที่หลากหลาย ไม่ควรกินอะไรซ้ำ ๆ โดยเฉพาะยอดผัก มีสีเขียวจัด กลิ่นฉุน กลิ่นแรง.


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

2012-08-22

มาเพิ่มอาหารให้ สมอง กันเถอะ

มาเพิ่มอาหารให้ สมอง กันเถอะ

‘เฮ้อ! ช่วงนี้เป็นอะไรไปนะ หัวตื้อๆ คิดอะไรไม่ค่อยออกเลย แถมยังลืมนั่นลืมนี่เป็นประจำเสียด้วยสิ’ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมี ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น ถึงเวลาแล้วค่ะ ที่จะต้องหันมาดูแลสมองให้มากกว่านี้เพราะผู้หญิงทำงานอย่างเราจำเป็นต้องใช้สมองคิดนั่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลา หากยังทำเมินปล่อยปละละเลยไม่สนใจ

ระวัง! คราวหน้าคุณอาจจะลืมหน้าแฟนไปเลยก็ได้นะคะ ว่าแล้ว ขอแนะนำอาหารที่มีประโยชน์ในการบำรุงสมองมาให้สาวๆ ได้รู้จักกัน เริ่มที่...

1.ธัญพืช

สาวขี้ลืมอย่างนี้ ต้องหันมากินอาหารที่มีธัญพืชสูงแล้วค่ะ เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าว-ซ้อมมือเพราะจากผลการศึกษาพบ ว่า ผู้หญิงที่ได้รับกรดโฟลิกมากๆ วิตามินบี 12 และวิตามินบี 6 จะมีความจำดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ได้รับสารอาหารเหล่านี้เลย

2.บลูเบอร์รี่

จากการวิจัยของ Tufts University สหรัฐอเมริกา ได้แนะนำว่าสารสกัดจากบลูเบอร์รี่สามารถช่วยป้องกันอาการความจำสั้นได้ค่ะ

3.ไขมันจากปลา

กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างกรดโอเมก้า 3 ที่พบในปลาที่มีไขมัน หรือไขมันจากวอลนัทและเมล็ดจากต้นแฟล็กซ์ จะมี DHA (Decosapentaenoic Acid) สูง ซึ่งเป็นกรดที่สำคัญต่อเซลล์สมองของเรา เพราะถ้าหากระดับของ DHA ในร่างกายต่ำ จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์และความจำเสื่อมได้ นอกจากนี้ปลาก็ยังมีไอโอดีน ช่วยให้ความจำดีขึ้นด้วยค่ะ

4.มะเขือเทศ

มีหลักฐานยืนยันว่า ไลโคพีนซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่พบในมะเขือเทศ สามารถช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระ ที่พบในอาการของโรควิกลจริตและโรคอัลไซเมอร์

5.ซีเรียล

คนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์จะมี Homocysteine อยู่ในปริมาณที่สูง กรดโฟลิกและวิตามินบี 12 จะสามารถช่วยขัดขวางการสะสมของ Homocysteine ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ และซีเรียลเองก็เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินบี 12 แถมยังมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนอีกด้วย ช่วยให้พลังงานนานและทำให้ความจำ Alert ตลอดทั้งวัน

6.Black Currant

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าวิตามินซีจะช่วยเสริมสร้างความจำของเราให้ว่องไวขึ้น และแหล่งที่มีวิตามินซีอยู่เยอะก็คือ ต้น Black Currant นี่แหละค่ะ

7.เมล็ดฟักทอง

สังกะสีมีความสำคัญในการช่วยเพิ่มความจำและทักษะในการคิด ดังนั้น หากคุณกินเมล็ดฟักทองวันละ 1 กำมือ จะทำให้ได้รับสังกะสีเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

8.บร็อกโคลี

เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเค ช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการเรียนรู้และช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ

9.ถั่ว

จากผลการวิจัยที่ลงใน American Journal of Epidemiology ได้แนะนำเอาไว้ว่า วิตามินอีช่วยในการป้องกันความจำเสื่อม และถั่วเองก็เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินอี นอกจากนี้วิตามินอียังพบได้ในผักใบเขียว เมล็ดพืช ไข่ ข้าวซ้อมมือ และธัญพืชค่ะ

Woman plus

2012-08-20

ผักโขมต่อต้านความอ้วน

ผักโขมต่อต้านความอ้วน

เดลิเมล - แม้ผักโขมทำให้ป๊อปอายกล้ามใหญ่ขึ้นมาทันตาเห็น แต่ในความเป็นจริงนักวิจัยพบว่า สารประกอบในผักชนิดนี้มีฤทธิ์ชะลอการย่อยสลายไขมัน ทำให้ร่างกายเข้าใจไปเองว่าท้องอิ่มแล้ว

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลันด์ในสวีเดนมุ่งศึกษาที่ตัวคลอโรพลาสต์ ซึ่งเป็นส่วนของเซลล์ที่พืชใช้สังเคราะห์แสงการทดลองกับหนูพบว่า ไทลาคอยด์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบในคลอโรพลาสต์ สามารถชะลอการย่อยสลายไขมัน ทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม โดยครึ่งหนึ่งของหนูทดลองถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่อุดมด้วยไขมันผสมไทลาคอยด์ ส่วนอีกครึ่งกินอาหารเหมือนกันแต่ไม่มีไทลาคอยด์ผลปรากฏว่าหนูกลุ่มที่ได้ไทลาคอยด์มีน้ำหนักน้อยกว่าหนูอีกกลุ่ม รวมทั้งมีระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า บ่งชี้ว่ามีสุขภาพโดยรวมแข็งแรงกว่าไรการ์ด คอนกี นักวิจัยในทีมนี้ กล่าวว่างานวิจัยชิ้นนี้อาจทำให้วงการอาหารหันมาเพิ่มส่วนประกอบของไทลาคอยด์ในอาหาร โดยเฉพาะอาหารไขมันสูงอย่างเช่น พาย หรือคุกกี้ทว่าขั้นตอนที่สำคัญก็คือ การสกัดไทลาคอยด์บริสุทธิ์เพื่อนำไปผสมในอาหาร เพราะไม่เช่นนั้นเราต้องบริโภคผักโขมวันละ 1.1 ปอนด์

เพื่อให้ได้ไทลาคอยด์ครบถ้วนตามที่ต้องการนักวิจัยซึ่งเตรียมทำการทดลองกับมนุษย์ในเร็ววันนี้ ยอมรับว่ายังไม่รู้ชัดว่าไทลาคอยด์มีกระบวนการทำงานอย่างไร แต่เป็นไปได้ว่า สารประกอบชนิดนี้อาจเข้าไปเคลือบไขมันขณะอยู่ในลำไส้ และชะลอการย่อยสลายไขมันของเอนไซม์ให้ช้าลง ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและนานขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการตัดปัญหาการกินจุเกินไปนอกจากนั้น ผักโขมซึ่งอุดมด้วยธาตุเหล็ก ยังช่วยเสริมสร้างสติปัญญา ทำให้สมองตื่นตัวตลอดเวลาแม้ในผู้สูงวัย อีกทั้งยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ มะเร็ง และหลอดเลือดทั้งนี้ ผลการศึกษาหลายฉบับระบุว่า การมีอนุมูลอิสระสะสมอยู่ในสมอง มีความเกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงวัย และอาจเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน

เครื่องดื่ม สมุนไพร ดับร้อน มีอะไรบ้าง

เครื่องดื่ม สมุนไพร ดับร้อน มีอะไรบ้าง

ชาวจีนมีความรู้เรื่องการทำน้ำจับเลี้ยง เพื่อป้องกันและบรรเทาอาการ ร้อนใน มานาน เป็น เครื่องดื่ม ที่รวบรวมเอาสมุนไพรหลายชนิด เข้ามาเป็นส่วนผสม ดื่มได้ทั้งแบบร้อนและ เย็น นอกจากจะช่วยป้องกันและบรรเทา อาการร้อนในแล้ว ยังช่วยให้รู้สึกกระชุ่ม กระชวย ชุ่มคอ

ส่วนผสมของน้ำจับเลี้ยงนี้ มีจำหน่าย ชนิดจัดไว้เป็นชุดสำเร็จรูป ตามร้านขายสมุน ไพรจีนทั่วไป หรือใช้ส่วนผสมเหล่านี้อย่างละ หนึ่งหยิบมือ (3-5 กรัม) คือ หง่วงเซียม แซ่ตี่ เหง็กเต็ก แปะตง หล่อฮั้งก๊วย กิมงิ่งฮวย (สายน้ำผึ้ง) เก๊กฮวย ไซเตียวจั๊ว (เมล็ด เพกา) เม่ากิง (หญ้าคา) ไน่เฮียะ (ใบบัว) บักหมี่ฮวย (ดอกงิ้ว) แฮ่โกวเช่า โถวฮก ต้มกับน้ำสะอาด 1-5 ลิตร โดยต้มน้ำให้เดือด ก่อนใส่ตัวยาลงไป ต้มจนได้น้ำยาสีน้ำตาล เข้ม จากนั้นกรองเอาตัวยาออก เติมน้ำตาล กรวดลงไปตามชอบ (อย่าให้หวานนักไม่ดีต่อ สุขภาพ) ต้มจนน้ำตาลกรวดละลาย จากนั้น ใส่ภาชนะที่สะอาด เก็บไว้ดื่มได้ทั้งแบบจับ เลี้ยงร้อนและจับเลี้ยงเย็น (ทั้งนี้ส่วนผสมของ ตัวยาสมุนไพร อาจไม่ต้องครบถ้วนตามชนิด ข้างต้นก็ได้ แต่อาจทำให้รสชาติขาดความ กลมกล่อมไปบ้าง)

นอกเหนือจากจับเลี้ยง ชาวจีนยังนิยม ดื่ม น้ำแชตี่-โถวฮก มีสรรพคุณแก้ร้อนใน เช่นเดียวกัน แต่ยุ่งยากน้อยกว่า เพียงซื้อ แชตี่กับโถวฮกที่สะอาดและใหม่จากร้าน ขายยาจีนอย่างละ 5 กรัม ต้มกับน้ำสะอาด หนึ่งลิตร กรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อเอากาก ออก จากนั้นนำไปตั้งไฟต่อ เติมน้ำตาล กรวดลงไปเล็กน้อย เมื่อน้ำตาลละลายก็จะ ได้น้ำแซตี่-โถวฮกไว้ดื่มสู้ร้อนกันแล้ว หรือจะเพิ่มแชตี่-โถวฮกลงไปเป็นส่วนผสมใน น้ำจับเลี้ยงด้วยก็ได้ ส่วนเครื่องสู้ร้อนอื่นๆ ที่อยากแนะนำให้ ปรุงดื่มกัน ได้แก่


1. น้ำลูกเดือย ใช้ลูกเดือยแก่เปลือก มาต้มให้สุก แล้วใส่ในเครื่องปั่น ปั่นให้ ละเอียด จากนั้นเติมน้ำเชื่อมและน้ำแข็งลง ไป ปั่นจนเข้ากันดีแล้วเทใส่ภาชนะ ดื่มเพื่อ เติมความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
2. น้ำเฉาก๊วย มีสรรพคุณแก้ร้อนใน
3. น้ำเก๊กฮวย แก้ร้อนใน
4. น้ำแตงโม แก้ร้อนใน กระหายน้ำ
5. น้ำอ้อย แก้กระหาย ให้ความชุ่มชื่น มีโพแทสเซียม เหล็ก ไนโตรเจน และฟอส ฟอรัสมาก ควรอื่มน้ำอ้อยหีบสด ไม่ควรดื่ม แบบเคี่ยว เพราะปริมาณน้ำตาลจะมากเกิน ไป
6. น้ำลูกตาล จะนำมาปรุงเป็นลูกตาล ลอยแก้วรับประทาน หรือปอกเปลือกรับ ประทานสดๆ ก็ได้ เพราะในเนื้อลูกตาลอ่อน มีฟอสฟอรัส แคลเซียม และน้ำมาก มีกาก ใยและคาร์โบไฮเดรตสูงพอสมควร ช่วยให้ ร่างกายกระชุ่มกระชวย
7. น้ำคั้น/น้ำเอนไซม์ จากแคนตาลูป มะเขือเทศ สับปะรด น้ำมะพร้าว มะนาว มะเฟือง ทับทิม

2012-08-18

สรรพคุณของขิง

 

ขิง

ชื่อสามัญ/ชื่ออังกฤษ Ginger

ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber offcinale Vern. Adrak

วงศ์ Zingiberaceae      

ชื่ออื่น / ชื่อท้องถิ่น ขิงบ้าน ขิงป่า ขิงแครง ขิงเขา ขิงดอกเดียว (ภาคกลาง) ขิงแดง ขิงแกลง (จันทบุรี) ขิงเผือก (เชียงใหม่)


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ขิงเป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดินซึ่งมีลักษณะคล้ายมือหรือที่เรียกว่า "เหง้า" เปลือกเหง้ามีสีเหลืองอ่อน แต่เนื้อภายในมีสีเหลืองอมเขียว ขิงจัดเป็นพืชตระกูลเดียวกับข่า ขมิ้น กระวาน เร่ว ขิงอ่อนมีสีขาวออกเหลือง มีรสเผ็ดและกลิ่นหอม ยิ่งแก่ยิ่งมีรสเผ็ดร้อน ลำต้นบนดินมีลักษณะเป็นกอสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ก้านใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลับเรียงกันเป็นสองแถว มีรูปร่างคล้ายใบไผ่ ปลายใบเรียวแหลม ดอกมีสีขาวออกเป็นช่อบนยอดที่แยกออกมาจากลำต้นซึ่งไม่มีใบที่ก้านดอก ดอกมีลักษณะเป็นทรงพุ่มปลายดอกแหลม มีเกล็ดอยู่รอบๆ ดอกจะแซมออกมาตามเกล็ด ผลมีลักษณะกลมแข็ง

สารสำคัญที่พบ

กลิ่นหอมเฉพาะตัวของขิง เกิดจากน้ำมันหอมระเหย (Volatile oil) ในเหง้า ซึ่งมีสารสำคัญคือ เซสควิเทอร์ฟีน ไฮโดรคาร์บอน (SesQuiterpene hydrocarbon) เซสควิเทอร์ฟีน แอลกอฮอล์ (SesQuiterpene alcohols) โมโนเทอร์ฟีนอยด์ (Monoterpenoids) เอสเตอร์ (Ester) ฟีนอล (Phenol) รสเผ็ดร้อนและกลิ่นฉุนเกิดจากน้ำมันชัน (Oleoresin) ในเหง้าเช่นเดียวกัน ส่วนประกอบอื่นๆ คือ แป้งและยางเมือก (Gum) นอกจากนี้ ขิงยังมีสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายอีก คือ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม วิตามินเอ ฯลฯ

สรรพคุณ

ขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น ในทางยานิยมใช้ขิงแก่ เพราะขิงยิ่งแก่จะยิ่งเผ็ดร้อนและมีใยอาหารมาก


วิธีใช้เป็นยารักษาโรค

นำเหง้าสดย่างไฟให้สุก ตำผสมกับน้ำปูนใสคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำเหง้าสดหมกไฟรับประทานเมื่อมีอาการเบื่ออาหาร

1. รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน โดยนำขิงแก่สด ประมาณ 2-3 เหง้า มาทุบพอแตกต้มกับน้ำ

2. รักษาไข้หวัด โดยนำขิงแก่สด 7 กรัม และขิงแห้ง 2 กรัม ต้มกับน้ำตาลทรายแดง ดื่มเพื่อรักษาอาการ หรือใช้ขิงแก่ 2-3 เหง้า นำมาทุบให้ละเอียดต้มกับน้ำอาบเพื่อขับเหงื่อลดอาการไข้เนื่องจากหวัด

3. รักษาอาการไอ ขับเสมหะ โดยนำขิงสดมาคั้นน้ำให้ได้ประมาณครึ่งถ้วย ผสมน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา ต้มกับน้ำ 2 ถ้วย ดื่มวันละ 3 ครั้ง หรือใช้ขิงสดฝนกับมะนาวเติมเกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ

4. รักษาอาการปวดประจำเดือน ในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน โดยนำขิงแก่แห้งประมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำดื่มบ่อยๆ

5. แก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง โดยใช้ขิงแห้งบดชงกับน้ำอุ่น ดื่มวันละ 1 ครั้ง

6. รักษาแผลที่เกิดจากไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก โดยตำขิงสดให้ละเอียด นำกากมาพอกที่แผลเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ เป็นหนอง

7. รักษาอาการปวดฟัน โดยนำขิงแก่ทุบให้ละเอียด คั่วกับน้ำสารส้มจนเกรียม แล้วบดจนเป็นผง พอกบริเวณฟันที่ปวด


ส่วนที่ใช้ประกอบอาหาร

เหง้า หน่ออ่อน เนื้ออ่อนในลำต้น ช่อดอกอ่อน


วิธีใช้ในการประกอบอาหาร

ขิงที่นำมาประกอบอาหารมีหลายรูปแบบคือ ขิงสด ขิงดอง ขิงแห้ง ขิงผง รวมทั้งน้ำขิงที่เป็นเครื่องดื่ม ขิงเป็นเครื่องเทศที่ใช้แต่งกลิ่นอาหาร เพิ่มรสชาติ และดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ เช่น ใช้โรยหน้าปลานึ่ง โรยหน้าโจ๊กหรือผสมในน้ำจิ้มข้าวมันไก่ ต้มส้มปลา แกงฮังเล ยำกุ้งแห้ง ขิงยำ เป็นเครื่องเคียงของเมี่ยงคำ หรือทำเป็นขนมหวาน เช่น บัวลอยไข่หวาน มันเทศต้ม เป็นต้น นอกจากนี้ขิงดองยังเป็นอาจาดในอาหารอีกหลายชนิด เช่น ข้าวหน้าเป็ด หรืออาหารญี่ปุ่น รวมทั้งยังเป็นส่วนผสมในการแต่งกลิ่นอาหารหลายชนิด เช่น คุกกี้ พาย เค้ก พุดดิ้ง ผงกะหรี่ เป็นต้น ในประเทศแถบตะวันตกนำขิงไปทำเป็นเบียร์ คือ เบียร์ขิง (Ginger beer)


ข้อสังเกต / ข้อควรระวัง

1. ขิงแก่มีสรรพคุณในทางยาและมีรสเผ็ดร้อนมากกว่าขิงอ่อน

2. ขิงแก่มีเส้นใยมากกว่าขิงอ่อน

3. ในเหง้าขิงมีเอนไซม์บางชนิดที่สามารถย่อยเนื้อสัตว์ให้เปื่อยได้

4. สารจำพวกฟีนอลิค (Phenolic compound) ในขิงสามารถใช้กันบูดกันหืนในน้ำมันได้

 

2012-08-17

ลูกพรุน เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์

 

 

"ลูกพรุน (Prunes) / ลูกพลัม (Plum) / ลูกไหน ผลไม้ ทั้ง 3 ชนิดนี้คือ ผลไม้ชนิดเดียวกัน เพียงแต่ลูกพรุนคือผลจากการนำลูกพลัมมาตากแห้ง ส่วนลูกไหน ก็เป็นชื่อที่คนจีนเรียกลูกพลัมนั่นเอง "

ส่วนประโยชน์ที่ว่ามากนี้มีอะไรบ้างมาดูกันค่ะ

ลูกพรุน เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ (เส้นใย) ธาตุเหล็กสูง นอกจากนี้ยังมีวิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและสังกะสี

ลูกพรุนมีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย และสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ มีคุณสมบัติ สามารถอุ้มน้ำไว้ระหว่างใย จึงทำให้กากอาหารนิ่ม และมีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงาน ของลำไส้ ให้มีการเคลื่อนไหวบีบตัว ได้ดีขึ้น จึงทำให้ท้องไม่ผูก องค์ประกอบที่วิเศษ อีกอย่างคือ เป็นเส้นใยที่ละลายน้ำได้ จึงทำหน้าที่ ไปขัดขวาง การดูดซึมของไขมัน และน้ำตาลในเลือด ซึ่งเหมาะกับผู้สูงอายุ ที่เป็นเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ที่อาจเกิดอันตรายได้หากมีการเบ่งอุจจาระแรง

ในลูกพรุน มีกากใยธรรมชาติ Dietary fiber จำนวนมากหลายชนิด ซึ่งเป็นทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้ และละลายน้ำไม่ได้ กากใยอาหารนี้มีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอลได้ และจากการทดลองรับประทานลูกพรุน พบว่าสามารถลดไขมันในเลือด (LDL cholesterol) ในผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูงได้ พบว่ากลไกดังกล่าวเกิดจากกากใยอาหารชนิด เซลลูโลสซึ่งละลายน้ำไม่ได้ และเพ็คตินซึ่งละลายน้ำได้

มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงอีกจำนวนมาก นอกจากนี้น้ำลูกพรุนยังเป็นอาหารที่วิตามินซี วิตามินอี แหล่งที่ดีของธาตุเหล็ก และไฟเบอร์หรือกากใยอาหาร น้ำลูกพรุนแม้จะมีรสหวานแต่ส่วนมากประกอบไปด้วยน้ำตาลชนิด ฟลุคโตสและซอร์บิทอล ซึ่งไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญยังช่วยระบาย และรักษาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งในผู้ใหญ่ และในเด็กเล็ก แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กก็ควรปรึกษาแพทย์ด้วยเสมอ

วิตามิน B2 (Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ช่วยในการมองเห็น ผิวหนัง เล็บ และผม

วิตามิน C (Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์ จากการถูกทำลาย ซึ่งเมื่อเซลล์ถูกทำลายก็จะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งสูง วิตามิน C มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidant ในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดเป็นโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง และทำให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น

วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดง ทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม ช่วยบำรุงสายตา

แคลเซียม (Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ

เหล็ก (Iron) เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78 มิลลิกรัม จึงเป็นแหล่งของธาตุเหล็กได้เป็นอย่างดี

The Kingdom of a Hundred Fruits

The Kingdom of a Hundred Fruits

There are many possible reasons for people to go to a foreign country – on business, for pleasure, to study, to visit relatives and friends, for shopping, etc. But the reasons probably do not include eating, even less eating fruit.

Those who come to Thailand, however, will find that fruits in this country are so plentiful, so diversified, so inexpensive and so delicious that they constitute an unexpected reward, a bonus.

It is not simply because of its geographical position as a tropical country that Thailand produces so many different kinds of fruits of good quality. The tropical climate is certainly favourable to the growth of vegetation. But there are other factors that have contributed to the rich production – the fertile soil, the introduction of new species from foreign countries, the continued efforts to improve the quality of fruits by scientific methods, and the comparative length of Thai territory, which extends right into the subtropical zone, making it possible to grow fruits native to places of higher latitudes.

Here is a brief introduction to several kinds of fruits produced in Thailand that are worth special recommendation. Names in Thai with their romanized spellings are given after the English names of facilitate the identification of the fruits. Prices given are just rough indicators. The actual prices may vary according to the season, the harvest and where the fruits are bought.

 

Tag : thaiwaysmagazine


2012-08-16

5 ข้อดีของน้ำสำรอง...ที่ไม่เป็นรองใคร

 

5 ข้อดีของน้ำสำรอง...ที่ไม่เป็นรองใคร


ไม้ผลเม็ดเล็กๆ สีน้ำตาลแก่ดูแปลกตานี้มีชื่อว่า "สำรอง" ค่ะ เป็นไม้ผลพื้นเมืองซึ่งพบมากในแถบภาคตะวันออก โดยเฉพาะในจังหวัดจันทบุรีและตราด ส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีอยู่ที่อุบลราชธานี ซึ่งเรียกว่า "หมากจอง" และทางใต้เรียกว่า "พุงทะลาย"

ในสมัยก่อนนิยมนำผลสำรองแช่น้ำ รับประทานร่วมกับน้ำตาล เป็นของหวานตำรับชาววังและถือเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ เพราะสรรพคุณดีๆ ของลูกสำรองตามตำรับยาไทยมีมากมาย ดังนี้ค่ะ

-แก้เจ็บคอและแก้ไข้ ใช้ลูกสำรองราว 10-20 ลูก ต้มกับชะเอมจีนพอหวาน จนได้น้ำยาเข้มข้น จิบน้ำสำรองบ่อยๆ ช่วยแก้ไข้เจ็บคอดีนัก

-แก้ไอขับเสมหะ ใช้ลูกสำรอง 3-5 ลูก แช่ลงในน้ำ 1 แก้ว จนพองเป็นวุ้น ต้มให้เดือดสักพักและเติมรสหวานตามใจชอบ ดื่มทั้งเนื้อวุ้นและน้ำครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 เวลาก่อนอาหาร

-แก้ร้อนใน หากในวันที่อากาศร้อนก็สามารถเรียกหาน้ำสำรองดื่มสัก 1-2 แก้ว แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ทำให้ชุ่มคอ และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้

-แก้ตาอักเสบ โดยนำผ้าก๊อซชุบน้ำพอชื้นแล้วนำไปวางทับบนตาที่อักเสบ จากนั้นจึงวางแผ่นเปลือกหุ้มเมล็ดลูกสำรองที่แช่น้ำแล้วลงบนผ้าก๊อซ เปลือกหุ้มเมล็ดนั้นจะพองตัวเป็นวุ้นแทรกซึมในผ้าก๊อซ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บตาและตาอักเสบอย่างได้ผล

-ลดความอ้วน เพราะกากใยสูงในน้ำสำรองนี้เอง จึงมีสรรพคุณที่ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย และทำให้อิ่มท้องจากการพองตัวของเนื้อสำรอง การดื่มน้ำสำรองจึงช่วยควบคุมน้ำหนักได้

รู้ข้อดีอย่างนี้แล้ว ต้องบอกว่าผลสำรองไม่ได้เป็นสองรองใคร และยังเป็นเครื่องดื่มคุณภาพที่เต็มไปด้วยคุณค่าต่อร่างกายของเราจริงๆ

 

สตรอเบอร์รี่ ผลไม้แห่งสุขภาพ

 

สตรอเบอร์รี่ ผลไม้แห่งสุขภาพ

พืชผักผลผลิตของโครงการหลวง ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องคุณภาพคับแก้ว โดยเฉพาะ “สตรอเบอร์รี่” ปลูกได้ผลดี ลูกใหญ่รสหวานฉ่ำ ไม่แพ้สตรอเบอร์รี่อิมพอร์ตจากเมืองนอกเมืองนา และด้วยความภาคภูมิใจเป็นนักหนา มูลนิธิโครงการหลวง จึงจับมือกับห้างฯเซ็นทรัล ชิดลม จัดงาน “โครงการหลวง สตรอเบอร์รี่แฟร์” ที่ดิ อีเวนท์ฮอลล์ ชั้น 3 ระหว่างวันที่ 13-17 ก.พ.นี้ เพื่อต้อนรับเทศกาลวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึง

ภายในงานแฟร์ครั้งนี้ มีไฮไลต์อยู่ที่นิทรรศการ “สตรอเบอร์รี่พันธุ์พระราชทาน” นำสตรอเบอร์รี่สายพันธุ์พระราชทานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พันธุ์พระราชทาน 50, พันธุ์พระราชทาน 70 และพันธุ์พระราชทาน 72 มาจัดแสดงให้ประชาชนทั่วไปได้ชื่นชมอย่างใกล้ชิด พร้อมเดินชมแปลงปลูกสตรอเบอร์รี่จำลอง และสามารถทดลองเด็ดผลสดๆจากต้นชิมดูได้โดยไม่หวงห้าม นอกจากนี้ ยังจัดจำหน่ายสตรอเบอร์รี่ทั้งสดและแปรรูปจากพันธุ์พระราชทาน รวมถึงสายพันธุ์อื่นๆ ให้ได้ซื้อหากันสนุกสนาน

อย่างไรก็ดี แม้คนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับ “สตรอเบอร์รี่” เป็นอย่างดี แต่น้อยคนนักจะรู้ถึงคุณประโยชน์แท้จริงของผลไม้สีแดงฉ่ำรูปทรงน่ารักน่ากิน “สตรอเบอร์รี่” เป็นผลไม้ที่มีอานุภาพสูงมากในการต้านอนุมูลอิสระ (ต้นเหตุแห่งความแก่) แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินซี, เอ, ฟอสฟอรัส และแคลเซียม จึงช่วยป้องกันโรคได้สารพัด ทั้งการเกิดมะเร็ง, โรคหลอดเลือดอุดตัน, โรคหวัด และโรคภูมิแพ้ ผลการศึกษาทาง การแพทย์ ยังพบว่า เมื่อเทียบน้ำหนักที่เท่ากันกับผลไม้ชนิดอื่นๆ “สตรอเบอร์รี่” มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่า “ส้ม” ถึงหนึ่งเท่าครึ่ง, สูงกว่า “องุ่นแดง” สองเท่า, สูงกว่า “กีวี” สามเท่า, สูงกว่า “กล้วยหอม” กับ “มะเขือเทศ” เจ็ดเท่า และสูงกว่า “ลูกแพร” ถึงสิบห้าเท่า!!

มากประโยชน์ขนาดนี้ แถมยังหน้าตาน่ารักน่าหม่ำซะไม่มี คู่รักยุคใหม่ น่าจะเปลี่ยนเทรนด์ หันมามอบ “สตรอเบอร์รี่” เป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ แทนกุหลาบช่อใหญ่ หรือ ตุ๊กตาหมีแบบเดิมๆ ซึ่งแสนจะสิ้นเปลือง...ช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ปีนี้ คนมีคู่ หรือไม่มีคู่ ก็แวะไปอุดหนุนสตรอเบอร์รี่สายพันธุ์เลิศ ได้ที่เซ็นทรัล ชิดลม.

ที่มา : ไทยรัฐ

สตรอเบอร์รี่ ผลไม้แห่งสุขภาพ

สตรอเบอร์รี่ ผลไม้แห่งสุขภาพ

พืชผักผลผลิตของโครงการหลวง ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องคุณภาพคับแก้ว โดยเฉพาะ “สตรอเบอร์รี่” ปลูกได้ผลดี ลูกใหญ่รสหวานฉ่ำ ไม่แพ้สตรอเบอร์รี่อิมพอร์ตจากเมืองนอกเมืองนา และด้วยความภาคภูมิใจเป็นนักหนา มูลนิธิโครงการหลวง จึงจับมือกับห้างฯเซ็นทรัล ชิดลม จัดงาน “โครงการหลวง สตรอเบอร์รี่แฟร์” ที่ดิ อีเวนท์ฮอลล์ ชั้น 3 ระหว่างวันที่ 13-17 ก.พ.นี้ เพื่อต้อนรับเทศกาลวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึง

ภายในงานแฟร์ครั้งนี้ มีไฮไลต์อยู่ที่นิทรรศการ “สตรอเบอร์รี่พันธุ์พระราชทาน” นำสตรอเบอร์รี่สายพันธุ์พระราชทานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พันธุ์พระราชทาน 50, พันธุ์พระราชทาน 70 และพันธุ์พระราชทาน 72 มาจัดแสดงให้ประชาชนทั่วไปได้ชื่นชมอย่างใกล้ชิด พร้อมเดินชมแปลงปลูกสตรอเบอร์รี่จำลอง และสามารถทดลองเด็ดผลสดๆจากต้นชิมดูได้โดยไม่หวงห้าม นอกจากนี้ ยังจัดจำหน่ายสตรอเบอร์รี่ทั้งสดและแปรรูปจากพันธุ์พระราชทาน รวมถึงสายพันธุ์อื่นๆ ให้ได้ซื้อหากันสนุกสนาน

อย่างไรก็ดี แม้คนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับ “สตรอเบอร์รี่” เป็นอย่างดี แต่น้อยคนนักจะรู้ถึงคุณประโยชน์แท้จริงของผลไม้สีแดงฉ่ำรูปทรงน่ารักน่ากิน “สตรอเบอร์รี่” เป็นผลไม้ที่มีอานุภาพสูงมากในการต้านอนุมูลอิสระ (ต้นเหตุแห่งความแก่) แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินซี, เอ, ฟอสฟอรัส และแคลเซียม จึงช่วยป้องกันโรคได้สารพัด ทั้งการเกิดมะเร็ง, โรคหลอดเลือดอุดตัน, โรคหวัด และโรคภูมิแพ้ ผลการศึกษาทาง การแพทย์ ยังพบว่า เมื่อเทียบน้ำหนักที่เท่ากันกับผลไม้ชนิดอื่นๆ “สตรอเบอร์รี่” มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่า “ส้ม” ถึงหนึ่งเท่าครึ่ง, สูงกว่า “องุ่นแดง” สองเท่า, สูงกว่า “กีวี” สามเท่า, สูงกว่า “กล้วยหอม” กับ “มะเขือเทศ” เจ็ดเท่า และสูงกว่า “ลูกแพร” ถึงสิบห้าเท่า!!

มากประโยชน์ขนาดนี้ แถมยังหน้าตาน่ารักน่าหม่ำซะไม่มี คู่รักยุคใหม่ น่าจะเปลี่ยนเทรนด์ หันมามอบ

“สตรอเบอร์รี่” เป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ แทนกุหลาบช่อใหญ่ หรือ ตุ๊กตาหมีแบบเดิมๆ ซึ่งแสนจะสิ้นเปลือง...ช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ปีนี้ คนมีคู่ หรือไม่มีคู่ ก็แวะไปอุดหนุนสตรอเบอร์รี่สายพันธุ์เลิศ ได้ที่เซ็นทรัล ชิดลม.

ที่มา:
ไทยรัฐ

2012-08-15

"ลูกเดือย" ธัญพืชเพื่อสุขภาพ

 

 

ลูกเดือย" ธัญพืชเพื่อสุขภาพ


"ทำไมคุณย่าถึงชอบต้มลูกเดือยร้อนๆ ไว้ทานทุกเช้าล่ะครับ"


เจ้าหลานชายตัวน้อยเอ่ยถามคุณย่า เพราะถึงแม้เขาจะคุ้นเคยดีกับการกินลูกเดือย ทั้งลูกเดือยต้มหรือลูกเดือยที่เป็นส่วนผสมหนึ่งในน้ำอาร์.ซี. ที่คุณย่าชอบทานก็ตามที แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าลูกเดือยเมล็ดกลมๆ นี้มีประโยชน์อย่างไรบ้าง คุณย่าจึงเล่าถึงสรรพคุณดีๆ ของลูกเดือยว่า

คุณค่าทางอาหาร ลูกเดือยมีฟอสฟอรัสอยู่ในปริมาณสูง จึงช่วยบำรุงกระดูก รองลงมามีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และมีวิตามินบีหนึ่งมาก ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเหน็บชา อีกทั้งเป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง จึงมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง และเหมาะสำหรับคนไข้พักฟื้น

คุณค่าทางยา ใช้ชงป็นยาเย็น ขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน บำรุงไต ม้าม รวมทั้งบำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอด รักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง

นอกจากนี้ ในตำรายาจีนยังใช้ลูกเดือยบดผสมข้าว ต้มเป็นข้าวต้มกินทุกวันเพื่อบำรุงกำลัง ช่วยหล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บวมน้ำ ปวดข้อเรื้อรัง ทั้งยังเชื่อว่าการรับประทานลูกเดือยต้มน้ำตาลสามารถที่จะแก้ร้อนในได้อีก

"นอกจากลูกเดือยจะทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้านแล้ว ยังเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้สูงอายุและคนทุกวัยอีก รู้อย่างนี้ ผมต้องขอเติมอีกชามแล้วล่ะครับ" หลานชายตัวน้อยพูดพร้อมยื่นชามใบเดิมให้คุณย่าทันที

 

ที่มา : นิตยสารชีวจิต

ชะพลู



ชะพลู  มีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายของมนุษย์อย่างมาก คือแคลเซียม  และวิตามินเอ ซึ่งจะมีสูงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมี

ฟอสฟอรัส  เหล็ก  เส้นใย  และสารคลอโรฟิล  ส่วนสรรพคุณทางยานั้นช่วยบำรุงธาตุ แก้จุกเสียดการกินใบชะพลูมากๆชนิดที่เรียกว่า

กินกันทุกวัน กินกันแทบทุกมื้อ เช่น ชาวบ้านภาคอีสานนั้น แคลเซียมที่มีในใบชะพลูจะเปลี่ยนเป็นแคลเซียมออกซาเลท

ซึ่งถ้าสะสมมากๆอาจกลายเป็นนิ่วในไตได้ แต่โดยทั่วๆไปในชีวิตประจำวันก็ไม่มีใครกินชะพลูได้มากมายขนาดนั้น

ถ้ากินใบชะพลูต้องกินร่วมกับเนื้อสัตว์ ร่างกายจึงใช้แคลเซียมที่มีอยู่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ชื่อวิทยาศาสตร์    Piper sarmentosum Roxb.
วงศ์                  Piperaceae


ชื่ออื่น/ชื่อถิ่น   ช้าพลู (ภาคกลาง) ชะพลูเถา เฌอภลู (สุรินทร์) ผักปูนา ผักปูลิง ผักปูริง ปูลิงนก ผักพลูนก ผักอีไร ผักอีเลิศ (ภาคอีสาน) พลูลิง (ภาคเหนือ) เย่เท้ย (แม่ฮ่องสอน) พลูนก ผักปูนก (พายัพ) พลูลิงนก (เชียงใหม่) นมวา (ใต้)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นเถาเลื้อยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ลำต้นแบ่งเป็นข้อโดยตามข้อจะมีรากช่วยในการยึดเกาะ

ใบมีสีเขียวสดเป็นมัน ฐานใบกว้าง ปลายใบแหลมคล้ายรูปหัวใจ เห็นเส้นใบชัดเจน ใบมีกลิ่นฉุน รสเผ็ดเล็กน้อย ดอกสีขาวมีขนาดเล็ก ออกเป็นช่ออัดกันรูปทรงกระบอกยาว

ปลูกตามบ้านทั่วไปหรือตามที่ชื้นแฉะริมน้ำ

ชะพูลมีน้ำมันหอมระเหยที่ทำให้เกิดกลิ่นเผ็ดฉุน และมีคุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญ คือ มีแคลเซียมและสารเบต้า-แคโรทีน

ในปริมาณสูงชะพูลมีน้ำมันหอมระเหยที่ทำให้เกิดกลิ่นเผ็ดฉุนและมีคุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือมีแคลเซียมและสารเบต้า-แคโรทีน

ในปริมาณสูงในส่วนของงานวิจัยเป็นการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดลโดยศึกษาฤทธิ์การลดน้ำตาลในเลือดของสารสกัดชะพลู (ใช้น้ำสกัดเอาสารสำคัญของชะพลูทั้งต้น)

โดยใช้หนูทดลองผู้ทดลองแบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่ม 

1.หนูกลุ่มแรกถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน

2.หนูกลุ่มที่สองเป็นหนูปกติ 

แล้วฉีดสารสกัดของชะพลูเข้าไปในหนูทั้งสองกลุ่ม วัดระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อฉีดเข้าไปครั้งแรก  พบว่าสารสกัดชะพลูในขนาด 0.125 และ 0.25 กรัมต่อน้ำหนักของหนู 1 กิโลกรัม ไม่ช่วยลดระดับน้ำตาลของหนูกลุ่มที่เป็นเบาหวานแต่เมื่อให้สารสกัดต่อไปอีก 7 วันพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดของหนูกลุ่มที่เป็นเบาหวานลดลง ซึ่งผู้ทดลองก็ได้นำยาแผนปัจจุบัน คือ ไกลเบนคลาไมด์ (Glibenclamide) มาทดสอบกับหนูทั้งสองกลุ่มเช่นกัน  พบว่าได้ผลเช่นเดียวกับสารสกัดชะพลู

ในใบชะพลู 100 กรัม ให้พลังงานกับร่างกาย 101 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย

-เส้นใย 4.6 กรัม

-แคลเซียม 601 มิลลิกรัม

-ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม

-เหล็ก 7.6 มิลลิกรัม

-วิตามินบีหนึ่ง 0.13 มิลลิกรัม

-วิตามินบีสอง 0.11 มิลลิกรัม

-ไนอาซิน 3.4 มิลลิกรัม

-วิตามินซี 22 มิลลิกรัม

-โปรตีน 5.4 กรัม

-คาร์โบไฮเดรต 14.2 กรัม

-และให้เบต้า-แคโรทีนสูงถึง 414.45 ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล

ไม่ควรรับประทานใบชะพลูมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการเวียนศรีษะ และทำให้มีการสะสมของสารออกซาเลท (Oxalate)

ในร่างกายสูง ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคนิ่วในไต


ใบ: รสเผ็ดร้อน เจริญอาหาร ขับเสมหะ ทำเสมหะให้งวด ทำให้เลือดลมซ่าน

ดอก (ลูก): รสเผ็ดร้อน แก้ศอเสมหะ ทำให้เสมหะแห้ง ช่วยย่อยอาหาร ขับลมในลำไส้

ราก: รสเผ็ดร้อน แก้คูถเสมหะ ขับเสมหะให้ตกทางทวารหนัก บำรุงธาตุ ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง

ต้น: รสเผ็ดร้อน แก้เสมหะในทรวงอก ขับเสมหะ

ใบสดมีรสเผ็ดซ่าลวกเป็นผักจิ้มหรือรับประทานสดโดยใช้เป็นใบห่อเมี่ยงคำ เมี่ยงปลาทู รองก้นกระทงห่อหมก ซอยใส่ข้าวยำ

หรือนำไปชุบแป้งทอดเป็นกับแกล้มก็ได้ นอกจากนี้ใบอ่อนนำไปใส่ในแกงกะทิต่าง ๆ เช่นคั่วไก่

ขยายพันธ์โดยปักชำในดินร่วนซุย รดน้ำให้ชุ่มในระยะที่ต้นกล้ายังไม่แข็งแรง ไม่ควรให้โดนแดดมากนัก


 

ประโยชน์ต่อสุขภาพ ของใบบัวบก

 

ประโยชน์ต่อสุขภาพ ของใบบัวบก

ใครที่ชอบทานใบบัวบกกันบ้าง รู้หรือไม่ว่า ใบบัวบกนั้นมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

ใบบัวบกมีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตาและมีสารแคลเซี่ยมมากเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีวิตามินบี 1 สูงกว่าผักหลาย ๆ ชนิด เหมาะกับสุขภาพ

ใบบัวบกมีสรรพคุณทางยา ในการแก้ช้ำใน ทำให้หายฟกช้ำได้ดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดอาการปวดศรีษะข้างเดียว บำรุงสุขภาพสมอง แก้ความดันโลหิตสูง แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ และขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงสุขภาพได้ดี

นอกจากนี้ในการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือหาสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก พบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลในการช่วยดูแลสุขภาพ เร่งการสร้างสารคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็ว

ผู้ที่ควรทานใบบัวบก ได้แก่

1. ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม อาทิ ผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง

2. ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างมาก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำ

3. ผู้ที่มีความเครียดสูงจากการทำงานหนัก

4. ผู้ที่มีความผิดปกติทางผิวหนัง และกล้ามเนื้อโดยมีอาการฟกช้ำ และผิวหนังอักเสบ

5. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพราะช่วยเร่งการสมานแผลให้เร็วยิ่งขึ้น


รู้ถึงประโยชน์ของใบบัวบกแล้ว ก็อย่าลืมหันมาหาทานกันได้ เพื่อสุขภาพที่ดี.

2012-08-14

กล้วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร

กล้วย

ชื่อวิทยาศาสตร์ Musa sapientum Linn.

ชื่อท้องถิ่น -

ลักษณะพืช กล้วยเป็นพืชเมืองร้อนและเป็นพืชที่คุ้นเคยกับคนไทยมาช้านาน เพราะเกือบทุกส่วนของกล้วยมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน กล้วยเป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นตรง รูปร่างกลม มีกาบใบหุ้มซ้อนกัน ใบสีเขียวขนาดใหญ่ ขอบใบขนานกัน ช่อดอกคือหัวปลี มีลักษณะห้อยหัวลงยาว 1-2 ศอก มีดอกย่อยออกเป็นแผง กลายเป็นผลติดกัน เรียกว่าหวี เรียงซ้อนและติดกันที่แกนกลางเรียกว่าเครือส่วนที่ใช้เป็นยา ผลกล้วยดิบหรือผลห่าม

ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา เก็บผลกล้วยช่วงเปลือกเป็นสีเขียว ต้นกล้วยจะให้ผลเมื่ออายุ 8-12 เดือน

รสและสรรพคุณยาไทย รสฝาด ฤทธิ์ฝาดสมาน

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ กล้วยดิบประกอบด้วยสารประกอบหลายชนิด คือ Tannin , Serotonin, Norepinephnine, Dopamin และ Catecholamine สารเหล่านี้อยู่ในเนื้อและเปลือกของกล้วยสำหรับกล้วยสุกมี pectin , Essential oil, Norepinephrine และกรดอินทรีย์หลายชนิด


ปี คศ. 1964 Best และคณะ ได้พบว่าผงกล้วยดิบมีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะหนูขาว ซึ่งเกิดจากการให้ aspirin โดยสามารถใช้ทั้งป้องกันและรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ ในการป้องกันจะใช้ขนาด 5 กรัม ส่วนการรักษาใช้ขนาด 7กรัม และถ้าเป็นสารสกัดด้วยน้ำจะมีฤทธิ์แรงเป็น 800 เท่าของผงกล้วย ผู้วิจัยเข้าใจว่ากล้วยดิบไปกระตุ้นให้เซลล์ในเยื่อบุกระเพาะหลั่งสารพวก mucin ออกมาเคลือบกระเพาะ กล้วยจะดีกว่ายาพวก Aluminium hydroxide, Cimetidine หรือ Postaglandin ซึ่งมีฤทธิ์เฉพาะป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาแผลที่เกิดแล้วได้

วิธีใช้
นำกล้วยน้ำว้าดิบฝานเป็นแว่นตากแดดประมาณ 2 วัน หรืออบให้แห้งในอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส และบดเป็นผง วิธีรับประทานโดยการนำผงกล้วยดิบครั้งละครึ่งถึงหนึ่งผล ชงน้ำหรือผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มหรือนำผงกล้วยดิบมาปั้นลูกกลอน รับประทานครั้งละ 4 เม็ด วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร และก่อนนอน รับประทานแล้วอาจมีอาการท้องอืดเฟ้อ ป้องกันได้โดยใช้ร่วมกับยาขับลม เช่น น้ำขิง พริกไทย เป็นต้น

สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน, “ยาสมุนไพร สำหรับงานสาธารณสุขมูลฐาน”

ฟักข้าว อาหารต้านมะเร็ง

ฟักข้าว อาหารต้านมะเร็ง

ฟักข้าว Momordica cochinchinnensis (Lour.) Spreng.

อยู่ในวงศ์แตงกวาและมะระคือวงศ์ Cucurbitaceae


ชื่อเรียกอื่น คือ ขี้กาเครือ (ปัตตานี) ผักข้าว (ตาก ภาคเหนือ) มะข้าว (แพร่) แก๊ก (Gac เวียดนาม) Baby Jackfruit, Spiny Bitter Gourd, Sweet Gourd, และ Cochinchin Gourd

ฟักข้าวมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน พม่า ไทย ลาว บังกลาเทศ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นพืชที่ชาวเวียดนามใช้ประกอบอาหารมาก ในชนบทมีปลูกกันเกือบทุกบ้านเรือน

ฟักข้าว เป็นไม้เถาเลื้อยพัน มีมือเกาะ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียบแบบสลับ ใบรูปหัวใจ หรือรูปไข่ กว้างยาวเท่ากันประมาณ 6 -15 เซนติเมตร ขอบใบหยักเว้าลึก เป็นแฉก 3 – 5 แฉก

ดอก เป็นดอกเดียวพบที่ซอกใบ ต้นแยกเพศอยู่คนละต้น กลีบดอกสีขาวแกมเหลือง ตรงกลางมีสีน้ำตาลแกมม่วง ใบประดับมีขน

ผล อ่อนมีสีเขียวอมเหลือง เจริญได้เองโดยไม่ต้องถูกผสม เมื่อผลสุกจะมีสีแดง ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดหรือแยกรากปลูก

ฟักข้าวเริ่มมีดอกหลังแยกรากปลูกประมาณ 2 เดือน เริ่มผลิตดอกราวเดือนพฤษภาคมและให้ดอกจนถึงราวเดือนสิงหาคม ผลสุกใช้เวลาประมาณ 20 วัน และใน 1 ฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลฟักข้าวได้ 30 -60 ผล โดยเก็บผลสุกได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์

ผลของฟักข้าวมี 2 ชนิด ผลยาวมีขนาดยาว 6 -10 เซนติเมตร ส่วนผลกลมยาว 4 -6 เซนติเมตร เปลือกผลอ่อนสีเขียวมีหนามถี่ เปลี่ยนเป็นสีส้มแก่หรือแดงเมื่อผลสุก แต่ละผลหนักตั้งแต่ 0.5 – 2 กิโลกรัม

ที่ประเทศเวียดนามมักปลูกฟักข้าวพาดพันไม้ระแนงข้างบ้าน และเก็บเฉพาะผลสุกมาประกอบอาหาร แต่เนื่องจากฟักข้าวให้ผลดีที่สุดในช่วงฤดูหนาว ชาวเวียดนามจึงนิยมใช้ประกอบอาหารในเทศกาลปีใหม่และงานมงคลสมรสเท่านั้น

ผลฟักข้าวมีเปลือกหนา ผลสุกเนื้อในหนามีสีส้มภายในมีเยื่อสีแดงให้เมล็ดเกาะ เนื้อผลสุกกินได้ ที่ประเทศเวียดนามใช้เยื่อสีแดงและเมล็ด (มีน้ำมัน) เป็นยา

ฟักข้าว 1 ผล จำเยื่อสีแดงราว 200 กรัม

ประโยชน์ทางโภชนาการ
ในประเทศไทยใช้ผลฟักข้าวอ่อนสีขาวเป็นอาหารรสชาติเนื้อฟักข้าวเหมือนมะละกอ ลวกหรือต้มให้สุกหรือต้มกะทิจิ้มน้ำพริกกะปิ หรือใส่แกง ยอดอ่อน ใบอ่อนนำมาเป็นผักได้ นำมานึ่งหรือลวกให้สุกกินกับน้ำพริก หรือนำไปปรุงเป็นแกง เช่น แกงแค

ประเทศเวียดนามกินข้าวเหนียวหุงกับเยื่อเมล็ดผลฟักข้าวสุก เนื่องจากชาวเวียดนามถือว่าสีขาวเป็นสีแห่งความตาย ข้าวสีส้มแดงจึงจัดเป็นมลคงต่องานเทศกาลต่าง ๆ

ชาวเวียดนามเอาเยื่อสีแดงจากผลฟักข้าวสุกพร้อมเมล็ดมาหุงกับข้าวเหนียว ได้ข้าวสีส้มแดงมีกลิ่นหอม ต้องมีเมล็ดฟักข้าวติดมาในข้าวด้วยจึงว่าเป็นของแท้ ถึงกับมีการหุงข้าวใส่สีผสมอาหารสีแดงเลียนแบบการใช้ฟักข้าวนอกฤดูกาลก็มี เชื่อว่าบำรุงสายตา

2012-08-13

ขิงแก้ผมร่วง

ขิงแก้ผมร่วง


ทราบหรือไม่ว่า ขิงสามารถแก้ผมร่วงได้ วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝากกัน

ทราบหรือไม่ว่า ขิงสามารถแก้ผมร่วงได้ วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก... ขิง ถือเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่มีสารพัดประโยชน์ และหนึ่งในประโยชน์ของขิง คือ สามารถแก้ผมร่วงได้ วิธีการ คือ นำเหง้าขิงขนาดเท่าหัวแม่มือมาอังไฟให้อุ่นจัด แล้วนำไปบดให้ละเอียด จากนั้นก็นำมาทาให้ทั่วหนังศีรษะ น้ำมันในขิงจะช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม ทำให้ผมที่ขึ้นมาใหม่มีความแข็งแรงด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่อยากแก้ผมร่วงก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันได้.


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สับปะรดลดหวัด เพื่อสุขภาพ

 

สับปะรดลดหวัด เพื่อสุขภาพ

สับปะรด เป็นผลไม้อมหวานอมเปรี้ยว ที่สามารถนำไปทำอาหารทั้งคาว และหวานได้อร่อยหลายชนิด และให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ร่างกายมากมายโดยที่คุณอาจไม่รู้


หากเรากินสับปะรด หลังอาหาร เราจะรู้สึกเบาสบายท้องและไม่อึดอัด เพราะสับปะรดมีความสามารถในการช่วยย่อย โดยเฉพาะในสารอาหารโปรตีน เราจึงเห็นคนส่วนใหญ่ใช้สับปะรดในการหมักเนื้อสัตว์ต่างๆ ให้นุ่มขึ้น รวมถึงสับปะรดอุดมไปด้วยวิตามินซีสูงจึงช่วยเสริมสุขภาพ และภูมิต้านทานโรคได้ดีขึ้น

กินสับปะรดบ่อยๆ ทำให้สุขภาพดี ไม่ค่อยเป็นหวัด และในสับปะรดยังมีโพแทสเซียมสูงที่ช่วยป้องกันการเป็นตะคริวและลดความดันได้

นอกจากนี้สับปะรดยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้เป็นอย่างดี ส่วนปริมาณที่เหมาะสมของสับปะรด ในการบริโภคก็คือ 100 กรัมต่อวัน และควรกินสับปะรดสดๆ โดยไม่ผ่านการประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนเพื่อป้องกันการสูญเสียวิตามินต่างๆ ไป เพื่อสุขภาพ ที่ดีของคุณ

ที่มา : สารอาหารดีดี ไม่มีโรค

ประโยชน์ใกล้ตัว พืชผักสวนครัวใกล้บ้าน

ประโยชน์ใกล้ตัว พืชผักสวนครัวใกล้บ้าน

ที่จริงแล้วผักสวนครัวทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น โหระพา ขิง ข่า ตะไคร้ หรือใบสระแหน่ ก็ล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น โดยเฉพาะสรรพคุณทางยาของความเป็นสมุนไพรไทยที่ใครได้ยินแล้วจะต้องบอกว่า สุดยอด เสมอ ว่าแล้ววันนี้ก็เลยอยากให้คุณๆ ได้รู้จักกับประโยชน์ของพืชผักสวนครัวเหล่านี้กันสมัยเด็กมักจะโดนคุณแม่ใช้ให้ไปเก็บพืชผักสวนครัวหลังบ้านบ่อยๆ บ้านหลังเล็กๆ ของเรามีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับปลูกผักสวนครัวไว้ปรุงอาหารกินเอง แต่หลังจากย้ายตัวเองมาฝังตัวอยู่ที่เมืองหลวง ก็มีได้มีพืชผักสวนครัวส่วนตัวไว้กินอีกเลย


• โหระพา

โหระพาเป็นผักที่มีกลิ่นแรงบางคนบอกว่าหอม บางคนว่าฉุน แต่ไม่ว่าจะหอมหรือฉุน โหระพาก็เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหารไทยมานานนม รวมทั้งมีสรรพคุณทางยามากกว่าที่เราเคยรู้จักเยอะเลย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจถ้าโหระพาจะเป็นผักชูรส และอยู่ในอาหารอย่างแกงเผ็ด แกงเขียวหวาน เป็นต้นสารอาหารโหระพาที่ใครบางคนว่าฉุน ที่จริงแล้วเป็นผักที่มีสารอาหารด้วยนะ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันสรรพคุณทางยาคุณสมบัติทางยาของโหระพาที่สุดยอดมากๆ ก็คือ ช่วยย่อยอาหารแก้การจุกเสียด แน่นท้อง เพราะสามารถช่วยขับลมในลำไส้ได้ แต่สำหรับคนที่เกลียดโหระพาเข้าไส้ คุณอาจจะแอบปลื้มที่ได้รู้ว่าผักสวนครัวอย่างโหระพาไม่ได้มีดีแค่ใบ แต่เมล็ดยังสามารถนำมาแช่น้ำให้พองรับประทานเป็นยาแก้บิดได้ด้วยทราบหรือไม่

•โหระพารักษาโรคเข่าเสื่อมได้ ตำราแพทย์ระบุว่าให้นำต้น ใบและรากโหระพามาตำพอละเอียด ใส่เหล้าขาว 40 ดีกรีเล็กน้อย คนให้เข้ากันแล้วนำไปตั้งไปแค่พอร้อน ทิ้งไว้ให้อุ่น จากนั้นก็นำไปพอกเข่าประมาณ 10-15 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง แล้วอาการจะค่อยทุเลาลง

•โบราณว่าโหระพาเป็นยาบำรุงทางเพศด้วยนะ

•ขิงขิง  เป็นเครื่องเคียงอย่างหนึ่งในเมนูอาหารไทย แต่หลายคนส่ายหน้าเวลาเห็นขิง ส่วนหนึ่งก็เพราะกลิ่นแรงเหลือกำลัง ดังนั้นจึงเลี่ยงด้วยการเขี่ยขิงทิ้งไว้ข้างๆ จาน แต่ต่อไปนี้ถ้าอยากได้ประโยชน์มากมายจากอาหารการกิน ลองชิมขิงดูสักครั้งสารอาหารขิงประกอบไปด้วยสารอาหารสำคัญคือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แคลเซียม วิตามินเอสรรพคุณทางยาประโยชน์อย่างหนึ่งที่เราจะได้จากการใช้เหง้าขิงแก่ทุบหรือบดเป็นผง แล้วชงน้ำดื่มก็คือ แก้อาหารคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด และแน่นเฟ้อนอกจากนี้ขิงยังมีประโยชน์ทุกส่วน ตั้งแต่

ราก – ช่วยให้เจริญอาหาร แก้ลม แก้เสมหะ และแก้บิด

ต้น – ช่วยขับให้ผายลม แก้จุกเสียด แก้ท้องร่วง

ผล – แก้คอแห้ง เจ็บคอ แก้ตาฟาง เป็นยาอายุวัฒนะ

ใบ – แก้ฟกช้ำ แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคตา ฆ่าพยาธิ

ดอก – ช่วยย่อยอาหาร แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคประสาทที่ทำให้ใจขุ่นมั่วทราบหรือไม่


•ขิงแก้ผมร่วง ตำราระบุว่า ให้ใช้เหง้าขิงสดมาผิงไฟพออุ่น จากนั้นให้ตำแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีผมร่วง ทำแบบนี้ประมาณ 3 วัน วันละ 2 ครั้ง ถ้ายังไม่ได้ผลให้ทำต่อไป

•ขิงกำจัดกลิ่นกาย ถ้ารักษากลิ่นเหงื่อใต้วงแขนมาหลากหลายวิธีแล้วแต่ยังช่วยไม่ได้ ลองใช้เหง้าขิงแก่ โดยทุบแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาทาใต้วงแขนทุกวัน จะช่วยกำจัดกลิ่นกายได้ชะงัด

•ขิงแก้ปากเหม็น โดยให้คั้นน้ำขิงผสมน้ำอุ่น เติมเกลือเล็กน้อย แล้วกลั้วปาก ฆ่าเชื่อโรค


•ข่า  ถ้าหยิบขึ้นมาเคี้ยวกันสดๆ ก็คงจะไม่ปลื้มนัก ข่าเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องเทศที่ใช้ปรุงอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวจากเนื้อสัตว์ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงเอร็ดอร่อยกับเมนูโปรดอย่างต้มข่าไก่กันนัก แต่หน่อข่าอ่อนสามารถเป็นเครื่องเคียงแสนอร่อยในเมนูน้ำพริกแบบไทยๆ ได้ด้วยนะสารอาหารสารอาหารที่จะได้จากข่าคือ คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซีสรรพคุณทางยาประโยชน์จากคุณสมบัติทางยาของข่า ให้ใช้เหง้าสดดำให้ละเอียดผสมกับน้ำปูนใส แล้วรับประทานครั้งละครึ่งแก้ว จะช่วยขับลมแก้มท้องอืด ท้องเฟ้อท้องเดิน และบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ ทราบหรือไม่ว่า

•ประโยชน์อื่นๆ ที่ได้จากข่านอกเหนือจากการรับประทานอาหาร ได้แก่ ใช้รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อนและแก้ลมพิษ โดยใช้เหง้าสดตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าขาวทาบริเวณที่เป็นจนกว่าจะดีขึ้น

•ใช้ข่าไล่แมลงได้ด้วย โดยนำเหง้ามาทุบหรือตำให้ละเอียด เพื่อให้น้ำมันหอมระเหยออกมา แมลงก็จะไม่กล้ามาแหยมอีกแล้ว

กะหล่ำปลีลดความอ้วน

กะหล่ำปลีลดความอ้วน

เมื่อไม่นานมานี้ สาวๆ ที่กำลังลดความอ้วนคงได้ยินข่าวของยาลดความอ้วนที่อันตรายถึงชีวิต

นี่เป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งว่าการลดความอ้วนแบบธรรมชาตินั้นปลอดภัยที่สุด วันนี้เรามีผักแสนอร่อยที่ช่วยควบคุมน้ำหนักมาแนะนำค่ะ

ผักที่ว่านี้คือกะหล่ำปลีแบบบ้านๆ ของเรานี่เอง เพราะล่าสุดมีงานวิจัยสนับสนุนว่ากะหล่ำปลีมีกรดทาร์ทาริก ช่วยยับยั้งขัดขวางไม่ให้น้ำตาลและแป้งกลายไปเป็นไขมัน จึงช่วยลดน้ำหนักได้

วิธีปรุง อาจรับประทานเป็นผักสลัด เพราะกะหล่ำปลีดิบยังมีวิตามินซีสูง หากปรุง ควรปรุงด้วยการนึ่ง อบไมโครเวฟ หรือผัด จะช่วยคงคุณค่าของสารอาหารไว้ได้ดีที่สุด

อย่างไรก็ตามควรรับประทานแต่พอเหมาะ เพราะการรับประทานกะหล่ำปลีมากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาเรื่องต่อมไทรอยด์ได้

เย็นนี้ลองทำอาหารใส่กะหล่ำปลีกินเองดูดีไหม


ที่มา : ชีวจิตออนไลน์

กีวี...สุดยอด ผลไม้ พลัง สารอาหาร

กีวี...สุดยอด ผลไม้ พลัง สารอาหาร

ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่โชคดี เพราะมีพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์เอื้อต่อการปลูกผลไม้ หลายๆชนิด ทำให้คนไทยเรามี ผลไม้ กินไม่ขาดสายตลอดทั้งปี แล้วแต่ใครจะเลือกตามความชอบของตัวเอง ถ้าใครกินผลไม้ ได้ทุกประเภทก้คงไม่มีปัญหา เพราะมั่นใจได้ว่าจะได้รับวิตามินครบถ้วน แต่สำหรับใครที่ค่อนข้างจะเลือกรับประทาน อาจต้องคิดหนักหน่อยว่าจะเลือกซื้อผลไม้ชนิดใด อย่างไร เพื่อให้คุ้มค่ากับราคา และได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

ข้อแนะนำง่ายๆ คือเลือกผลไม้ที่มีคุณค่าสารอาหารสูง และคำนึงถึงปริมาณวิตามินที่ร่างกายจะได้รับ ซึ่งหนึ่งในบรรดา ผลไม้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ในปริมาณแคลอรีต่ำที่สุด คือ กีวี

แหล่งวิตามินซีในปริมาณสูงสุด

นอกจากกีวีสีเขียวที่เราคุ้นเคย ยังมี กีวีโกลด์ หรือกีวีสีทองให้เลือกบริโภค กีวีทั้งสองชนิดมีปริมาณวิตามินซีสูงสุดหากเทียบกับผลไม้ขึ้นชื่อเรื่องวิตามินซี อาทิ ส้ม หรือมะละกอ จากการวิจัยพบว่า กีวี หนึ่งผลมีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็นได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันโรคซึ่งเป็นเกราะธรรมชาติที่ช่วยป้องกันไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ

อุดมด้วยโฟเลต สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ ยังช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%

สุดยอดคุณค่าวิตามินอี

วิตามินอี ได้รับการขนานนามว่าช่วยชะลอความแก่ชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการเสื่อมสภาพแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่ากีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะ กีวีทอง ซึ่งมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า

เต็มที่ด้วยพลังไฟเบอร์

ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย แต่เข้าไปยึดพื้นที่ในระบบทางเดินอาหารทำให้อิ่มได้เร็วและนาน นอกจากนี้ ยังช่วยชำระล้างและปรับปรุงระบบย่อยอาหาร รวมถึงส่งเสริมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรง กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%

ที่มา : เซสปรี อินเตอร์เนชั่นแนล (เอเชีย)

กะหล่ำปลีพกพาสารเคมีวิเศษ ป้องกันมะเร็งปอด

กะหล่ำปลีพกพาสารเคมีวิเศษ ป้องกันมะเร็งปอด

นิตยสารการแพทย์ ?แลนเซต? มาตรฐานของอังกฤษ รายงานว่านักวิจัยของสำนักวิจัยโรคมะเร็งระหว่างประเทศที่เมืองลิยง ฝรั่งเศส ได้พบในการศึกษาคนไข้โรคมะเร็งปอด 2,141 คน เปรียบเทียบกับผู้ที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีอีก 2,168 คนว่า ผู้ที่ชอบกินผักพวกกะหล่ำปลี เช่น กะหล่ำปลี บรอคโคล และกะหล่ำปมบางคน จะแคล้วคลาดจากโรคได้ห่างไกล แม้ว่าจะยังไม่อาจรู้สาเหตุได้ รู้แต่ว่าพวกผักเหล่านี้มีสารเคมีที่มีชื่อว่า

ไอโสทิ? โอไซยาเนตส์ ที่มีสรรพคุณป้องกันปอดจากมะเร็งได้อยู่อย่างอุดม

นักวิจัยเชื่อว่าอาจเป็นเพราะยีนในร่างกาย 2 ตัวเป็นเหตุ ยีนคู่นี้จะสร้างเอนไซม์กำจัดสารเคมีจากผักเหล่านั้นลงไปหมด จึงเป็นเฉพาะแต่ผู้ที่มียีน 2 ตัวนี้ตายด้านแล้วเท่านั้น จึงจะได้คุณประโยชน์ของผักในการป้องกันโรคมะเร็ง

รายงานการศึกษาได้สรุปว่า ผู้ที่ยังมียีนคู่นี้ตัวใดตัวหนึ่งที่ยังปกติอยู่จะได้คุณจากการบริโภคผักเหล่านั้น ช่วยคุ้มโรคได้มากระหว่าง 33-37% เท่านั้น แต่หากเป็นผู้ที่มียีนทั้งคู่ตายด้านลงหมดจะได้รับการคุ้มโรคสูงถึง 72%

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์

อัญชัน

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Clitoria ternatea L.

ชื่อสามัญ : Blue pea, Blue vine, Butterfly pea, Pigeon wings

ชื่อวงศ์ : Fabaceae

ชื่อสมุนไพรอื่น ๆ : แดงชัน เอื้องชัน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

ต้น: อัญชันเป็นพันธุ์ไม้เลื้อยล้มลุกขนาดเล็ก มีเถาขนาดเล็กและอ่น แต่ก้สามารถเลื้อยไปได้ไกลถึง 20 ฟุต ลักษณะเถาจะค่อนข้างกลม สีเขียวแต่หากเถาแก็จะเป็นสีน้ำตาล ตามลำต้นจะมีขนนุ่ม ๆ ปกคลุมโดยทั่วไป

ใบ: ใบของอัญชัน มีลักษณะเป็นช่อ มีใบย่อยรูปไข่ 5-7 ใบ ใบเล็กและค่อนข้างบาง รูปใบเกือบจะเป็นทรงกลม ออกใบรวามเป็นแผงสลับกันไปตามข้อต้น

ดอก: ดอกอัญชันจะเป็นดอกเดี่ยว และจะออกดอกเป็นช่อตามปลายยอดช่อหนึ่งจะมีดอก 2.4 ดอกอัญชันจะมีทั้งชนิดดอกราและดอกซ้อน ดอกมีหลายสี เช่น สีน้ำเงินอมม่วง สีม่วง สีฟ้า สีขาว ลักษณะของดอกคล้ายดอกถั่วมี 2 กลีบ เมื่อกลีบดอกบานอ้าออกเต็มที่จะมองเห็นลักษณะของดอกคล้ายดอกถั่ว มี 2 กลีบ เมื่อกลีบดอกบานอ้าออกเต็มที่ จะมองเห็นลักษณะคล้ายกาบหอย หรือปีกผีเสื้อ เมื่อดอกโรยก็จะติดฝัก

อัญชัน สมุนไพร ดอกอัญชันสีขาว

การขยายพันธุ์: โดยการเพาะเมล็ด ปลูกได้ทั่วไปในเขตร้อน

ส่วนที่ใช้ : ดอก เมล็ด ใบ ราก

สารประกอบทางเคมี :

• มีสารอดีโนซีน (adenosine) สารแอฟเซลิน (afzelin)

• สารอปาราจิติน (aparajitin) กรดอราไชดิก (arachidic acid)

• สารแอสตรากาลิน (astragalin) กรดชินนามิกไฮดรอกซี (cinnamic acid, 4-hydroxy)

• สารเคอร์เซติน (quercetin) และสารซิโตสเตอรอล เป็นต้น

• ดอก – มีสารแอนโทไซอานิน

สรรพคุณของสมุนไพร :

น้ำคั้นจากดอก ใช้ทาคิ้ว ทาหัว เป็นยาปลูกผม (ขน) ทำให้ ผมดกดำเงางาม รักษาอาการผมร่วง ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตแชมพูสระผมและครีมนวด แก้ฟกช้ำบวม

สีจากกลีบดอกอัญชันสดมีสีน้ำเงินด้วยสารแอนโทไซอานิน ใช้เป็นสารบ่งชี้ (indicator) แทนลิตมัส (lithmus) เมื่อเติมน้ำมะนาว (กรด) ลงไปเล็กน้อยจะกลายเป็นสีม่วง

ใช้แต่งสีขนม เช่น เรไร ขนมน้ำดอกไม้ ขนมขี้หนู ข้าวดอกอัญชัน ขนมชั้น ช่อม่วง

อัญชัน สมุนไพร ดอกอัญชันสีน้ำเงิน

หุงข้าวผสมสีจากน้ำคั้นดอกอัญชัญได้สีน้ำเงินม่วงสวย รับประทานเป็นข้าวยำปักษ์ไต้ เป็นต้น

ดอกอัญชัน กินเป็นผักได้ ทั้ง จิ้มน้ำพริกสดๆ หรือชุบแป้งทอด

ใบสดและดอกสด คั้นน้ำใช้หยอดตา แก้ตาอักเสบ ฝ้าฟาง ตาแฉะ มืดมัว

สารแอนโธไซยานินที่มีอยู่มากในดอกอัญชัน นี้ มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ ในการเพิ่มประสิทธิภาพของตา เช่น ตาเสื่อมจากโรคเบาหวาน โรคต้อหิน โรคต้อกระจก ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็น เนื่องจากสารตัวนี้จะไปเพิ่มการไหลเวียนในหลอดเลือดเล็กๆ เช่น หลอดเลือดส่วนปลาย ทำให้กลไกที่ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็นแข็งแรงขึ้น เพราะมีเลือดไหลเวียนมาเลี้ยงมากขึ้น สารแอนโธไซยานินยังมีคุณสมบัติเสริมภูมิต้านทานเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติอีกด้วย

ราก รสเย็นจืด บำรุงดวงตา ทำให้ตาสว่าง ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ เป็นยาระบาย แก้ตาอักเสบ ตาฟาง ตาแฉะ นำรากอัญชันมาถูฟันแก้ปวดฟัน ทำให้ฟันคงทนแข็งแรงได้ด้วย ยาพื้นบ้านอีสาน ใช้รากฝนกับรากสะอึกและน้ำซาวข้าวกินหรือทาแก้งูสวัด

ใบและราก อัญชันชนิดขาวใช้เป็นยาขับปัสสาวะและยาระบาย ชนิดม่วงแก้ตาฟางและตาแฉะแก้ปัสสาวะพิการ ระบายท้อง แก้เจ็บตา

เมล็ด เป็นยาระบาย


 

2012-08-12

ขมิ้นแก้โรคกระดูกพรุน

ขมิ้นแก้โรคกระดูกพรุน


ทราบหรือไม่ว่าการรับประทานขมิ้นก็สามารถรักษาโรคกระดูกพรุนได้ วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก
การรับประทานแกงที่มี "ขมิ้น" เป็นส่วนประกอบ เช่น แกงกะหรี่ มีส่วนช่วยป้องกันโรคกระดูก ข้ออักเสบ และโรคกระดูกได้ ทีมนักวิทยาศาสตร์สหรัฐ จากมหาวิทยาลัยอริโซนา ระบุว่า ขมิ้นซึ่งมักใช้เป็นส่วนผสมในอาหารประเภทแกงเผ็ด หรือแกงสีเหลืองทั้งหลาย มีสรรพคุณช่วยบำบัดโรคได้ ในวงการแพทย์เอเชียใช้ขมิ้นในการรักษาโรคต่าง ๆ มานานหลายร้อยปี เช่น อาการอักเสบ และพบว่า สารเคอร์คูมิน ที่อยู่ในขมิ้น มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคข้อต่ออักเสบได้ และช่วยรักษาอาการอักเสบ พอง หรือบวมของโรคอื่น ๆ ได้ เช่น โรคหืด ลำไส้อักเสบ และโรคกระดูก รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าใครไม่อยากเป็นโรคกระดูกพรุน ลองหาขมิ้นมารับประทานกันดูได้.

ที่มา : เดลินิวส์

2012-08-10

วิธีรักษากระด้วยไชเท้า

วิธีรักษากระด้วยไชเท้า

ทราบหรือไม่ว่าประโยชน์ของไชเท้านอกจากไว้รับประทานแล้วยังสามารถนำมารักษากระได้ มีวิธีมาฝาก...

วิธีทำ คือ นำหัวไชเท้ามาล้างให้สะอาด นำมาฝานบาง ๆ เป็นชิ้น ๆ นำไปปั่นให้ละเอียด จากนั้นใส่น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ แล้วปั่นรวมกันอีกครั้ง แล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้า ยกเว้นรอบดวงตาและปาก ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที เสร็จแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วจึงทาครีมบำรุงตามปกติ ทำเป็นประจำ กระจะค่อย ๆ จางหายไป

แต่วิธีแบบนี้อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา ทางที่ดีควรป้องกันไม่ให้เกิดกระจะดีกว่า.


 

ที่มา : เดลินิวส์